Wood Ash Glaze
-
Upload
pann-boonkrongsook -
Category
Documents
-
view
235 -
download
5
description
Transcript of Wood Ash Glaze
สมาชิกในกลุ่ม
นายสาธิตอินดิบ 52060017
นายปัญญ์บุญครองสุข 52060264
นายอวิรุทธิ์แจ้งแสงทอง 52060267
นายสิทธิชาติศรีเมือง 52060315
นายณัฐชูยิ่งสกุลทิพย์ 52060404
นายภพพิศุทธ์สุขเกษมมงคล 52060410
5Wood Ash Glaze
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่จัดทำาขึ้นเพื่อประกอบการเรียนวิชาเคลือบ2ของนิสิต
ชั้นปีที่3สาขาวิชาเซรามิกส์คณะศิลปกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพาซึ่งวิชาเคลือบ
2นี้เป็นวิชาที่ต่อเนื่องจากการเรียนเคลือบ 1 ในภาคการเรียนที่แล้ว ซึ่งครั้งนี้การเรียน
ก็จะมีเนื้อหาที่เจาะลึกละเอียดกว่าเดิมมีการแบ่งกลุ่มกันคิดสูตรเคลือบที่มีชื่อเสียงแบบ
ต่างๆเช่นเคลือบCopperRed,Celadon,OilSpotและเคลือบขี้เถ้า
โดยหนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงกิจกรรมการเรียนในวิชานี้ เป็นการทดลองพัฒนา
สูตรเคลือบขี้เถ้าจากไม้ชนิดต่างๆโดยมีขี้เถ้าฟาง,ขี้เถ้าแกลบและขี้เถ้าไม้เบญจพรรณ
มาใช้ในการทดลอง เนื้อหาในเล่มนี้ยังกล่าวถึงการคำานวณสูตรเคลือบแบบเอ็มไพริคัล
ที่มีความซับซ้อน การปรับสูตรเคลือบเพื่อความเหมาะสม ฯลฯ ที่ได้จากประสบการณ์
การปฏิบัติงานจริงในการเรียนการสอนวิชานี้
คำานำา
คณะผู้จัดทำา
7Wood Ash Glaze
สารบัญ
บทที่1เคลือบเซรามิกส์
บทที่2เคลือบขี้เถ้า
บทที่3วัตถุดิบที่ใช้ในเคลือบ
บทที่4การคำานวณหาสูตรเคลือบ
บทที่5การเตรียมเคลือบ
บทที่6การเผา
บทที่7ผลการทดลอง
-ความหมายของเคลือบ
-ความหมายของเคลือบขี้เถ้า
-สารประกอบออกไซด์ที่ใช้ในเคลือบ
-การคำานวณสูตรเคลือบแบบเอ็มไพริคัล
-ผลการทดลองเคลือบขี้เถ้าจากขี้เถ้าฟาง(ครั้งที่1)
-ประวัติความเป็นมาของเคลือบ
-คุณสมบัติของขี้เถ้า
-วัตถุดิบที่ใช้ในเคลือบ
-การหาสูตรเคลือบด้วยตารางสามเหลี่ยมด้านเท่า
-ผลการทดลองเคลือบขี้เถ้าจากขี้เถ้าฟาง(ครั้งที่2)
-การคำานวณสูตรส่วนผสมแบบร้อยละ -สูตรส่วนผสมร้อยละที่ได้จากตารางสามเหลี่ยม
-ผลการทดลองเคลือบขี้เถ้าจากขี้เถ้าแกลบ -ผลการทดลองเคลือบขี้เถ้าจากขี้เถ้าไม้เบญจพรรณ -ผลการทดลองเคลือบขี้เถ้าจากขี้เถ้าแกลบผสมขี้เถ้าไม้เบญจพรรณ
-ประเภทของเคลือบ
-การเตรียมขี้เถ้า -วิธีใช้เคลือบขี้เถ้า
778
10
11111212
14
1519
22
23262729
34
36
38
3943454647
6
บทที่ 1 เคลือบเซรามิกส์
9Wood Ash Glaze
ความหมายของเคลือบ
ประวัติของเคลือบ
เคลือบคือชั้นแก้วบางๆที่หลอมละลายติดอยู่กับผิวดินซึ่งขึ้นรูปเป็นภาชนะทรงต่างๆวัตถุดิบที่เป็น
น้ำายาเคลือบถูกบดจนละเอียดมากกว่าดินหลายเท่า ก่อนนำามาเคลือบบนผิวดินเผาเป็นชั้นหนา 1-1.5 มม.
เมื่อเคลือบแล้วต้องทิ้งผลิตภัณฑ์ให้แห้งเช็ดก้นผลิตภัณฑ์ให้สะอาดก่อนนำาเข้าเตาเผา
ผลิตภัณฑ์ที่เคลือบแล้วโดนเผาผ่านความร้อนในอุณหภูมิสูง วัตถุดิบที่เป็นแก้วในเคลือบเมื่อถึงจุด
หลอมละลายชั้นของเคลือบบนผิวดินจะกลายเป็นแก้วมันวาวติดอยู่กับผิวดิน
เคลือบช่วยให้การชำาระล้างภาชนะเป็นไปได้สะดวกเนื่องจากเคลือบมีคุณสมบัติลื่นมือ สามารถทำา
ความสะอาดได้ง่ายกว่าผิวดินที่มีลักษณะค่อนข้างหยาบเคลือบมีคุณสมบัติเป็นแก้วไม่ดูซึมน้ำาน้ำาเคลือบ
ส่วนใหญ่มีผิวมันซึ่งต่างกับลักษณะของผิวดินที่ด้านและหยาบกว่านอกจากนี้ชั้นของเคลือบบนผิวภาชนะ
ยังเพิ่มความแข็งแรงทนทานทำาให้ภาชนะดินเผาไม่บิ่นง่ายเมื่อกระทบกันบ่อยๆขณะล้างทำาความสะอาด
และสามารถใส่ของเหลวได้โดยไม่รั่วซึม
เครื่องปั้นดินเผาในยุคแรกๆ 5,000 ปี ก่อนประวัติศาสตร์ยังไม่มีการเคลือบ มักใช้วิธีขูดขีดตกแต่ง
ลวดลายลงบนผิวดิน เมื่อปั้นเป็นภาชนะหรือเป็นรูปทรงตามต้องการได้แล้วอาจใช้ดินสีต่างๆทาตกแต่ง
ตามแต่จะหาได้บางครั้งด้านนอกใช้ยางไม้หรือไขสัตว์ทาบนผิวภาชนะเพื่อกันซึม
เครื่องปั้นดินเผายุคก่อนประวัติศาสตร์เกืือบทั้งหมดมีวิวัฒนาการ จากภาชนะดินเผาอุณหภูมิต่ำา
ไม่มีการเคลือบซึ่งในปัจจุบันตามชนบทหรือท้องถิ่นห่างไกลความเจริญยังคงทำาเครื่องปั้นดินเผาพื้นบ้าน
สืบต่อกันมา
เคลือบชนิดแรกที่ค้นพบตามประวัติศาสตร์ คือเคลือบอุณหภูมิต่ำาสีฟ้าสด ซึ่งชาวอียิปต์นิิยมใช้
เคลือบลูกปัดและเครื่องปั้นดินเผามีอายุราว3,500ปีก่อนคริสตกาล
