FRM issue 8 (June 2013)

56

description

FRM : For Ride Magazine issue 8 June 2013, Find us : www.facebook.com/FRMfans

Transcript of FRM issue 8 (June 2013)

Page 1: FRM issue 8 (June 2013)
Page 2: FRM issue 8 (June 2013)
Page 3: FRM issue 8 (June 2013)
Page 4: FRM issue 8 (June 2013)

Message From EDITOR

e-mail : [email protected]

facebook.com/FRMfans

นพดล แผงเพชรบรรณาธิการบริหาร[email protected]

Executive Editor : Nopdon Phaengphet นพดลแผงเพชรEditorial : Kampol Gaensuwan กัมพลแก่นสุวรรณ์ Komz Giggs Mr. BlackSpecial Guest : Nicky PH & Franco Angeloni VEDETT /////Graphic Design : Komkrit Sakulvilailerd คมกริชสกุลวิไลเลิศPhotographer : FRM Team

บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา:นพดลแผงเพชรโรงพิมพ์/เพลท:เอส.ออฟเซ็ทกราฟฟิคดีไซน์จัดจ�าหน่าย:บริษัทส�านักพิมพ์นุชนารถจ�ากัดส�านักงานฟอร์ไรด์แมกกาซีน:12/76ซอยนาคนิวาส59ถนนนาคนิวาสแขวงลาดพร้าวเขตลาดพร้าวกรุงเทพฯ10230โทร.0-2932-8716,08-9499-1927

FRM TEAM

CONTENTISSUE 08 JUNE 2013

News Update ............................................ 6

Hot Pick Of Month .................................12Yamaha All New Fino “TrafficExeC.U.T.Er”

Test : YSS Full Option for Vespa........18YSS จัดเต็มเสริมหล่อ Vespa พร้อมสมรรถนะที่ “ปรับได้”

Yamaha Scoop ........................................22ความรู้สึกใหม่ๆ ประสบการณ์มันส์ๆ กับ All New Fino

Yamaha Cup Race 2013 ...................... 24ระเบิดความมันส์สุดขีด สนามที่ 1 จ.ตรัง

The Journey ............................................26บุกตะลุยไต้หวัน!! เที่ยวงาน Taiwan Motor Show

Around The World .................................32ออกสู่เส้นทาง N66 เป้าหมายคือฝรั่งเศส

TechKnow. ................................................36A.I.R.B.A.G. อ่ะ!!! รู้จักกันป่ะ..?

Bike Meet Doc.. ..................................... 40เตรียมรถรับหน้าฝนและเดินทางไกล

MotoGP Report #3 ................................ 44Circuito de Jerez

MotoGP Report #4 ................................ 47Bugatti “LeMans” track in track

Gear Hunter ...........................................50เสื้อแจ๊กเก็ต Airbag จาก Clover

Crazy Gadgets ......................................52มีแต่ของเจ็บๆ โดนๆ อีกแล้ว!!

เมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา...กลุ่มบิ๊กไบค์กลุ่มหนึ่งซึ่งไปรวมตัวกัน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า และคนในกลุ่มคนนึงก็ได้ท�าพฤติกรรมบ้าพลังด้วยการขี่ยกล้อบนถนน พร้อมกับซุ้มเสียงจากท่อไอเสียที่แผดก้องไปทั่วบริเวณ...ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นถือได้ว่าเป็น “เขตพระราชฐาน” ซึ่งถือว่าเป็นการกระท�าที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง!!!

ซึ่งกระท�านั้นได้ถูกเผยแพร่ทางคลิปวีดีโอผ่านทางสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง ท�าให้สังคมของชาวบิ๊กไบค์และผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ถูกจับตามองมากยิ่งขึ้น ทั้งๆ ที่ปกติสังคมมอเตอร์ไซค์ก็ถูกมองในแง่ลบมาตลอดอยู่แล้ว ก็ยิ่งติดลบเพิ่มขึ้นไปอีก และเชื่อว่าต่อไป ลานพระบรมรูปฯ ซึ่งเป็นจุดนัดพบรวมตัวพบปะกันของกลุ่มคนหลายๆ กลุ่ม รวมถึงกลุ่มผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ด้วย ก็จะถูกเข้มงวดหรือไม่ก็อาจจะถูกห้ามใช้สถานที่แห่งนี้เป็นจุดรวมพลกันก็เป็นได้ ซึ่งสาเหตุก็มาจากการกระท�าที่ขาดความยั้งคิดของคนๆ เดียว ส่งผลให้เกิดความเสื่อมเสียไปยังคยหมู่มาก...เรียกว่า “ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง” ก็ว่าได้

ยังไงก็อยากจะฝากถึงกลุ่มผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นรถเล็กหรือรถใหญ่ เราควรที่จะช่วยกันดูแลและเฝ้าระวังดูแลสมาชิกในกลุ่มให้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์กันอย่างเรียบร้อย ไม่ปฏิบัติตัวขับขี่ในลักษณะที่จะสร้างความเสื่อมเสียให้กับกลุ่มและสังคมผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์...ช่วยกันนะครับ ช่วยกันยกระดับให้กับสังคมมอเตอร์ไซค์ที่พวกเรารักให้ดียิ่งขึ้น!!!

Page 5: FRM issue 8 (June 2013)

Message From EDITOR

e-mail : [email protected]

facebook.com/FRMfans

นพดล แผงเพชรบรรณาธิการบริหาร[email protected]

Executive Editor : Nopdon Phaengphet นพดลแผงเพชรEditorial : Kampol Gaensuwan กัมพลแก่นสุวรรณ์ Komz Giggs Mr. BlackSpecial Guest : Nicky PH & Franco Angeloni VEDETT /////Graphic Design : Komkrit Sakulvilailerd คมกริชสกุลวิไลเลิศPhotographer : FRM Team

บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา:นพดลแผงเพชรโรงพิมพ์/เพลท:เอส.ออฟเซ็ทกราฟฟิคดีไซน์จัดจ�าหน่าย:บริษัทส�านักพิมพ์นุชนารถจ�ากัดส�านักงานฟอร์ไรด์แมกกาซีน:12/76ซอยนาคนิวาส59ถนนนาคนิวาสแขวงลาดพร้าวเขตลาดพร้าวกรุงเทพฯ10230โทร.0-2932-8716,08-9499-1927

FRM TEAM

CONTENTISSUE 08 JUNE 2013

News Update ............................................ 6

Hot Pick Of Month .................................12Yamaha All New Fino “TrafficExeC.U.T.Er”

Test : YSS Full Option for Vespa........18YSS จัดเต็มเสริมหล่อ Vespa พร้อมสมรรถนะที่ “ปรับได้”

Yamaha Scoop ........................................22ความรู้สึกใหม่ๆ ประสบการณ์มันส์ๆ กับ All New Fino

Yamaha Cup Race 2013 ...................... 24ระเบิดความมันส์สุดขีด สนามที่ 1 จ.ตรัง

The Journey ............................................26บุกตะลุยไต้หวัน!! เที่ยวงาน Taiwan Motor Show

Around The World .................................32ออกสู่เส้นทาง N66 เป้าหมายคือฝรั่งเศส

TechKnow. ................................................36A.I.R.B.A.G. อ่ะ!!! รู้จักกันป่ะ..?

Bike Meet Doc.. ..................................... 40เตรียมรถรับหน้าฝนและเดินทางไกล

MotoGP Report #3 ................................ 44Circuito de Jerez

MotoGP Report #4 ................................ 47Bugatti “LeMans” track in track

Gear Hunter ...........................................50เสื้อแจ๊กเก็ต Airbag จาก Clover

Crazy Gadgets ......................................52มีแต่ของเจ็บๆ โดนๆ อีกแล้ว!!

เมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา...กลุ่มบิ๊กไบค์กลุ่มหนึ่งซึ่งไปรวมตัวกัน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า และคนในกลุ่มคนนึงก็ได้ท�าพฤติกรรมบ้าพลังด้วยการขี่ยกล้อบนถนน พร้อมกับซุ้มเสียงจากท่อไอเสียที่แผดก้องไปทั่วบริเวณ...ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นถือได้ว่าเป็น “เขตพระราชฐาน” ซึ่งถือว่าเป็นการกระท�าที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง!!!

ซึ่งกระท�านั้นได้ถูกเผยแพร่ทางคลิปวีดีโอผ่านทางสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง ท�าให้สังคมของชาวบิ๊กไบค์และผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ถูกจับตามองมากยิ่งขึ้น ทั้งๆ ที่ปกติสังคมมอเตอร์ไซค์ก็ถูกมองในแง่ลบมาตลอดอยู่แล้ว ก็ยิ่งติดลบเพิ่มขึ้นไปอีก และเชื่อว่าต่อไป ลานพระบรมรูปฯ ซึ่งเป็นจุดนัดพบรวมตัวพบปะกันของกลุ่มคนหลายๆ กลุ่ม รวมถึงกลุ่มผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ด้วย ก็จะถูกเข้มงวดหรือไม่ก็อาจจะถูกห้ามใช้สถานที่แห่งนี้เป็นจุดรวมพลกันก็เป็นได้ ซึ่งสาเหตุก็มาจากการกระท�าที่ขาดความยั้งคิดของคนๆ เดียว ส่งผลให้เกิดความเสื่อมเสียไปยังคยหมู่มาก...เรียกว่า “ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง” ก็ว่าได้

ยังไงก็อยากจะฝากถึงกลุ่มผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นรถเล็กหรือรถใหญ่ เราควรที่จะช่วยกันดูแลและเฝ้าระวังดูแลสมาชิกในกลุ่มให้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์กันอย่างเรียบร้อย ไม่ปฏิบัติตัวขับขี่ในลักษณะที่จะสร้างความเสื่อมเสียให้กับกลุ่มและสังคมผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์...ช่วยกันนะครับ ช่วยกันยกระดับให้กับสังคมมอเตอร์ไซค์ที่พวกเรารักให้ดียิ่งขึ้น!!!

Page 6: FRM issue 8 (June 2013)
Page 7: FRM issue 8 (June 2013)
Page 8: FRM issue 8 (June 2013)
Page 9: FRM issue 8 (June 2013)
Page 10: FRM issue 8 (June 2013)
Page 11: FRM issue 8 (June 2013)
Page 12: FRM issue 8 (June 2013)

Hot Pick of Month

2013 YamahaAll New Fino >> All New Feeling

Traffic ExeC.U.T.Er ไฟไดมอนด์สุดจี๊ด...ซี๊ดสะบัดกลางกรุง

All New Finoหัวฉีดใหม่

เกาะกระแสไปกับรถออโตเมติกน้องใหม่ล่าสุดจากยามาฮ่า All New Fino >> All New Feeling ทายาทรุ่นล่าสุดสืบเชื้อสายจากรถออโตเมติกตากลมในต�านานหน้าแรกของวงการออโตเมติกสไตล์แฟชั่นคลาสสิค ในปี 2013 นี้เองที่เจ้ารถไฟกลมคันนี้ถูกปรับโฉมใหม่ อัพเกรดหัวใจใหม่...อันแน่นไปด้วยเทคโนโลยีเจ๋งๆ แต่ยังคงรักษาจุดเด่นในด้านความคิวท์ (น่ารักอ่ะ!) มากับเรา FRM แล้วคุณอาจได้ทุบกระปุกหมูเพื่อ All New Fino หัวฉีดใหม่นี้กันเลยทีเดียว

Born to be Different! กเ็กดิมาแปลกแตกต่างอ่ะ!...มไีรป่ะ?

นับจากวันที่ Yamaha Fino ได้ก้าวออกจากโรงงานสู่ตลาดรถมอเตอร์ไซค์พร้อมคอนเซ็ปต์ “ออโตเมติกแฟชั่นสไตล์โมเดิร์นคลาสสิค” (ย้อนกลับไป 2007) ณ เวลานั้น วัยรุ่นวัยโจ๋ทั้งหลายต่างออกความเห็นว่า “เฮ้ยมันจะใช่หรอ? เฮ้ยนายไฟกลมมันไม่ใช่อ่ะ! ว๊าย..กิ๊วๆ รถอะไรน่ารักเกินไปป่ะนาย” หลายค�าถามหลายข้อสงสัยเกิดขึ้นเมื่อ Fino ออกโลดแล่นบนถนนในช่วงแรก...แต่ล่าสุดจากตัวเลขยอดขาย 1,500,000 คัน ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันและตอบค�าถามเหล่านั้นได้เป็นอย่างดีว่า Fino เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของรถออโตเมติกสไตล์แฟชั่นตัวจริง ไม่ว่าจะรถเดิมๆ ขี่ใช้งานทั่วไปหรือจะเป็น Fino ที่ตกแต่งแบบสุดไอเดียก็สามารถพบเห็นได้ทั่วประเทศไทย...และในปี 2013 Fino นี้เองที่เจ้าฟีโน่ไฟกลมที่คุ้นเคยถูกอัพเกรดใหม่หมดจด ตั้งแต่ภายในยันภายนอก แต่! ก็ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมนั่นก็คือ “ผู้น�าด้านออโตเมติกแฟชั่นสไตล์คลาสสิค”…เรียกได้ว่าต่อให้เป็น Fino รุ่นเก่าเก๋ากึ๊กหรือจะเป็น All New Fino ตัวใหม่ล่าสุด ไม่ว่าไปเจอกันที่ไหนก็ยังคงเป็น Fino เหมือนกัน!

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201312 13

Page 13: FRM issue 8 (June 2013)

Hot Pick of Month

2013 YamahaAll New Fino >> All New Feeling

Traffic ExeC.U.T.Er ไฟไดมอนด์สุดจี๊ด...ซี๊ดสะบัดกลางกรุง

All New Finoหัวฉีดใหม่

เกาะกระแสไปกับรถออโตเมติกน้องใหม่ล่าสุดจากยามาฮ่า All New Fino >> All New Feeling ทายาทรุ่นล่าสุดสืบเชื้อสายจากรถออโตเมติกตากลมในต�านานหน้าแรกของวงการออโตเมติกสไตล์แฟชั่นคลาสสิค ในปี 2013 นี้เองที่เจ้ารถไฟกลมคันนี้ถูกปรับโฉมใหม่ อัพเกรดหัวใจใหม่...อันแน่นไปด้วยเทคโนโลยีเจ๋งๆ แต่ยังคงรักษาจุดเด่นในด้านความคิวท์ (น่ารักอ่ะ!) มากับเรา FRM แล้วคุณอาจได้ทุบกระปุกหมูเพื่อ All New Fino หัวฉีดใหม่นี้กันเลยทีเดียว

Born to be Different! กเ็กดิมาแปลกแตกต่างอ่ะ!...มไีรป่ะ?