ถึงแม้ว่าการทำาเคลือบในยุคแรกๆ นั้นได้ถูกทำาขึ้นด้วยความยากลำาบาก ชิ้นงานเครื่องเคลือบดิน
เผาที่ดีๆจะถูกเก็บสะสมไว้ในปราสาทราชวังโดยกษัตริย์หรือขุนนางเท่านั้นแต่ในปัจจุบันเครื่องเคลือบดิน
เผาได้ถูกนำามาใช้ในชีวิตประจำาวันอย่างกว้างขวางเช่นเครื่องถ้วยชามสุขภัณฑ์กระเบื้องปูพื้นเป็นต้น
เคลือบขี้เถ้า10
การแบ่งประเภทของเคลือบ
เคลือบมีหลากหลายชนิด แต่ที่นิยมและพบเห็นบ่อยที่สุด คือเคลือบที่มีลักษณะมันวาว ซึ่งการ
จำาแนกชนิดของเคลือบนั้นจะใช้หลักเกณฑ์ต่างๆเป็นเกณฑ์ในการจำาแนกชนิดของเคลือบมีดังนี้
1. แบ่งตามอุณหภูมิที่ใช้ในการเผาสามารถดูได้จากความสามารถในการทนไฟหรืออุณหภูมิการ
สุกตัวของเคลือบนั้นๆซึ่งจะแบ่งไปตามช่วงอุณภูมิการเผาคือ
1.เคลือบอุณหภูมิต่ำาจะมีอุณหภูมิในการเผาตั้งแต่800-1100องศาเซลเซียส
2.เคลือบอุณหภูมิกลางจะมีอุณหภูมิในการเผาตั้งแต่1150-1200องศาเซลซียส
3.เคลือบอุณหภูมิสูงจะมีอุณหภูมิในการเผาตั้งแต่1230-1300องศาเซลเซียส
2. แบ่งตามวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการเตรียมน้ำาเคลือบ การแบ่งตามเกณฑ์นี้จะดูจากวัตถุดิบหลักที่
ใช้ผสมในการเตรียมน้ำาเคลือบ เช่นหากวัตถุดิบหลักเป็น “หินฟันม้า”จะเรียกว่า “เคลือบหินฟันม้า”ซึ่งที่
พบบ่อยๆก็คือ“เคลือบตะกั่ว”“เคลือบขี้เถ้า”“เคลือบฟริต”เป็นต้น
3. แบ่งตามลักษณะหลักการเผา เช่น หากน้ำาเคลือบที่เผาเสร็จแล้วมีลักษณะใส มองเห็นผิว
ผลิตภัณฑ์จะเรียกว่า“เคลือบใส”หากมีลักษณะด้านจะเรียกว่า“เคลือบด้าน”และยังมี“เคลือบกึ่งมันกึ่ง
ด้าน”เคลือบสีต่างๆเคลือบรานฯลฯ
11Wood Ash Glaze
เคลือบสีฟ้าสดของชาวอีิยิปต์เคลือบชนิดแรกบนโลก
บทที่ 2 เคลือบขี้เถ้า
13Wood Ash Glaze
ความหมายของเคลือบขี้เถ้า
คุณสมบัติของขี้เถ้า
เคลือบขี้เถ้าเป็นเคลือบที่เผาในอุณหภูมิสูงชนิดแรงท่ีมนุษย์รู้จักทำาขึ้นและยังคงนิยมใช้ต่อมาถึง
ปัจจุบัน แต่ในสมัยนี้ขี้เถ้าจากไม้ต่างๆ นับวันจะยิ่งหายากและราคาแพง เคลือบขี้เถ้าไม้จึงนิยมใช้เคลือบ
งานเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นศิลปะพื้นบ้านซึ่งยังนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น เช่น ผลิตภณฑ์
บีเซน ชิการากิ โตโกนาเม และมัชชิโกะ ในปัจจุบันเคลือบขี้เถ้าได้นิยมแพร่หลายไปถึงช่างปั้นอิสระในฝั่ง
ยุโรป
ผลิตภัณฑ์อุตสาหรกรรมไม่นิยมใช้เคลือบขี้เถ้า เนื่องจากขี้เถ้าเป็นสารประกอบที่สามารถ
เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ทำาให้เคลือบขี้เถ้าเป็นส่วนประกอบที่มีคุณภาพไม่คงที่ การผลิตในครั้งแรกและครั้ง
ต่อๆไปมักมีปัญหาเรื่องสีเคลือบไม่สม่ำาเสมอไม่แน่นอนดังนั้นในระบบอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผาเคลือบ
สีต่างๆจึงไม่นิยมใช้ขี้เถ้าในสูตรเคลือบ
ขี้เถ้าจากพืชทุกชนิดมีส่วนประกอบของไฮโดรเจนและคาร์บอน เมื่อถูกเผาไหม้หมดไป ขี้เถ้าจะ
เหลือเพียงปริมาณเล็กน้อยเท่าน้น ซึ่งเป็นส่วนที่ทนไฟ สารเหล่านี้จะคงเหลืออยู่ในกองขี้เถ้าจากพืช ซึ่ง
ประกอบด้วยธาตุ6ตัวหลักซึ่งใช้ในสูตรเคลือบคือด่างเช่นแคลเซียมแมกนีเซียมโพแทสเซียมโซเดียว
ในปริมาณมากและมีส่วนประกอบของอะลูมินาและซิลิกาเล็กน้อย
ตัวอย่างผลวิเคราะห์ทางเคมีของขี้เถ้าไม้ชนิดของขี้เถ้า
ขี้เถ้าไม้ทั่วไป
ขี้เถ้าฟางข้าว
ขี้เถ้าไม่ไผ่
ขี้เถ้าไม้สน
ขี้เถ้าแกลบ
ขี้เถ้าตับจาก
SiO
30.99
82.18
86.40
24.39
96.00
76.96
Al O
8.91
1.36
0.0
9.71
1.00
5.42
Fe O
3.04
0.42
0.40
3.41
0.04
1.06
CaO
22.42
3.69
0.30
39.73
0.48
6.14
MgO
3.33
1.35
0.0
4.45
0.22
3.76
K 0
3.91
2.48
4.80
8.98
0.90
2.55
Na O
2.33
0.36
0.0
3.77
0.26
0.22
P O
1.91
0.68
0.0
2.78
0.02
1.58
MnO
1.26
0.0
0.0
2.74
0.19
0.67
2 2 2 2 2 2 533
เคลือบขี้เถ้า14
การเตรียมขี้เถ้า
วิธีใช้เคลือบขี้เถ้า
ขี้เถ้าไม้เมื่อได้มาแล้วให้เทใส่ถังกวนกับน้ำา2-3ครั้งเทน้ำาตอนบนที่มีเศษวัสดุและก้อนถ่านเล็กๆทิ้ง
2ครั้ง ต้องกวนแรงๆ เพื่อเอาเกลือหรือด่างที่มีความเค็มในขี้เถ้าทิ้งไปบ้าง เมื่อน้ำาขี้เถ้าเริ่มใสน้ำาหายเค็ม
กรองขี้เถ้าผ่านตะแกรงเบอร์60วางขี้เถ้าให้ตกตะกอนรินน้ำาตอนบนทิ้งนำาขี้เถ้าไปผึ่งแดดให้แห้งใส่ภา