นับจากวันที่ Yamaha Fino ได้ก้าวออกจากโรงงานสู่ตลาดรถมอเตอร์ไซค์พร้อมคอนเซ็ปต์ “ออโตเมติกแฟชั่นสไตล์โมเดิร์นคลาสสิค” (ย้อนกลับไป 2007) ณ เวลานั้น วัยรุ่นวัยโจ๋ทั้งหลายต่างออกความเห็นว่า “เฮ้ยมันจะใช่หรอ? เฮ้ยนายไฟกลมมันไม่ใช่อ่ะ! ว๊าย..กิ๊วๆ รถอะไรน่ารักเกินไปป่ะนาย” หลายค�าถามหลายข้อสงสัยเกิดขึ้นเมื่อ Fino ออกโลดแล่นบนถนนในช่วงแรก...แต่ล่าสุดจากตัวเลขยอดขาย 1,500,000 คัน ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันและตอบค�าถามเหล่านั้นได้เป็นอย่างดีว่า Fino เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของรถออโตเมติกสไตล์แฟชั่นตัวจริง ไม่ว่าจะรถเดิมๆ ขี่ใช้งานทั่วไปหรือจะเป็น Fino ที่ตกแต่งแบบสุดไอเดียก็สามารถพบเห็นได้ทั่วประเทศไทย...และในปี 2013 Fino นี้เองที่เจ้าฟีโน่ไฟกลมที่คุ้นเคยถูกอัพเกรดใหม่หมดจด ตั้งแต่ภายในยันภายนอก แต่! ก็ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมนั่นก็คือ “ผู้น�าด้านออโตเมติกแฟชั่นสไตล์คลาสสิค”…เรียกได้ว่าต่อให้เป็น Fino รุ่นเก่าเก๋ากึ๊กหรือจะเป็น All New Fino ตัวใหม่ล่าสุด ไม่ว่าไปเจอกันที่ไหนก็ยังคงเป็น Fino เหมือนกัน!

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201312 13

Page 14: FRM issue 8 (June 2013)

Beware of luring sexy Diamond Eye! อย่า! ให้ดวงตาสดุคมหลอกคณุได้

เปิดผ้าคลุมมาก็เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนคลับและนักข่าวที่ไปยืนรอดูโฉมหน้า All New Fino หัวฉีดใหม่กัน ณ ลานหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ดูเหมือนไฟหน้าของเจ้า All New Fino จะโดดเด่นเตะตามาแต่ไกล...ไฟหน้ารุ่นใหม่รูปทรงเพชร Diamond Shape (ไดมอนด์ เชพ) มีเหลี่ยมมุมเล็กน้อยด้านบนปนเส้นโค้งด้านข้างแล้วเว้าเข้าเหลี่ยมอีกครั้งด้านล่าง ทั้งหมดนี้ให้ความรู้สึกคมดูคล้ายว่า Fino คันนี้ “โตขึ้นอีกระดับ” เหมือนวัยรุ่นที่ก�าลังจะก้าวขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ดูสุขุมนุ่มลึก (ว่าไปนั่น) นอกจากไฟหน้าแล้วแฟริ่งใหม่ด้านนอกก็โดดเด่นไม่แพ้กัน...บอดี้ดีไซน์ใหม่ที่ประสานรูปทรงโค้งมนของช่วงพักเท้าและบั้นท้ายเข้าด้วยกันมองดูคล้ายรูปตัว S (แต่เราว่าคล้ายใบพัดเรือนะ) เบาะที่นั่งถูกปรับปรุงใหม่ให้ดูบางลงแต่กลับให้ความรู้สึกนุ่มขึ้น อาจเป็นเพราะเนื้อเบาะนั้นเป็นฟองน�้าที่มีมวลหนาขึ้น เรียกว่าน�้าหนักตัว 90 กก. ของนักทดสอบนั่งสบายก�าลังดีไม่ยวบเกินไปเมื่อนั่งเป็นเวลานาน ขยับขึ้นมาส�ารวจต่อที่ด้านบนกับแฮนด์ที่มีขนาดความกว้าง 70 ซม. ช่วยให้ระยะการวางมือและช่วงแขนไม่ตึงไม่หย่อนได้องศาก�าลังดี ข้อดีของ All New Fino ที่ต่างจากรถออโตเมติกทั่วไปคือมันสามารถ “ปรับองศา” แฮนด์ได้...ยกตัวอย่างนักทดสอบหุ่นโย่งขายาวเกะกะ (189 ซม.) ก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องแฮนด์ติดเข่าได้ง่ายๆ ด้วยการคลายน็อตยึดแฮนด์กับแผงคอแล้วดันแฮนด์บาร์ไปด้านหน้าจนได้มุมที่พอใจ แค่นี้ก็หมดปัญหาเรื่องท่านั่งแล้วครับ ดูกันต่อที่สวิทช์แฮนด์ซ้าย-ขวา ปุ่มสวิทช์ไฟเลี้ยว-ไฟสูงนุ่มใช้ได้ ระยะก้านเบรกหน้า-หลัง วางต�าแหน่งได้ดี สามารถใช้ 1 หรือ 2 นิ้วในการแตะเบรกได้

All New Technology inside ยกเครือ่งใหม่ไฉไลหมดจด

ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูน่ารักน่าขี่ของเจ้า All New Fino หัวฉีดใหม่ ท�าให้หลายคนคง “ไม่คาดหวัง” กับสมรรถนะของมัน...แต่! “อย่าได้ประมาท” ก�าลังเครื่องยนต์ของมันเด็ดขาด จากเดิมที่เคยเป็นเครื่องยนต์พร้อมระบบคาร์บูเรเตอร์ที่หลายคนเคยบ่นว่ามัน “กินน�้ามัน” แต่โมเดล 2013 มาพร้อมเครื่องยนต์ 114 ซีซี. SOHC ระบายความร้อนด้วยอากาศ แตกต่างจากรุ่นเก่าด้วยเทคโลโนยีขั้นเทพอย่างกระบอกสูบ DiASil และลูกสูบฟอร์จซึ่งนอกจากเบาและระบายความร้อนได้ดีแถมยังลดแรงเสียดทานและยืดอายุการใช้งานให้กับเครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้อีกด้วย อีกหนึ่งจุดเด่นที่ทุกค่ายก�าลังแข่งขันกันอยู่นั่นก็คือระบบหัวฉีด...All New Fino ใช้ระบบหัวฉีด YM_JET ซึ่งก็เคยถูกพิสูจน์มาแล้วในเรื่องความประหยัด จุดเด่นของระบบหัวฉีด YM_JET คือ “ลิ้นปีกผีเสื้อ 2 ชั้น” เสริมความเงียบและลื่นให้กับชุดกดวาลว์ด้วยกระเดื่องวาล์วแบบ Roller….แค่กางสเป็คออกมาดูก็น่าสนใจขนาดนี้ แล้วถ้าขี่จริงล่ะจะขนาดไหน?

Low-Mid Sweet & Smooth REV รอบต้น-กลางมนัช่างหวานละมนุนุม่ละไม

หมดเวลานั่งฟังเรื่องน่าเบื่อในห้องเรียน...ถึงเวลาออกวิ่งจริงซะที ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า All New Fino คันนี้เป็นรถที่ออกแบบมาให้วิ่งใช้งานในเมืองโดยเฉพาะ ท�าให้เราเลือกเส้นทางทดสอบโดยการวิ่งใช้งานในเมือง ตั้งแต่ศูนย์บัญชาการใหญ่ยามาฮ่ามาจากนั้นวิ่งเข้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิตามด้วยการวิ่งฝ่าเข้าเขตลาดพร้าวทะลุออกเกษตร-นวมินทร์ตามด้วยเส้นหลักสี่แล้วแวะไปกินกาแฟที่เมืองทองธานี ช่วงเวลาที่เราเลือกทดสอบคือ 9.00 น. (คงนึกภาพการจราจรตอนนี้ออกนะครับ) เริ่มสตาร์ทจากหน้าศูนย์บัญชาการใหญ่ยามาฮ่า...แค่เลี้ยวออกมาก็เจอกับรถสิบล้อ, รับบัสส่งพนักงานโรงงาน, รถทั่วไป นี่แหละคือช่วงเวลาทดสอบความคล่องตัวในการมุดผ่านช่องแคบๆ ระหว่างตัวรถที่ดีที่สุด ช่วงแรกเป็นการปรับตัวให้เข้ากับรถเราจึงสะบัดคันเร่งเล่นเพื่อลอง “หลอก” ระบบหัวฉีดดู ไม่ว่าจะบิดคันเร่งช้า-เร็วแค่ไหน ระบบหัวฉีด YM_JET ยังคง

สามารถตอบสนองและค�านวณปริมาณเชื้อเพลิงที่เครื่องยนต์ต้องการพร้อมสูบฉีดจ่ายได้อย่างถูกต้อง ในช่วงที่ทดสอบความคล่องตัวนี้เองท�าให้เราได้สัมผัสถึงก�าลังแรงบิดในรอบต้นที่เรียกว่า “ติดมือ” ก�าลังในรอบต้นสามารถส่งตัวรถพุ่งออกจากช่องเล็กๆ ไปสู่การเบรกเข้าสู่อีกช่องต่อไปได้อย่างสนุกมือ ช่วงตัวรถที่สั้น (ระยะห่างฐานล้อ 1,260 มม.และความยาวตัวรถ 1,870 มม.) บวกกับล้อขนาด 14 นิ้วช่วยให้คอนโทรลรถผ่านการจราจรติดขัดนั้นง่ายเหมือนขี่รถจักรยาน (รู้สึกมันเบาๆ ดีครับ) เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับรถ...การจราจรติดขัดแค่ไหน All New Fino ก็ทะลุทะลวงได้สบาย

จากถนนสายบางนา-ตราด ตัดเข้าสู่ถนนของสนามบินสุวรรณภูมิ เราถือโอกาสไล่ความเร็วตั้งแต่รอบต้นถึงปลายด้วยการเดินคันเร่ง 3 ระดับ ใช้เวลาบิดสุดหยุดแล้วบิดใหม่อยู่พักใหญ่จนท�าให้เราบอกได้ว่า All New Fino ถูกออกแบบมาเน้นที่รอบต้นจนถึงกลาง ก�าลัง

รอบต้นไม่เป็นรองใคร ความเร็ว 0-60 กม/ชม. นั้นใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจ ก�าลังรอบกลางต่อเนื่องจากรอบต้นเหมือนนักมวยที่ออกหมัดต่อเนื่อง ท�าให้แรงบิดในรอบกลางมีเหลือให้ใช้งานในจังหวะแซงที่ความเร็ว 60-80 กม./ชม. (คนตัวใหญ่อาจต้องลุ้นหน่อยตอนแซง) แน่นอนว่าเมื่อก�าลังแรงต้นและกลางดี...ก�าลังแรงปลายก็จะหายไป ความเร็วสูงสุดที่นักทดสอบสูง 189 ซม. หนัก 90 กก. ท�าได้อยู่ที่ 90-95 กม./ชม. แถมต้องใช้ระยะทางพอสมควรกว่าจะเข็มจะหยุดวิ่ง แต่เมื่อลองหมอบบนทางตรงโล่งๆ ก็พบว่าความเร็วสามารถ “ไหล” ได้อีกนิดไปจนถึง 100-105 กม./ชม. จุดนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาส�าหรับผู้ใช้ตัวเล็กเพราะความสูงของนักทดสอบนั้นเป็นตัวต้านลมชั้นดี ระหว่างที่ “รีด” ก�าลังสูงสุดของเครื่องยนต์ เราพยายามฟังเสียงและจับอาการสั่นแต่ก็ไม่พบจุดบกพร่องแต่อย่างใด เครื่องยนต์ DiASil และหัวฉีด YM_JET ท�างานได้นิ่งเงียบเรียบดีครับ

โดยที่ก้านเบรกไม่ชนกับนิ้วที่เหลือ ต่อมากับกระจกมองข้างรูปทรงใบไม้ของ All New Fino ที่ให้มุมมองค่อนข้างกว้างและไม่พบอาการ “สั่น” แม้จะขี่ด้วยความเร็วสูง อีกหนึ่งจุดเด่นที่พลาดไม่ได้กับเจ้าฟีโน่รุ่นใหม่นี้คือ “กุญแจรีโมท” คุณสามารถกดปุ่มเพื่อเรียกหาตัวรถส�าหรับกรณีที่คุณจอดรถในที่ที่มีฝูงมอเตอร์ไซค์จอดอยู่อย่างเช่นในห้าง เจ้า All New Fino จะส่งเสียบตอบรับพร้อมกระพริบไฟบอกให้รู้ว่า “ฉันอยู่ตรงนี้” และที่เจ๋งไปกว่านั้นคือเมื่อกดปุ่มรีโมทค้างไว้ชัตเตอร์คีย์ (ตัวปิดรูกุญแจ) จะเปิดออกอัตโนมัติแถมมีไฟส่องสว่างจากรูกุญแจเพื่ออ�านวยความสะดวกในที่มืดอีกด้วย ...ค�าเตือน! แม้เจ้า All New Fino จะมีหน้าตาที่ดูน่ารักเซ็กซี่ด้วยไฟหน้าทรงเพชรแต่...สมรรถนะของมันนั้น “แสบ” ใช่ย่อย!

Hot Pick of Month

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201314 15

Page 15: FRM issue 8 (June 2013)

Beware of luring sexy Diamond Eye! อย่า! ให้ดวงตาสดุคมหลอกคณุได้

เปิดผ้าคลุมมาก็เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนคลับและนักข่าวที่ไปยืนรอดูโฉมหน้า All New Fino หัวฉีดใหม่กัน ณ ลานหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ดูเหมือนไฟหน้าของเจ้า All New Fino จะโดดเด่นเตะตามาแต่ไกล...ไฟหน้ารุ่นใหม่รูปทรงเพชร Diamond Shape (ไดมอนด์ เชพ) มีเหลี่ยมมุมเล็กน้อยด้านบนปนเส้นโค้งด้านข้างแล้วเว้าเข้าเหลี่ยมอีกครั้งด้านล่าง ทั้งหมดนี้ให้ความรู้สึกคมดูคล้ายว่า Fino คันนี้ “โตขึ้นอีกระดับ” เหมือนวัยรุ่นที่ก�าลังจะก้าวขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ดูสุขุมนุ่มลึก (ว่าไปนั่น) นอกจากไฟหน้าแล้วแฟริ่งใหม่ด้านนอกก็โดดเด่นไม่แพ้กัน...บอดี้ดีไซน์ใหม่ที่ประสานรูปทรงโค้งมนของช่วงพักเท้าและบั้นท้ายเข้าด้วยกันมองดูคล้ายรูปตัว S (แต่เราว่าคล้ายใบพัดเรือนะ) เบาะที่นั่งถูกปรับปรุงใหม่ให้ดูบางลงแต่กลับให้ความรู้สึกนุ่มขึ้น อาจเป็นเพราะเนื้อเบาะนั้นเป็นฟองน�้าที่มีมวลหนาขึ้น เรียกว่าน�้าหนักตัว 90 กก. ของนักทดสอบนั่งสบายก�าลังดีไม่ยวบเกินไปเมื่อนั่งเป็นเวลานาน ขยับขึ้นมาส�ารวจต่อที่ด้านบนกับแฮนด์ที่มีขนาดความกว้าง 70 ซม. ช่วยให้ระยะการวางมือและช่วงแขนไม่ตึงไม่หย่อนได้องศาก�าลังดี ข้อดีของ All New Fino ที่ต่างจากรถออโตเมติกทั่วไปคือมันสามารถ “ปรับองศา” แฮนด์ได้...ยกตัวอย่างนักทดสอบหุ่นโย่งขายาวเกะกะ (189 ซม.) ก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องแฮนด์ติดเข่าได้ง่ายๆ ด้วยการคลายน็อตยึดแฮนด์กับแผงคอแล้วดันแฮนด์บาร์ไปด้านหน้าจนได้มุมที่พอใจ แค่นี้ก็หมดปัญหาเรื่องท่านั่งแล้วครับ ดูกันต่อที่สวิทช์แฮนด์ซ้าย-ขวา ปุ่มสวิทช์ไฟเลี้ยว-ไฟสูงนุ่มใช้ได้ ระยะก้านเบรกหน้า-หลัง วางต�าแหน่งได้ดี สามารถใช้ 1 หรือ 2 นิ้วในการแตะเบรกได้