ชนะมีฝาปิดเก็บไว้ ขี้เถ้าที่ไม่ได้ผ่านการล้างเมื่อนำามาใส่เคลือบจะกัดมือ เนื่องจากมีด่างของโซดาอยู่มาก
ทำาให้เป็นอันตรายต่อผิวหนังได้
เคลือบขี้เถ้ามีคุณสมบัติไหลตัวรุนแรงเมื่อถึงจุดหลอมละลายผลิตภัณฑ์ที่เคลือบด้วยเคลือบขี้เถ้ามัก
จะเคลือบหนาประมาณ2-3มม.ตอนส่วนบนส่วนตอนล่างเคลือบบางๆหรือเว้นไว้เมื่อเคลือบเผาถึงอุณห
ภูมิหลอมละลายเคลือบจะไหลย้อยลงมาเป็นเส้นๆเอง
ขี้เถ้าไม้เมื่อเผาแล้วมีสีจืดหรือสีขุ่นไม่สวยงาม จึงไม่เหมาะที่จะนำาไปทำาเป็นเคลือบใสคุณภาพดี
เนื่องจากมีมลทินเป็นสีจางๆ เคลือบขี้เถ้าจึงนิยมใช้ในสีธรรมชาติ สีเขียวอ่อนๆ หรือนำาไปทำาเคลือบสีโดย
เติมแร่เหล็กออกไซด์บดรวมกับขี้เถ้าก่อนใช้4-6%ทำาให้ขี้เถ้ามีสีเขียวเข้มขึ้นจนถึงสีเขียวขี้ม้าในบรรยากา
ศการเผารีดักชั่น จะได้สีเหลืองไหม้อมน้ำาตาลไหลเป็นเส้น ถ้าเคลือบไหลมากไปอาจเติมดินเพิ่ม 10% ใน
เคลือบขี้เถ้าได้
เคลือบขี้เถ้า
15Wood Ash Glaze
เคลือบขี้เถ้าไหลเป็นเส้น
บทที่ 3 วัตถุดิบที่ใช้ในการทำาเคลือบ
17Wood Ash Glaze
วัตถุดิบที่ใช้ในการทำาเคลือบ
สารประกอบออกไซด์ที่ใช้ในเคลือบ
วัตถุดิบที่ใช้ในการทำาเคลือบ จะกล่าวได้ในสองลักษณะ คือในลักษณะของสารประกอบออกไซด์
และในลักษณะของที่เป็นวัตถุดิบ
สารประกอบออกไซด์ หมายถึง สารประกอบของออกซิเจนกับธาตุอื่นๆซึ่งอาจจะเป็นโลหะ หรือ
อโลหะก็ได้ เช่น โซเดียมออกไซด์, โพแทสเซียมออกไซด์ เป็นต้น ซึ่งสารประกอบออกไซด์ที่ใช้ในการทำา
เคลือบนั้นสามารถแบ่งหน้าที่ออกเป็น3กลุ่มคือ
1. กลุ่มด่าง จะทำาให้ที่เป็น“ฟลักซ์”ในน้ำาเคลือบเป็นตัวทำาละลายซิลิก้าเพื่อให้เกิดเป็นเนื้อแก้วได้
ในอุณหภูมิที่ต่ำาลงและเป็นตัวหลักที่ทำาให้เกิดสีในน้ำาเคลือบกลุ่มด่างนั้นจะมี2ชนิดคือพวกที่เป็นอัลคา
ไลน์ ซึ่งจะเป็นกลุ่มด่างที่สามารถละลายน้ำาได้ และพวกที่เป็นอัลคาไลน์เอิร์ท นอกจากด่าง 2 กลุ่มนี้แล้ว
ยังสารประกอบอื่นๆอีกที่ทำาหน้าที่เป็นฟลักซ์เช่นซิงค์ออกไซด์,ตะกั่วออกไซด์เป็นต้น
2. กลุ่มกลาง เป็นกลุ่มสารที่ทำาหน้าที่ “ช่วยในการคงตัวของเคลือบ” ซึ่งจะทำาหน้าที่คล้ายกาว
ช่วยให้เคลือบเกาะติดกับผิวดินและป้องกันการไหลของเคลือบและยังเป็นตัวทนความร้อนทำาให้น้ำาเคลือบ
มีความหนืดสารประกอบออกไซด์ที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่อลูมิน่า,เฟอร์ริกออกไซด์เป็นต้น
3. กลุ่มกรด เป็นกลุ่มที่ทำาหน้าที่ “เป็นเนื้อแก้ว”ในเคลือบและเป็นตัวทำาให้เกิดสีทึบในน้ำาเคลือบ
ตัวอย่างวัตถุดิบในกลุ่มนี้ได้แก่ซิลิก้า,ไทเทเนียมไดออกไซด์เป็นต้น
เคลือบขี้เถ้า18
โซเดียมออกไซด์เป็นสารประกอบออกไซด์ที่สามารถเกิดปฏิกิริยาทางเคมีได้ง่าย ทำาหน้าที่เป็นฟลัก
ซ์ มีจุดหลอมละลายที่ต่ำาแต่สามารถเผาที่อุณหภูมิสูงได้เนื่องจากมีช่วงการเผาที่กว้าง น้ำาเคลือบที่มีโซเดีย
มออกไซด์ผสมอยู่มากนั้นมักจะเป็นน้ำาเคลือบที่มีสีสันสดสว่างเช่นน้ำาเคลือบสีเทอร์ควอยซ์
โซเดียมออกไซด์เป็นสารประกอบที่มีการขยายตัวสูง จึงมักทำาให้ผิวของเคลือบมีการรานตัว และที่
สำาคัญเคลือบที่ผสมโซเดียมในปริมาณมากๆจะเป็นไม่แข็งแรงไม่ทนต่อการขูดขีด
โซเดียมออกไซด์ในธรรมชาติส่วนมากมักจะละลายน้ำาได้ นอกจากโซเดียมออกไซด์ที่เป็นสารประ
กอบในรูปของแร่เฟลสปาร์ ดังนั้นในการเตรียมเคลือบที่ต้องการโซเดียมออกไซด์ จึงมักใช้ในรูปของโซเดีย
มเฟลสปาร์
แมกนีเซียมออกไซด์ทำาหน้าที่เป็นตัวทนไฟในน้ำาเคลือบไฟต่ำาและทำาให้เกิดทึบในเคลือบแต่ในน้ำา
เคลือบไฟสูงแมกนีเซียมออกไซด์จะทำาหน้าที่เป็นฟลักซ์ และลดสัมประสิทธิ์การหด-ขยายตัวในน้ำาเคลือบ
แก้ปัญหาแตกราน ทำาให้เคลือบมีลักษณะเรียบมันและค่อนข้างทึบแสง โดยเฉพาะเมื่อในบรรยากาศรีดัก
ชั่นหากใช้แมกนีเซียมออกไซด์มากเกินไปจะทำาให้เกิดเคลือบหดได้
นอกจากนี้แมกนีเซียมออกไซด์ยังมีผลต่อออกไซด์ให้สีบางชนิด เช่นถ้าใช้เคลือบที่มีแมกนีเซียมออก
ไซด์ร่วมกับโคบอลท์ออกไซด์จะได้เคลือบสีม่วงแทนที่จะเป็นสีน้ำาเงิน
แคลเซียมออกไซด์เป็นฟลักซ์อย่างดีในเคลือบไฟสูง หากจะนำามาใช้กับเคลือบไฟต่ำา จะต้องใช้
ร่วมกับฟลักซ์ตัวอื่นๆด้วยเพื่อช่วยในการหลอมละลาย เช่น ตะกั่วออกไซด์, ซิงค์ออกไซด์ เป็นต้น การเติม
แคลเซียมออกไซด์ลงในเคลือบไฟต่ำาที่มีปริมาณของตะกั่วหรือโซเดียมอยู่มากจะทำาให้ผิิวเคลือบแข็งแรง
แคลเซียมออกไซด์เป็นส่วนประกอบที่นิยมใช้กันมากเนื่องจากมีราคาถูกและหาได้ง่าย
SodiumOxide(NaO)2
MagnesiumOxide(MgO)
CalciumOxide(CaO)
19Wood Ash Glaze
ซิงค์ออกไซด์ทำาหน้าที่เป็นฟลักซ์ที่ดี เพิ่มความแวววาวให้กับน้ำาเคลือบเมื่อเผาที่อุณหภูมิปานกลาง
ถึงอุณหภูมิสูง แม้จะใช้เพียงปริมาณเล็กน้อย และยังสามารถใช้ซิงค์ออกไซด์กับน้ำาเคลือบไฟต่ำาได้อีกด้วย
โดยนำาไปใช้แทนตะกั่วแม้จะไม่มีประสิทธิภาพในการเป็นฟลักซ์ได้ดีเท่า
การใส่ซิงค์ออกไซด์มีผลกระทบต่อการเกิดสีของออกไซด์ให้สีตัวอื่นๆด้วยเช่นหากใส่ซิงค์ออกไซด์
ร่วมกับเฟอร์ริก จะให้สีที่มีลักษณะที่ด้านและค่อนข้างคล้ำา, หากใส่ซิงค์ออกไซด์ร่วมกับคอปเปอร์ออกไซด์
จะให้สีเขียวเทอร์ควอยซ์สดสว่าง, หากใส่ซิงค์ออกไซด์ร่วมกับดีบุกออกไซด์แล้ว จะทำาให้เกิดเป็นสีชมพู
อ่อนหรือน้ำาตาลอ่อน
ลิเทียมออกไซด์มีคุณสมบัติเป็นฟลักซ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้ผิวเคลือบมันวาว มีคุณสมบัติ
คล้ายโซเดียมออกไซด์ และโพแทสเซียมออกไซด์ แต่ลิเทียมออกไซด์มีผลกับออกไซด์ให้สีบางชนิด ทำาให้สี
แปลกตาขึ้น และลิเทียมยังทำาให้เกิดการรานที่ผิวเคลือบ เพราะลิเทียมออกไซด์มีค่าการขยายตัวน้อยกว่า
โซเดียมออกไซด์และโพแทสเซียมออกไซด์ลิเทียมออกไซด์มีราคาค่อนข้างสูงจึงมักใช้ในปริมาณไม่มาก
ZincOxide(ZnO)
LithiumOxide(LiO)2
MagnesiumOxideSodiumCarbonate
CalciumOxide LithiumCarbonateZincOxide
เคลือบขี้เถ้า20
อลูมิน่าเป็นสารประกอบออกไซด์ที่มีอุณหภูมิสูงประมาณ2040องศาเซลเซียสดังนั้นเราจะใช้อลูมิ
น่าในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้นในการเตรียมเคลือบอลูมิน่าทำาหน้าที่หลักสองอย่างคือหนึ่งช่วยให้เคลือบมี
ความหนืดเพิ่มขึ้น ลดการไหลตัวของน้ำาเคลือบในแนวดิ่ง และสองป้องกันการเกิดผลึกขณะเคลือบเกิดการ
เย็นตัวลงนอกจากนี้อลูมิน่ายังช่วยให้ผิวของเคลือบมีความแข็งทนทานและความต้านทานต่อแรงดึงเพิ่ม
มากขึ้น ถ้าไม่มีอลูมิน่าเป็นส่วนประกอบหรือเป็นส่วนประกอบที่น้อย ผิวของเคลือบจะไม่แข็งแรงและเป็น
ลายๆที่ผิวในทางตรงข้ามหากเราใช้อลูมิน่ามากเกินไปจะทำาให้เคลือบมีลักษณะทึบและด้านทั้งนี้ขึ้นอยู่
กับส่วนประกอบอื่นๆด้วย
ซิลิก้าเป็นสารประกอบออกไซด์พื้นฐานของเคลือบ เคลือบไฟต่ำาซึ่งเผาที่อุณหภูมิ 1050 องศา
เซลเซียส หรือต่ำากว่า ประกอบด้วยซิลิก้าและส่วนประกอบอื่นๆที่ใช้ผลิตเคลือบในอัตราส่วน 2:1 สำาหรับ
เคลือบไฟสูงซึ่งเผาที่อุณหภูมิ 1250องศาเซลเซียสหรือสูงกว่าประกอบด้วยซิลิก้าและส่วนประกอบอื่นๆที่
ใช้ผลิตเคลือบในอัตราส่วน3-4:1ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเคลือบไฟสูงซึ่งมีปริมาณของซิลิก้ามากกว่าจะมีความ
แข็งมากกว่าเคลือบไฟต่ำาอย่างไรก็ตามถ้าใช้ปริมาณซิลิก้ามากเกินไปเคลือบอาจจะไม่สุกในอุณหภูมิที่กำา
หนดหรืออาจะทำาให้ผิวของเคลือบเกิดการแตกรานเมื่อเย็นตัวลงนอกจากนั้นซิลิก้าไม่มีผลกระทบใดๆต่อสี
เคลือบ
Alumina(AlO)3
Silica(SiO)2
2
Alumina Silica
21Wood Ash Glaze
เฟลด์สปาร์จัดได้ว่าเป็นแร่ที่มีความสำาคัญสำาหรับการทำาเคลือบ ในเคลือบเกือบทุกชนิดจะมี
เฟลด์สปาร์เป็นส่วนประกอบโดยเฉพาะเคลือบที่เผาในอุณหภูมิสูงซึ่งจะทำาหน้าที่เป็นฟลักซ์ได้ดี
เฟลด์สปาร์มีหลายชนิดแต่ละชนิดจะประกอบไปด้วยสารประกอบกลุ่มด่างอลูมิน่าและซิลิก้าที่
พบได้ทั่วไปจะเป็น โพแทสเซียมเฟลด์สปาร์ และโซเดียมเฟลด์สปาร์ซึ่งทั้งสามชนิดจะมีคุณสมบติแตกต่าง
กันออกไป
โซดาเฟลด์สปาร์ เป็นเฟลด์สปาร์ที่มีส่วนผสมของโซเดียมสูงใช้ในการผลิตแก้วและเคลือบ ส่วน
ประกอบทางเคมีจะประกอบด้วยโซเดียมอยู่ระหว่างร้อยละ 1.9ถึง 12.9 เคลือบที่ต้องการโซเดียมมักจะใช้
โซดาเฟลด์สปาร์เป็นหลักเนื่องจากไม่ละลายน้ำาและมีราคาถูก
โซดาแอชหรือโซเดียมคาร์บอเนต จัดเป็นฟลักซ์ที่ดีตัวหนึ่ง แต่เนื่องจากโซดาแอชเป็นสารที่ละลาย
น้ำาได้จึงไม่นิยมนำาไปใช้สำาหรับการเตรียมน้ำาเคลือบ
วัตถุดิบที่ใช้ในเคลือบ
วัตถุดิบที่ใช้ในการเตรียมน้ำาเคลือบแต่ละชนิดมีองค์ประกอบทางเคมีที่แตกต่างกันการนำาไปใช้จึงมี
ความจำาเป็นจะต้องรู้จักคุณสมบัติของวัตถุดิบแต่ละชนิดและเลือกใช้อย่างเหมาะสม
วัตถุดิบที่นำามาใช้ในงานเซรามิกส์ทั่วไปนั้นจะต้องผ่านกระบวนการบดละเอียดเพื่อความสะดวกกับ