All New Technology inside ยกเครือ่งใหม่ไฉไลหมดจด

ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูน่ารักน่าขี่ของเจ้า All New Fino หัวฉีดใหม่ ท�าให้หลายคนคง “ไม่คาดหวัง” กับสมรรถนะของมัน...แต่! “อย่าได้ประมาท” ก�าลังเครื่องยนต์ของมันเด็ดขาด จากเดิมที่เคยเป็นเครื่องยนต์พร้อมระบบคาร์บูเรเตอร์ที่หลายคนเคยบ่นว่ามัน “กินน�้ามัน” แต่โมเดล 2013 มาพร้อมเครื่องยนต์ 114 ซีซี. SOHC ระบายความร้อนด้วยอากาศ แตกต่างจากรุ่นเก่าด้วยเทคโลโนยีขั้นเทพอย่างกระบอกสูบ DiASil และลูกสูบฟอร์จซึ่งนอกจากเบาและระบายความร้อนได้ดีแถมยังลดแรงเสียดทานและยืดอายุการใช้งานให้กับเครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้อีกด้วย อีกหนึ่งจุดเด่นที่ทุกค่ายก�าลังแข่งขันกันอยู่นั่นก็คือระบบหัวฉีด...All New Fino ใช้ระบบหัวฉีด YM_JET ซึ่งก็เคยถูกพิสูจน์มาแล้วในเรื่องความประหยัด จุดเด่นของระบบหัวฉีด YM_JET คือ “ลิ้นปีกผีเสื้อ 2 ชั้น” เสริมความเงียบและลื่นให้กับชุดกดวาลว์ด้วยกระเดื่องวาล์วแบบ Roller….แค่กางสเป็คออกมาดูก็น่าสนใจขนาดนี้ แล้วถ้าขี่จริงล่ะจะขนาดไหน?

Low-Mid Sweet & Smooth REV รอบต้น-กลางมนัช่างหวานละมนุนุม่ละไม

หมดเวลานั่งฟังเรื่องน่าเบื่อในห้องเรียน...ถึงเวลาออกวิ่งจริงซะที ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า All New Fino คันนี้เป็นรถที่ออกแบบมาให้วิ่งใช้งานในเมืองโดยเฉพาะ ท�าให้เราเลือกเส้นทางทดสอบโดยการวิ่งใช้งานในเมือง ตั้งแต่ศูนย์บัญชาการใหญ่ยามาฮ่ามาจากนั้นวิ่งเข้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิตามด้วยการวิ่งฝ่าเข้าเขตลาดพร้าวทะลุออกเกษตร-นวมินทร์ตามด้วยเส้นหลักสี่แล้วแวะไปกินกาแฟที่เมืองทองธานี ช่วงเวลาที่เราเลือกทดสอบคือ 9.00 น. (คงนึกภาพการจราจรตอนนี้ออกนะครับ) เริ่มสตาร์ทจากหน้าศูนย์บัญชาการใหญ่ยามาฮ่า...แค่เลี้ยวออกมาก็เจอกับรถสิบล้อ, รับบัสส่งพนักงานโรงงาน, รถทั่วไป นี่แหละคือช่วงเวลาทดสอบความคล่องตัวในการมุดผ่านช่องแคบๆ ระหว่างตัวรถที่ดีที่สุด ช่วงแรกเป็นการปรับตัวให้เข้ากับรถเราจึงสะบัดคันเร่งเล่นเพื่อลอง “หลอก” ระบบหัวฉีดดู ไม่ว่าจะบิดคันเร่งช้า-เร็วแค่ไหน ระบบหัวฉีด YM_JET ยังคง

สามารถตอบสนองและค�านวณปริมาณเชื้อเพลิงที่เครื่องยนต์ต้องการพร้อมสูบฉีดจ่ายได้อย่างถูกต้อง ในช่วงที่ทดสอบความคล่องตัวนี้เองท�าให้เราได้สัมผัสถึงก�าลังแรงบิดในรอบต้นที่เรียกว่า “ติดมือ” ก�าลังในรอบต้นสามารถส่งตัวรถพุ่งออกจากช่องเล็กๆ ไปสู่การเบรกเข้าสู่อีกช่องต่อไปได้อย่างสนุกมือ ช่วงตัวรถที่สั้น (ระยะห่างฐานล้อ 1,260 มม.และความยาวตัวรถ 1,870 มม.) บวกกับล้อขนาด 14 นิ้วช่วยให้คอนโทรลรถผ่านการจราจรติดขัดนั้นง่ายเหมือนขี่รถจักรยาน (รู้สึกมันเบาๆ ดีครับ) เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับรถ...การจราจรติดขัดแค่ไหน All New Fino ก็ทะลุทะลวงได้สบาย

จากถนนสายบางนา-ตราด ตัดเข้าสู่ถนนของสนามบินสุวรรณภูมิ เราถือโอกาสไล่ความเร็วตั้งแต่รอบต้นถึงปลายด้วยการเดินคันเร่ง 3 ระดับ ใช้เวลาบิดสุดหยุดแล้วบิดใหม่อยู่พักใหญ่จนท�าให้เราบอกได้ว่า All New Fino ถูกออกแบบมาเน้นที่รอบต้นจนถึงกลาง ก�าลัง

รอบต้นไม่เป็นรองใคร ความเร็ว 0-60 กม/ชม. นั้นใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจ ก�าลังรอบกลางต่อเนื่องจากรอบต้นเหมือนนักมวยที่ออกหมัดต่อเนื่อง ท�าให้แรงบิดในรอบกลางมีเหลือให้ใช้งานในจังหวะแซงที่ความเร็ว 60-80 กม./ชม. (คนตัวใหญ่อาจต้องลุ้นหน่อยตอนแซง) แน่นอนว่าเมื่อก�าลังแรงต้นและกลางดี...ก�าลังแรงปลายก็จะหายไป ความเร็วสูงสุดที่นักทดสอบสูง 189 ซม. หนัก 90 กก. ท�าได้อยู่ที่ 90-95 กม./ชม. แถมต้องใช้ระยะทางพอสมควรกว่าจะเข็มจะหยุดวิ่ง แต่เมื่อลองหมอบบนทางตรงโล่งๆ ก็พบว่าความเร็วสามารถ “ไหล” ได้อีกนิดไปจนถึง 100-105 กม./ชม. จุดนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาส�าหรับผู้ใช้ตัวเล็กเพราะความสูงของนักทดสอบนั้นเป็นตัวต้านลมชั้นดี ระหว่างที่ “รีด” ก�าลังสูงสุดของเครื่องยนต์ เราพยายามฟังเสียงและจับอาการสั่นแต่ก็ไม่พบจุดบกพร่องแต่อย่างใด เครื่องยนต์ DiASil และหัวฉีด YM_JET ท�างานได้นิ่งเงียบเรียบดีครับ