การนำามาใช้โดยมาราฐานความละเอียดของวัตถุดิบกำาหนดไว้ประมาณ200เมช
ตัวอย่างวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการเตรียมเคลือบ เช่น ควอซท์, ดิน, เฟลสปาร์, ไวติ้ง, แมกนีเซีัยม
คาร์บอเนต, โดโลไมต์, แบเรียมคาร์บอเนต,ทัลคัม เป็นต้นซึ่งวัตถุดิบเหล่านี้จะให้สารประกอบออกไซด์
ต่างๆที่ประกอบกันอยู่ในตัวมันการเลือกใช้วัตถุดิบต่างๆจึงต้องคำานึงถึงคุณสมบัติทางเคมีด้วย
SodaFeldspar(NaO,AlO,6SiO)2 2 23
SodaAsh(NaCO)2 3
เคลือบขี้เถ้า22
โดโลไมต์เป็นสารประกอบของแมกนีเซียมคาร์บอเนตและแคลเซียมคาร์บอเนต ใช้เป็นส่วนผสมทั้ง
ในน้ำาเคลือบและเนื้อดิน ทำาหน้าที่เป็นฟลักซ์ร่วมกับฟลักซ์ชนิดอื่น โดโลไมต์หากใช้เป็นส่วนประกอบของ
น้ำาเคลือบโดยมีปริมาณมากถึง20%ขึ้นไปมีผลทำาให้ผิวเคลือบมีลักษณะด้าน
แมกนีเซียมคาร์บอเนตหรือแมกนีไซด์เป็นวัตถุดิบที่ให้แมกนีเซียมออกไซด์ในน้ำาเคลือบนอกจาก
แมกนีเซียมคาร์บอเนตจะเป็นฟลักซ์ในอุณหภูมิสูงแล้ว ยังเป็นวัตถุดิบที่สามารถลดสัมประสิทธิ์การหดและ
ขยายตัวของเคลือบได้ดีอีกด้วย
ไวติงหรือหินปูน เป็นสารประกอบของแคลเซียมคาร์บอเนต เป็นวัตถุดิบที่ให้แคลเซียมออกไซด์ใน
น้ำาเคลือบไวติงเป็นฟลักซ์อุณหภูมิสูงและหากใส่เกิน25%จะเป็นสาเหตุให้ผิวเคลือบมีลักษณะด้าน
ลิเทียมคาร์บอเนตเป็นวัตถุดิบที่มีราคาสูง ใช้ในน้ำาเคลือบเพื่อจะทำาให้เคลือบมีสีสันที่สดใส และยัง
เพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวของเคลือบอีกด้วย นอกจากนี้ ลิเทียมคาร์บอเนตยังสามารถทำาให้ช่วงอุณหภูมิ
การเผากว้างขึ้นอีกด้วย
Dolomite(MgCO,CaCO)3 3
MagnesiumCarbonate(MgCO)3
Whiting(CaCO)3
LithiumCarbonate(LiO)2
23Wood Ash Glaze
ดินเป็นส่วนประกอบทางเคมีของอลูมินาซิลิก้า และน้ำาซึ่งทั้งอลูมิน่าและซิลิก้าเป็นส่วนประกอบที่
สำาคัญในน้ำาเคลือบดินที่ใช้ในการทำาเคลือบนิยมใช้ดินที่มีความขาวโดยเฉพาะเคลือบที่ต้องการความขาว
และความใส
นอกจากนี้ดินยังทำาหน้าที่ช่วยสารประกอบอื่นๆในน้ำาเคลือบให้เกิดการกระจายตัว และยังทำา
หน้าที่เป็นตัวให้น้ำาเคลือบยึดเกาะกับผิวผลิตภัณฑ์ป้องกันเคลือบร่อนหลุดได้ง่าย
ควอซต์เป็นสารประกอบของซิลิก้า เรียกอีกอย่างว่าหินเขี้ยวหนุมาน เป็นวัตถุดิบที่ให้ซิลิก้าสูงถึง
98-99%มีค่าความแข็งอยู่ที่7ทำาให้การบดย่อยให้ละเอียดทำาได้ยาก
เฟอร์ริกออกไซด์ เป็นออกไซด์ให้สีที่นิยมใช้กันมาก เฟอร์ริกออกไซด์ให้สีออกน้ำาตาล ไล่เฉดอ่อน
แก่ ไปตั้งแต่สีฟางข้าว จนกระทั่งถึงดำา ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะใช้ไม่เกิน 15% นอกจา
กนี้เฟอร์ริกยังสามารถให้สีเขียวศิลาดลได้อีกด้วยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบรรยากาศในการเผาและปริมาณเฟอร์ริก
ที่ผสมในเคลือบ
Kaolin(AlO,2SiO,2HO)2 23 2
Quartz(SiO)2
FerricOxide(FeO)2
3
Feldspar Dolomite Quartz
บทที่ 4 การคำานวณหาสูตรเคลือบ
25Wood Ash Glaze
การคำานวณสูตรเคลือบแบบเอ็มไพริคัล
ในบทนี้จะยกตัวอย่างการแปลงสูตรเคลือบแบบส่วนผสมไปเป็นสูตรเคลือบแบบเอ็มไพริคัล โดยยก
ตัวอย่างสูตรเคลือบดังนี้
SodiumFeldspar 56%
Dolomite 19%
MagnesiumCarbonate 4%
ZincOxide 6%
Kaolin 2%
Quartz 13%
ขั้นตอนที่ 1
ต้องทำาการหาค่าโมลของวัตถุดิบแต่ละชนิดก่อนโดยการใช้สูตร
โมล มวล(g)
น้ำาหนักโมเลกุล
=
SodaFeldspar มวล=56 น้ำาหนักโมเลกุล= 524.6 โมล=0.107
Dolomite มวล=19 น้ำาหนักโมเลกุล= 184.4 โมล=0.103
MagnesiumCar. มวล=4 น้ำาหนักโมเลกุล= 84.3 โมล=0.047
ZincOxide มวล=6 น้ำาหนักโมเลกุล= 81.4 โมล=0.074
Kaolin มวล=2 น้ำาหนักโมเลกุล= 258 โมล=0.008
Quartz มวล=13 น้ำาหนักโมเลกุล= 60.1 โมล=0.216
เคลือบขี้เถ้า26
ขั้นตอนที่ 2
จำาแนกกลุ่มวัตถุดิบตามคุณสมบัติทางเคมีและแทนค่าจำานวนโมล
ขั้นตอนที่ 3
จัดให้อยู่ในรูปของสูตรเอ็มไพริคัล
MgO
CaO
ZnO
Na O2 SiO2Al O2 30.107 0.115 0.874
0.150
0.103
0.074
MgO CaO ZnONa O2 SiO2Al O2 3
Soda Feld. (0.107) 0.107 - - - 0.107 0.642
Dolomite (0.103) - 0.103 0.103 - - -
Magnesium Car. (0.047) - 0.047 - - - -
Zinc Oxide (0.074) - - - 0.074 - -
Kaolin (0.008) - - - - 0.008 0.016
Quartz (0.216)
รวม
-
0.017
-
0.150
-
0.103
-
0.074
-
0.115
0.216
0.874
27Wood Ash Glaze
ขั้นตอนที่ 4
กฎของสูตรเอ็มไพริคัลนั้น ผลรวมของกลุ่มด่างจะต้องมีค่าเท่ากับ 1 หากผลรวมของกลุ่มด่างไม่
เท่ากับ1ให้ใช้ผลรวมที่ได้จากกลุ่มด่างหารทั้งหมดจะได้ดังนี้
จะได้สูตรเอ็มไพริคัลดังนี้
MgO
CaO
ZnO
Na O2 SiO2Al O2 30.107/0.434 0.115/0.434 0.874/0.434
0.150/0.434
0.103/0.434
0.074/0.434
MgO
CaO
ZnO
Na O2 SiO2Al O2 30.247 0.265 2.014
0.346
0.237
0.171
การเขียนสูตรเคลือบแบบเอ็มไพริคัลนั้น นอกจากจะสามารถบอกองค์ประกอบทางเคมีแล้ว ยังสามารถบอกได้ถึงช่วง
อุณหภูมิการเผา.ลักษณะความมันวาวของเคลือบได้อีกด้วย
การพิจารณาช่วงอุณหภูมิที่ใช้เผา
ให้พิจารณาจากอัตราส่วนของผลรวมกลุ่มด่างต่อผลรวมกลุ่มกรดหากได้เท่ากับ2-2.5จะเป็นเคลือบไฟต่ำา,หากเป็น
4-7จะเป็นเคลือบไฟปานกลางจนถึงไฟสูง
การพิจารณาลักษณะความเมันวาวของเคลือบ
ให้พิจารณาจากอัตตราส่วนค่าโมลของอลูมิน่ากับค่าโมลของซิลิก้าหากอัตราส่วนอลูมิน่า:ซิลิก้า=1-4ผิวเคลือบ
จะมีลักษณะด้าน,5-6กึ่งมันกึ่งด้าน,7-12มัน,15-20จะเป็นเคลือบผลึก
เคลือบขี้เถ้า28
การหาสูตรเคลือบด้วยตารางสามเหลี่ยม
ในที่นี้เราจะใช้ประโยชน์จากตารางสามเหลี่ยมด้านเท่ามาใช้คิดหาด่าง3ชนิดนั่นคือLithiumOx-
ide,ZincOxide,CalciumOxideโดยจะกำาหนดด่างที่มีความคงที่อยู่2ชนิดนั่นคือSodiumOxide(0.25
โมล)และMagnesiumOxide(0.35โมล)และจะนำาไปคำานวณเป็นสูตรส่วนผสมแบบร้อยละ
โดยจากตารางสามเหลี่ยมจะกำาหนดให้AคือCalciumOxide,BคือZincOxideและCคือLithumOxide
29Wood Ash Glaze
CalciumOxide ZincOxide LithiumOxide
1 0 100 0
20 60 20
40 0 60
0 80 20
20 40 40
60 40 0
0 60 40
20 20 60
60 20 20
0 40 60
20 0 80
60 0 40
0 20 80
40 60 0
80 20 0
0 0 100
40 40 20
80 0 20
20 80 0
40 20 40
100 0 0
23456789101112131415161718192021
แต่เพื่อเป็นการประหยัดวัตถุดิบที่ใช้ในการทดลองเคลือบครั้งนี้จะใช้สูตรเฉพาะจุดที่7,8,9,10,11,16,17,
18,21เท่านั้น
การคำาณวนหาสูตรส่วนผสมแบบร้อยละ
เมื่อเราได้สูตรสารประกอบมาแล้ว จะนำามาคำานวณหาสูตรส่วนผสมแบบร้อยละ โดยการนำามา
แทนค่าในส่วนที่เป็นด่างขอสูตรเอ็มไพริคัลโดยจะให้สารประกอบที่เป็นด่างทั้งหมดรวมกันเท่ากับ1ดังตัว
อย่างนี้
MgO
CaO
ZnO
Na O2 SiO2Al O2 30.25 0.265 2.014
0.35
0.24
0.16
เคลือบขี้เถ้า30
จากนั้นจึงนำาวัตถุดิบที่เหมาะสมมาใส่โดยให้พอดีกับค่าโมลของสารประกอบต่างๆ(ยกตัวอย่างจุดที่16)
MgO CaO ZnONa O2 SiO2Al O2 3
Soda Feld. (0.25) 0.25
-
0.25 0.35 0.24 0.16 0.268 2.060-
0.35
-
0.24
-
0.16
0.25
0.018
1.500
0.560
Dolomite (0.24) -
-
0.24
0.11
0.24
-
-
0.16
-
0.018
-
0.560
Magnesium Car. (0.11) -
-
0.11
-
-
-
-
0.16
-
0.018
-
0.560
Zinc Oxide (0.16) -
-
-
-
-
-
0.16
-
-
0.018
-
0.560
Kaolin (0.018) -
-
-
-
-
-
-
-
0.018
-
0.036
0.524
Quartz (0.524) -
-
-
-
-
-
-
-
-
-
0.524
-
เมื่อได้ค่าโมลของวัตถุดิบที่ต้องการมาแล้ว จึงนำามาคิดหาค่ามวลของวัตถุ โดยการนำา ค่าโมล มาคูณกับ
น้ำาหนักโมเลกุลของวัตถุดิบ
SodaFeldspar โมล=0.25 น้ำาหนักโมเลกุล=524.6 มวล=131.15
Dolomite โมล=0.24 น้ำาหนักโมเลกุล=184.4 มวล=44.256
MagnesiumCar. โมล=0.11 น้ำาหนักโมเลกุล=84.3 มวล=9.273
ZincOxide โมล=0.16 น้ำาหนักโมเลกุล=81.4 มวล=13.024
Kaolin โมล=0.018 น้ำาหนักโมเลกุล=258 มวล=4.644
Quartz โมล=0.524 น้ำาหนักโมเลกุล=60.1 มวล=31.492
31Wood Ash Glaze
จากตารางสามเหลี่ยมนำาจุดที่7,8,9,10,11,16,17,18,21มาคำานวณเป็นสูตรส่วนผสมแบบร้อย
ละเพื่อนำามาทดลองได้ดังนี้
เมื่อได้ค่ามวลของวัตถุดิบแต่ละชนิดมาแล้ว จึงนำามาคิดเป็นสูตรส่วนผสมแบบร้อยละ โดยนำาค่ามวลของ
แต่ละวัตถุดิบมาหารด้วยผลรวมของน้ำาหนักทั้งหมดและคูณด้วยร้อยจะได้สูตรส่วนผสมแบบร้อยละดังนี้
SodiumFeldspar 56%
Dolomite 19%
MagnesiumCarbonate 4%
ZincOxide 6%
Kaolin 2%
Quartz 13%
SodiumFeldspar 57%
Dolomite 6%
MagnesiumCarbonate 10%
ZincOxide 11%
Kaolin 2%
Quartz 14%
สูตรส่วนผสมแบบร้อยละจากตารางสามเหลี่ยม
สูตรที่7
เคลือบขี้เถ้า32
SodiumFeldspar 57%
Dolomite 6%