โดยที่ก้านเบรกไม่ชนกับนิ้วที่เหลือ ต่อมากับกระจกมองข้างรูปทรงใบไม้ของ All New Fino ที่ให้มุมมองค่อนข้างกว้างและไม่พบอาการ “สั่น” แม้จะขี่ด้วยความเร็วสูง อีกหนึ่งจุดเด่นที่พลาดไม่ได้กับเจ้าฟีโน่รุ่นใหม่นี้คือ “กุญแจรีโมท” คุณสามารถกดปุ่มเพื่อเรียกหาตัวรถส�าหรับกรณีที่คุณจอดรถในที่ที่มีฝูงมอเตอร์ไซค์จอดอยู่อย่างเช่นในห้าง เจ้า All New Fino จะส่งเสียบตอบรับพร้อมกระพริบไฟบอกให้รู้ว่า “ฉันอยู่ตรงนี้” และที่เจ๋งไปกว่านั้นคือเมื่อกดปุ่มรีโมทค้างไว้ชัตเตอร์คีย์ (ตัวปิดรูกุญแจ) จะเปิดออกอัตโนมัติแถมมีไฟส่องสว่างจากรูกุญแจเพื่ออ�านวยความสะดวกในที่มืดอีกด้วย ...ค�าเตือน! แม้เจ้า All New Fino จะมีหน้าตาที่ดูน่ารักเซ็กซี่ด้วยไฟหน้าทรงเพชรแต่...สมรรถนะของมันนั้น “แสบ” ใช่ย่อย!

Hot Pick of Month

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201314 15

Page 16: FRM issue 8 (June 2013)

ข้อมลูทางเทคนคิ

เครื่องยนต์ : 4 จังหวะ 1 สูบ SOHC 2 วาล์ว 114 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยอากาศ

กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 50 x 57.9 มม.

อัตราส่วนการอัด : 9.30 : 1

ระบบเชื้อเพลิง : หัวฉีดอัจฉริยะ YM_JET

ระบบขับเคลื่อน : สายพาน V-Belt

เฟรม : เหล็กแบบอันเดอร์โบน

มุมเคสเตอร์/ระยะเทรล : 26.5° / 100 มม.

โช้คหน้า : เทเลสโคปิค

โช้คหลัง : โช้คเดี่ยว ยูนิตสวิง

เบรกหน้า : ดิสก์เบรกลูกสูบเดี่ยว

เบรกหลัง : ดรัมเบรก

ล้อหน้า : 70/90 ขอบ 14 34P

ล้อหลัง : 80/90 ขอบ 14 46P

กว้างxยาวxสูง : 740 x 1,870 x 1,056 มม.

เบาะถึงพื้น : 745 มม.

ท้องรถถึงพื้น : 130 มม.

ระยะห่างฐานล้อ : 1,260 มม.

น�้าหนักตัวรถ : 96 กก.

ความจุน�้ามันเชื้อเพลิง : 4.8 ลิตร

Undeniable Smoothness ความนุม่ทีป่ฏเิสธไม่ได้

ถัดมาจากเส้นสุวรรณภูมิก็เจอกับโค้งบ้างทางตรงบ้างสลับกันไป แต่เมื่อหลุดจากถนนสุวรรณภูมิมาได้เราต้องวิ่งเลียบทางด่วนมอเตอร์เวย์ ซึ่งถนนเส้นนี้แหละที่มีหลุมบ่อให้เราได้ทดสอบช่วงล่างกัน เรา “ไม่สนใจ” ว่า All New Fino หัวฉีดใหม่จะถูกออกแบบมาให้ใช้ในเมืองหรือเหมาะกับผู้ใช้แบบไหน...แต่เมื่ออยู่บนถนนจริง มันต้องรองรับการใช้งานได้ (เกือบ) ทุกแบบ ไม่รอช้าล็อคคันเร่งไว้ที่ 80 กม./ชม. อัดกระแทกกับหลุมแบบไม่ปราณี (FRM Style) น�้าหนักตัวที่มากถึง 90 กก. บวกกับความเร็วขนาดนี้น่าจะท�าให้ “ก้น” กระเด้งกระดอนเมื่อเจอกับหลุมรถสิบล้อและร่องรอยการเบรกของรถใหญ่ หลายคนคงรู้ดีว่าร่องที่เกิดจากรถขนาดใหญ่เบรกนั้นมันคือฝันร้ายของชาว 2 ล้ออย่างเราชัดๆ แต่ช่วงล่างของ All New Fino ช่วยให้เราผ่านอุปสรรคได้ด้วยดี มาดูกันว่าท�าไมเราถึงบอกว่าช่วงล่างนั้น “ดี”…

เจาะลึกระบบกนัสะเทอืน> โช้คหน้า : แม้จะดูธรรมดาแต่เมื่อน�้าหนักตัวนักทดสอบ 90 กก. กดลงไปพบว่า…

> ระยะยุบทั้งหมด : 90 มม.

ระยะ SAG : 40 มม. ค�านวน 40 x 100/90 = 44.4%

> ผลลัพธ์ : ระยะ SAG ของโช้คหน้าของ All New Fino อยู่ที่ 44% นั่นหมายความว่าเมื่อเจอหลุมบางๆ มันจะนุ่มก�าลังดี แต่ถ้าเจอกับหลุมใหญ่ยักษ์ โช้คก็กระแทกจนสุดเหมือนกัน...ส�าหรับคนน�้าหนักน้อยกว่า 90 กก. จะรู้สึกนุ่มกว่าที่เรารู้สึกอีกครับ

> โช้คหลัง : โช้คธรรมดาไม่มีตัวปรับตั้งค่าสปริง เรียกว่าเซ็ตออกมาจากโรงงานทีเดียวจบ

ระยะยุบทั้งหมด : 70 มม.

ระยะ SAG : 20 มม. ค�านวณ 20 x 100/70 = 28.5%

> ผลลัพธ์ : ระยะ SAG ก�าลังสวยเลยครับส�าหรับโช้คหลัง รับแรงกระแทกหลุมขนาดกลางได้ดีจนถึงหลุมใหญ่ๆ ก็ยังดูดซับแรงและดีดตัวกลับมารับแรงกระแทกหลุมต่อไปได้ดีเช่นกัน แต่ระยะ 28.5% ที่ว่านี้อาจท�าให้ผู้ใช้น�้าหนักเบากว่า 90 กก. รู้สึก “กระด้าง” ได้เล็กน้อยเมื่อเจอกับหลุมขนาดใหญ่

> สรุป : โช้คหน้าแม้จะยุบตัวลงไปเยอะแต่เมื่อผสานเข้ากับโช้คหลังแล้วนับว่าช่วงล่างโดยรวมของ All New Fino หัวฉีดใหม่ท�าออกมาได้ดีเกาะถนนและรองรับการขับขี่ได้หลากหลายสภาพพื้นผิวถนนครับ ไม่ว่าผู้ขี่จะหนัก 70 หรือ 90 กก.ช่วงล่างก็ยังคงช่วยยึดเกาะถนนและดูดซับแรงกระแทกได้ดี ส�าหรับคนตัวใหญ่อย่างเราโช้คเดิมๆ ชุดนี้ก็ตอบโจทย์ได้ในระดับที่น่าพอใจครับ เมื่อช่วงล่างดีนั่นก็หมายถึงความปลอดภัยที่จะตามมา...ต่อไปดูกันที่ระบบเบรกครับ

High Performance brake and rubbers เบรกเทพยางเยีย่ม

นับตั้งแต่นาทีที่ออกจากโรงงานมาเรารู้สึกว่าเบรกมันยัง “ใหม่” อยู่มาก เพราะรถที่ทดสอบนั้นมีระยะไมล์สะสมแค่ 12 กม. เท่านั้นเอง นั่นท�าให้เราต้อง “เบิร์น” ดิสก์เบรกและผ้าเบรกให้เข้าที่ซะก่อน (หรือ “รันอิน” ในภาษาช่าง) เราใช้การแตะเบรกไว้ประมาณ 50% แล้วบิดคันเร่งให้รถวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 20 กม./ชม. เป็นระยะทางราวๆ 1 กิโลเมตร จากนั้นลองเทสต์เบรกดู ก�าลังแรงเบรกตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลและท�าหน้าที่หยุดดิสก์เบรกหน้าในทันที ก�าลังแรงเบรกหน้าถ้าให้เต็ม 10...เราให้ 15 ไปเลยครับ เพราะมัน “จิก” พื้นดีเหลือเกิน (วิธีรันอินที่ว่าต้องใช้ความนุ่มนวลและอดทน ไม่เช่นนั้นจานเบรกอาจคดได้ครับ) ถึงแม้จะเบรกหลังจะเป็นดรัมเบรกแต่กลับให้ก�าลังแรงเบรกในระดับที่น่าพอใจ เมื่อบวกลบคูณหารด้วยน�้าหนักตัวรถที่เบาและยางที่ใหม่ท�าให้ระบบเบรกของ All New Fino นั้นค่อนข้างหนึบเป็นพิเศษ ขยับมาดูต่อในเรื่องของยาง...ล้อขอบ 14 นิ้วแบบซี่ลวดมาพร้อมยางแบบมียางในซึ่งใช้บริการยางของ IRC แม้จะเป็นยางใหม่และเป็นยางเดิมที่ติดมากับตัวรถ แต่ความสามารถในการเกาะถนนของยางตัวนี้ไม่ธรรมดา มันผ่านการทดสอบทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการเบรกหรือการ “สาด” โค้ง ทางโค้งปกติบนถนนรวมถึงโค้งตัว U และวงเวียนในเมืองทองธานีกลายเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นเมื่อเจอกับ All New Fino...ใกล้จบการทดสอบได้เวลาพักดื่มกาแฟ....

Happy Hour’s about to endช่วงเวลาความสขุใกล้หมดลง....

หลังจากสนุกไปกับ 1 วันเต็มๆ แถมได้ท�าความรู้จักอย่างใกล้ชิดกับเจ้า All New Fino >> All New Feeling รถออโตเมติกน้องใหม่ล่าสุดที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบรับความต้องการของหนุ่มสาวออฟฟิสและกลุ่มวัยรุ่นที่ชื่นชอบรถออโตเมติกแฟชั่นสไตล์โมเดิร์นคลาสสิค ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าทรงเพชร, กุญแจรีโมท, ชัตเตอร์คีย์เปิดอัตโนมัติด้วยปุ่มเดียว, เครื่องยนต์เวอร์ชั่นใหม่มาพร้อมกระบอกสูบ DiASil และระบบหัวฉีด YM_JET ไม่ว่าจะถูกอัพเกรดขึ้นมากแค่ไหนแต่ All New Fino หัวฉีดใหม่ยังคงเป็นเจ้าไฟกลมคันเดิมที่สาวก Fino รู้จักและเป็นอีกหนึ่งระดับของรถออโตเมติกที่บ่งบอกความเป็นตัวเองของผู้ใช้ วันนี้เราลอง All New Fino พร้อมสัมผัส All New Feeling (ความรู้สึกใหม่หมด)....แล้วคุณล่ะลองรึยัง ?

Rider’s CommentOat : Height 189 cm. Weight 90 kg. Skill Intermediate

“เคยขี่ Fino ทดสอบในงาน Bike of The Year 2012…ผมก็ว่ามันขี่สนุกดีอยู่แล้วนะ แต่ All New Fino ตัวใหม่ล่าสุดนี้กลับขี่สนุกกว่าอีก โดยเฉพาะเครื่องยนต์และหัวฉีดรุ่นใหม่ที่ตอบสนองได้ดี เรียกว่าขี่อย่างเดียวไม่ต้องห่วงเรื่องคันเร่งเรื่องวอดหรือเรื่องการกินน�้ามัน ช่วงล่างออกแบบมาได้ดีขี่คนเดียวก็ได้ซ้อนสองก็ดี เบาะนุ่มชวนหลับ ที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นกุญแจรีโมท…ก็มันเท่อ่ะ”

เครื่องยนต์ : 5/5 เงียบนิ่งไม่มีอาการสั่นหรือเสียงดัง

อัตราเร่ง :4/5 เน้นต้น-กลาง แต่ปลายเรื่อยๆ

ระบบเชื้อเพลิง : 5/5 หัวฉีดตอบสนองคันเร่งดี สตาร์ทง่าย

การควบคุม : 5/5 คอนโทรลรถง่าย บาลานซ์หน้า-หลังดี

ท่านั่ง-แฮนด์ : 5/5 แฮนด์กว่างก�าลังดี ท่านั่ง-พักเท้าขนาดก�าลังดี เบาะนุ่มชวนฝัน

เบรก : 6/5 (+1 ให้ความหนึบ) เบรกจนหน้าจิกดีมาก

โช้ค : 4/5 แม้ช่วงหน้าจะยุบมากไปหน่อยแต่ก็ยังเกาะถนนได้ดี

ยาง : 4/5 เกาะถนนได้ดีแต่ต้องระวังเมื่อเจอกับฝน

ดีไซน์ : 5/5 น่ารักในแบบคลาสสิค ไฟหน้าเตะตา ลายสปอร์ตเรียบดี

ออพชั่น : 6/5 +1 ให้กับกุญแจรีโมท

ราคา : 5/5 ประมาณ 45,500 บาท ถือว่าคุ้มค่ากับเทคโนโลยีและออฟชั่นที่ได้มา

FRM Score

All New Fino >> All New Feeling

Hot Pick of Month

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201316 17

Page 17: FRM issue 8 (June 2013)

ข้อมลูทางเทคนคิ

เครื่องยนต์ : 4 จังหวะ 1 สูบ SOHC 2 วาล์ว 114 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยอากาศ

กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 50 x 57.9 มม.

อัตราส่วนการอัด : 9.30 : 1

ระบบเชื้อเพลิง : หัวฉีดอัจฉริยะ YM_JET

ระบบขับเคลื่อน : สายพาน V-Belt

เฟรม : เหล็กแบบอันเดอร์โบน

มุมเคสเตอร์/ระยะเทรล : 26.5° / 100 มม.