MagnesiumCarbonate 10%
ZincOxide 8%
LithiumCarbonate 3%
Kaolin 2%
Quartz 14%
SodiumFeldspar 57%
Dolomite 6%
MagnesiumCarbonate 10%
ZincOxide 6%
LithiumCarbonate 5%
Kaolin 2%
Quartz 14%
SodiumFeldspar 57%
Dolomite 6%
MagnesiumCarbonate 10%
ZincOxide 3%
LithiumCarbonate 8%
Kaolin 2%
Quartz 14%
สูตรที่8
สูตรที่9
สูตรที่10
33Wood Ash Glaze
SodiumFeldspar 57%
Dolomite 6%
MagnesiumCarbonate 10%
LithiumCarbonate 10%
Kaolin 2%
Quartz 14%
SodiumFeldspar 56%
Dolomite 19%
MagnesiumCarbonate 4%
ZincOxide 6%
Kaolin 2%
Quartz 14%
SodiumFeldspar 56%
Dolomite 19%
MagnesiumCarbonate 4%
ZincOxide 3%
LithiumCarbonate 3%
Kaolin 2%
Quartz 14%
สูตรที่11
สูตรที่16
สูตรที่17
เคลือบขี้เถ้า34
SodiumFeldspar 56%
Dolomite 19%
MagnesiumCarbonate 4%
LithiumCarbonate 5%
Kaolin 2%
Quartz 14%
SodiumFeldspar 54%
Dolomite 27%
Whiting 4%
Kaolin 2%
Quartz 14%
สูตรที่18
สูตรที่21
บทที่ 5 การเตรียมเคลือบ
37Wood Ash Glaze
การชุบ การชุบเคลือบนั้นถือเป็นวิธีที่ใช้กันมา
อย่างยาวนานที่สุดและเป็นที่นิยมที่สุด เพราะสามารถชุบ
ได้ทีเดียวทั้งชิ้น และได้ความหนาที่สม่ำาเสมอกันที่สุด แต่
การชุบแบบนี้ก็มีข้อจำากัดคือต้องมีปริมาณน้ำาเคลือบมาก
พอที่จะชุบผลิตภัณฑ์ลงไปได้ในครั้งเดียว
การเทราด การเทราดนั้นเหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่
มีขนาดใหญ่ ไม่สามารถชุบเคลือบได้ทั้งใบ นิยมใช้กับ
การเคลือบภายในของผลิตภัณฑ์ ข้อเสียของวิธีนี้คือจะ
ทิ้งรอยของชิ้นเคลือบที่ไม่เท่ากันไว้
การระบาย เป็นการนำาแปรงหรือพู่กันจุ่มน้ำาเคลือบ
แล้วมาระบายบนผิวผลิตภัณฑ์ วิธีนี้นับว่าเป็นวิธีที่ควบคุม
ความสม่ำาเสมอได้ยากที่สุด เพราะจะทิ้งรอยของฝีแปรงไว้
นิยมใช้ในการเคลือบเพื่อตกแต่ง ไม่เหมาะกับงาน
อุตสาหกรรมที่ต้องการความแน่นอน
การพ่น เหมาะกับการเคลือบผลิตภัณฑ์ที่มี
ขนาดใหญ่และต้องการความคุมความหนา
สม่ำาเสมอกันอย่างเช่นสุขภัณฑ์เป็นต้น
บทที่ 6 การเผา
39Wood Ash Glaze
การเผา
การเผาดิบ
การเผาเคลือบ
การเผาเป็นกระบวนการที่สำาคัญมากกระบวนการหนึ่ง เป็นปัจจัยที่สำาคัญต่อลักษณะของเคลือบสี
ฯลฯ เช่น หากเคลือบสูตรเดียวกัน แต่เผาด้วยอุณหภูมิต่างกัน หรือเผาด้วยบรรยากาศที่ต่างกัน เคลือบที่
ออกมาก็จะมีความแตกต่างกัน
ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการเผาดิบแล้วจะมีความพรุนตัวสูงเนื่องจากการเผาดิบเผาในอุณหภูมิต่ำา750-
800 องศาเซลเซียส ทำาให้ผลิตภัณฑ์ สามารถดูดซึมน้ำาเคลือบได้ดี เหมาะสำาหรับผู้ไม่ชำานาญในการชุบ
เคลือบเมื่อชุบเสียสามารถนำาผลิตภัณฑ์ไปล้างเคลือบออกผึ่งให้แห้งแล้วนำามาเคลือบใหม่
การเผาดิบเคลือบคือการเผาเพื่อให้เนื้อดิน และน้ำาเคลือบถึงจุดสุกตัวที่ต้องการ โดยปัจจัยที่ทำาให้
เคลือบและเนื้อดินสุกตัวไม่ดูดซึมน้ำาอีกต่อไปคืออุณหภูมิที่ใช้ในการเผา ส่วนปัจจัยที่ทำาให้เกิดสีต่างๆ
ของเคลือบนั้นจะขึ้นอยู่กับทั้งอุณหภูมิ และบรรยากาศการเผา ซึ่งบรรยากาศการเผาก็จะแบ่งได้อีกเป็น 3
ประเภทคือการเผาแบบOxidation,การเผาแบบReductionและการเผาแบบNeutral
1. บรรยากาศออกซิเดชั่น (Oxidation)คือการเผาที่มีการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์และใช้ออกซิเจน
มากเกินพอซึ่งเมื่อเกิดการเผาไหม้แล้วจะมีออกซิเจนเหลืออยู่
2. บรรยากาศรีดักชั่น (Reduction)คือการเผาที่มีการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ในเตาเผามีออกซิเจน
ไม่เพียงพอซึ่งเมื่อเกิดการเผาไหม้แล้วจะมีคาร์บอนมอนอกไซด์เหลืออยู่
3. บรรยากาศนิวทรัล ( Neutral Firing )คือการเผาไหม้ที่สมบูรณ์และไม่มีออกซิเจนเหลืออยู่เลย
การเผาไหม้มีออกซิเจนที่พอดี
บทที่ 7 ผลการทดลอง
41Wood Ash Glaze
ผลการทดลองเคลือบขี้เถ้าจากฟาง(ครั้งแรก)
การทดลองเคลือบขี้เถ้าจากฟางนั้น จะใช้สูตรเคลือบที่ได้คำานวณไว้ตามบทที่ 4 ออกมาเป็นสูตร
ต่างๆ จำานวน 9 สูตร จากนั้นนำามาใส่ขี้เถ้าฟางลงไป 30% และ 60% จากนั้นนำาไปเผาที่อุณหภูมิ 1230
องศาสเซลเซียสทั้งบรรยากาศการเผาแบบออกซิเดชั่นและการเผาแบบรีดักชั่น
ผลการทดลองที่ได้เป็นดังต่อไปนี้
ผลการทดลองสูตรที่7,8,9,10,11,16,17,18,21
Additionขี้เถ้าฟาง30%บรรยากาศการเผาOxidationFiring1230องศาเซลเซียส
เคลือบขี้เถ้า42
ผลการทดลองสูตรที่7,8,9,10,11,16,17,18,21
Additionขี้เถ้าฟาง60%บรรยากาศการเผาOxidationFiring1230องศาเซลเซียส
43Wood Ash Glaze
ผลการทดลองสูตรที่7,8,9,10,11,16,17,18,21
Additionขี้เถ้าฟาง30%บรรยากาศการเผาReductionFiring1230องศาเซลเซียส
เคลือบขี้เถ้า44
ผลการทดลองสูตรที่7,8,9,10,11,16,17,18,21
Additionขี้เถ้าฟาง60%บรรยากาศการเผาReductionFiring1230องศาเซลเซียส
45Wood Ash Glaze
ผลการทดลองสูตรที่7,8,9,10,11,16,17,18,21
Additionขี้เถ้าฟาง30%,SodaAsh4%,FerricOxide3%ReductionFiring1280องศาเซลเซียส
จากการทดลองในครั้งแรก จะเห็นได้ว่าโดยรวมแล้ว เคลือบนั้นด้าน ไม่สุกตัว ซึ่งอาจเกิดเพราะ
อุณหภูมิไม่ถึงจุดสุกตัวและมีสีสันที่ไม่สวยงามจึงได้ทำาการปรับสูตรโดยการAdditionSodaAsh เพิ่ม
เข้าไปอีก4%และFerricOxideอีก3%จากนั้นนำาไปเผาที่อุณหภูมิ1280องศาเซลเซียสด้วยบรรยากา
ศการเผาแบบReduction
ผลการทดลองที่ได้เป็นดังต่อไปนี้
ผลการทดลองเคลือบขี้เถ้าจากฟาง(ครั้งที่สอง)
เคลือบขี้เถ้า46
ผลการทดลองสูตรที่7,8,9,10,11,16,17,18,21
Additionขี้เถ้าฟาง60%,SodaAsh4%,FerricOxide3%ReductionFiring1280องศาเซลเซียส
เมื่อนำาเคลือบมาใส่ Soda Ash, Ferric Oxide และนำาไปเผาที่อุณหภูมิที่สูงขึ้นในบรรยากาศรีดัก
ชั่น จะเห็นได้ว่าเคลือบมีลักษณะไหลตัวมากขึ้นและมีความมันวาวมากขึ้น (มีลักษณะกึ่งมัน-กึ่งด้าน) มีสี
เขียวแก่-เขียวขี้ม้าและจุดดำาๆอยู่ในเคลือบเป็นจำานวนมาก
สรุปผลการทดลอง
47Wood Ash Glaze
ลักษณะของเคลือบขี้เถ้า ที่ใช้ขี้เถ้าแกลบเป็นส่วนประกอบ จะเห็นได้ว่่ามีลักษณะการไหลตัวที่มาก
พอสมควรและมีความใสออกสีเขียวเข้มจางๆและในเนื้อเคลือบนั้นจะมีจุดสีดำาเล็กๆกระจายอยู่แต่ไม่มาก
เท่ากับเคลือบขี้เถ้าไม้ฟาง
สรุปผลการทดลอง
ผลการทดลองสูตรที่7,8,9,10,11,16,17,18,21
Additionขี้เถ้าแกลบ60%,SodaAsh4%,FerricOxide3%ReductionFiring1280องศาเซลเซียส
ผลการทดลองเคลือบขี้เถ้าแกลบ
การทดลองเคลือบขี้เถ้าแกลบนั้นจะใช้สูตรเคลือบที่ได้คำานวณไว้ตามบทที่4ออกมาเป็นสูตรต่างๆ
จำานวน9สูตรจากนั้นนำามาใส่ขี้เถ้าแกลบ60%,SodaAsh4%,FerricOxide3%จากนั้นนำาไปเผาที่
อุณหภูมิ1280องศาสเซลเซียสในบรรยากาศการเผาแบบรีดักชั่น
ผลการทดลองที่ได้เป็นดังต่อไปนี้
เคลือบขี้เถ้า48
ผลการทดลองเคลือบขี้เถ้าไม้เบญจพรรณ
การทดลองเคลือบขี้เถ้าไม้เบญจพรรณนั้นจะใช้สูตรเคลือบที่ได้คำานวณไว้ตามบทที่4ออกมาเป็น
สูตรต่างๆจำานวน9สูตรจากนั้นนำามาใส่ขี้เถ้าไม้เบญจพรรณ60%,SodaAsh4%,FerricOxide3%จาก
นั้นนำาไปเผาที่อุณหภูมิ1280องศาสเซลเซียสในบรรยากาศการเผาแบบรีดักชั่น
ผลการทดลองที่ได้เป็นดังต่อไปนี้
ผลการทดลองสูตรที่7,8,9,10,11,16,17,18,21
Additionขี้เถ้าไม้เบญจพรรณ60%,SodaAsh4%,FerricOxide3%
ReductionFiring1280องศาเซลเซียส
ลักษณะของเคลือบขี้เถ้า ที่ใช้ขี้เถ้าไม้เบญจพรรณเป็นส่วนประกอบหลัก 60&
นั้นจะเห็นได้ว่าเคลือบมีการไหลตัวสูงมาก(ไหลจนลงมากองที่ฐานของTest
Piece)และมีสีออกเขียวอ่อนมีการรานตัวอย่างเห็นได้ชัด
สรุปผลการทดลอง
49Wood Ash Glaze
ผลการทดลองเคลือบขี้เถ้าแกลบผสมขี้เถ้าไม้เบญจพรรณ
การทดลองเคลือบขี้เถ้าแกลบผสมขี้เถ้าไม้เบญจพรรณนั้น จะใช้สูตรเคลือบที่ได้คำานวณไว้ตามบท
ที่ 4 ออกมาเป็นสูตรต่างๆ จำานวน 9 สูตร จากนั้นนำามาใส่ขี้เถ้าแกลบ 30%, ขี้เถ้าไม้เบญจพรรณ 30%,
SodaAsh4%,FerricOxide3%จากนั้นนำาไปเผาที่อุณหภูมิ1280องศาสเซลเซียสในบรรยากาศการเผา
แบบรีดักชั่น
ผลการทดลองที่ได้เป็นดังต่อไปนี้
ผลการทดลองสูตรที่7,8,9,10,11,16,17,18,21
Additionขี้เถ้าแกลบ30%,ขี้เถ้าไม้เบญจพรรณ30%,SodaAsh4%,FerricOxide3%
ReductionFiring1280องศาเซลเซียส
ลักษณะของเคลือบขี้เถ้า ที่ใช้ขี้เถ้าแกลบผสมกับขี้เถ้าไม้เบญจพรรณอย่างละ 30% นั้น มีลักษณะ
การไหลตัวที่มากพอสมควรใสมีสีเขียวอ่อนบางสูตรจะมีตำาหนิในเคลือบเป็นผลึกสีขาวปะปนอยู่บ้าง
สรุปผลการทดลอง
51Wood Ash Glaze
เคลือบเซรามิกส์1 :ผศ.เสกสรรค์ตัณยาภิรมย์
รวมสูตรเคลือบเซรามิกส์ :อ.ไพจิตรอิงศิริวัฒน์
เคลือบดินเผา :อ.ศุภกาปาลเปรม
บรรณานุกรม