โช้คหน้า : เทเลสโคปิค

โช้คหลัง : โช้คเดี่ยว ยูนิตสวิง

เบรกหน้า : ดิสก์เบรกลูกสูบเดี่ยว

เบรกหลัง : ดรัมเบรก

ล้อหน้า : 70/90 ขอบ 14 34P

ล้อหลัง : 80/90 ขอบ 14 46P

กว้างxยาวxสูง : 740 x 1,870 x 1,056 มม.

เบาะถึงพื้น : 745 มม.

ท้องรถถึงพื้น : 130 มม.

ระยะห่างฐานล้อ : 1,260 มม.

น�้าหนักตัวรถ : 96 กก.

ความจุน�้ามันเชื้อเพลิง : 4.8 ลิตร

Undeniable Smoothness ความนุม่ทีป่ฏเิสธไม่ได้

ถัดมาจากเส้นสุวรรณภูมิก็เจอกับโค้งบ้างทางตรงบ้างสลับกันไป แต่เมื่อหลุดจากถนนสุวรรณภูมิมาได้เราต้องวิ่งเลียบทางด่วนมอเตอร์เวย์ ซึ่งถนนเส้นนี้แหละที่มีหลุมบ่อให้เราได้ทดสอบช่วงล่างกัน เรา “ไม่สนใจ” ว่า All New Fino หัวฉีดใหม่จะถูกออกแบบมาให้ใช้ในเมืองหรือเหมาะกับผู้ใช้แบบไหน...แต่เมื่ออยู่บนถนนจริง มันต้องรองรับการใช้งานได้ (เกือบ) ทุกแบบ ไม่รอช้าล็อคคันเร่งไว้ที่ 80 กม./ชม. อัดกระแทกกับหลุมแบบไม่ปราณี (FRM Style) น�้าหนักตัวที่มากถึง 90 กก. บวกกับความเร็วขนาดนี้น่าจะท�าให้ “ก้น” กระเด้งกระดอนเมื่อเจอกับหลุมรถสิบล้อและร่องรอยการเบรกของรถใหญ่ หลายคนคงรู้ดีว่าร่องที่เกิดจากรถขนาดใหญ่เบรกนั้นมันคือฝันร้ายของชาว 2 ล้ออย่างเราชัดๆ แต่ช่วงล่างของ All New Fino ช่วยให้เราผ่านอุปสรรคได้ด้วยดี มาดูกันว่าท�าไมเราถึงบอกว่าช่วงล่างนั้น “ดี”…

เจาะลกึระบบกนัสะเทอืน> โช้คหน้า : แม้จะดูธรรมดาแต่เมื่อน�้าหนักตัวนักทดสอบ 90 กก. กดลงไปพบว่า…

> ระยะยุบทั้งหมด : 90 มม.

ระยะ SAG : 40 มม. ค�านวน 40 x 100/90 = 44.4%

> ผลลัพธ์ : ระยะ SAG ของโช้คหน้าของ All New Fino อยู่ที่ 44% นั่นหมายความว่าเมื่อเจอหลุมบางๆ มันจะนุ่มก�าลังดี แต่ถ้าเจอกับหลุมใหญ่ยักษ์ โช้คก็กระแทกจนสุดเหมือนกัน...ส�าหรับคนน�้าหนักน้อยกว่า 90 กก. จะรู้สึกนุ่มกว่าที่เรารู้สึกอีกครับ

> โช้คหลัง : โช้คธรรมดาไม่มีตัวปรับตั้งค่าสปริง เรียกว่าเซ็ตออกมาจากโรงงานทีเดียวจบ

ระยะยุบทั้งหมด : 70 มม.

ระยะ SAG : 20 มม. ค�านวณ 20 x 100/70 = 28.5%

> ผลลัพธ์ : ระยะ SAG ก�าลังสวยเลยครับส�าหรับโช้คหลัง รับแรงกระแทกหลุมขนาดกลางได้ดีจนถึงหลุมใหญ่ๆ ก็ยังดูดซับแรงและดีดตัวกลับมารับแรงกระแทกหลุมต่อไปได้ดีเช่นกัน แต่ระยะ 28.5% ที่ว่านี้อาจท�าให้ผู้ใช้น�้าหนักเบากว่า 90 กก. รู้สึก “กระด้าง” ได้เล็กน้อยเมื่อเจอกับหลุมขนาดใหญ่

> สรุป : โช้คหน้าแม้จะยุบตัวลงไปเยอะแต่เมื่อผสานเข้ากับโช้คหลังแล้วนับว่าช่วงล่างโดยรวมของ All New Fino หัวฉีดใหม่ท�าออกมาได้ดีเกาะถนนและรองรับการขับขี่ได้หลากหลายสภาพพื้นผิวถนนครับ ไม่ว่าผู้ขี่จะหนัก 70 หรือ 90 กก.ช่วงล่างก็ยังคงช่วยยึดเกาะถนนและดูดซับแรงกระแทกได้ดี ส�าหรับคนตัวใหญ่อย่างเราโช้คเดิมๆ ชุดนี้ก็ตอบโจทย์ได้ในระดับที่น่าพอใจครับ เมื่อช่วงล่างดีนั่นก็หมายถึงความปลอดภัยที่จะตามมา...ต่อไปดูกันที่ระบบเบรกครับ

High Performance brake and rubbers เบรกเทพยางเยีย่ม

นับตั้งแต่นาทีที่ออกจากโรงงานมาเรารู้สึกว่าเบรกมันยัง “ใหม่” อยู่มาก เพราะรถที่ทดสอบนั้นมีระยะไมล์สะสมแค่ 12 กม. เท่านั้นเอง นั่นท�าให้เราต้อง “เบิร์น” ดิสก์เบรกและผ้าเบรกให้เข้าที่ซะก่อน (หรือ “รันอิน” ในภาษาช่าง) เราใช้การแตะเบรกไว้ประมาณ 50% แล้วบิดคันเร่งให้รถวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 20 กม./ชม. เป็นระยะทางราวๆ 1 กิโลเมตร จากนั้นลองเทสต์เบรกดู ก�าลังแรงเบรกตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลและท�าหน้าที่หยุดดิสก์เบรกหน้าในทันที ก�าลังแรงเบรกหน้าถ้าให้เต็ม 10...เราให้ 15 ไปเลยครับ เพราะมัน “จิก” พื้นดีเหลือเกิน (วิธีรันอินที่ว่าต้องใช้ความนุ่มนวลและอดทน ไม่เช่นนั้นจานเบรกอาจคดได้ครับ) ถึงแม้จะเบรกหลังจะเป็นดรัมเบรกแต่กลับให้ก�าลังแรงเบรกในระดับที่น่าพอใจ เมื่อบวกลบคูณหารด้วยน�้าหนักตัวรถที่เบาและยางที่ใหม่ท�าให้ระบบเบรกของ All New Fino นั้นค่อนข้างหนึบเป็นพิเศษ ขยับมาดูต่อในเรื่องของยาง...ล้อขอบ 14 นิ้วแบบซี่ลวดมาพร้อมยางแบบมียางในซึ่งใช้บริการยางของ IRC แม้จะเป็นยางใหม่และเป็นยางเดิมที่ติดมากับตัวรถ แต่ความสามารถในการเกาะถนนของยางตัวนี้ไม่ธรรมดา มันผ่านการทดสอบทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการเบรกหรือการ “สาด” โค้ง ทางโค้งปกติบนถนนรวมถึงโค้งตัว U และวงเวียนในเมืองทองธานีกลายเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นเมื่อเจอกับ All New Fino...ใกล้จบการทดสอบได้เวลาพักดื่มกาแฟ....

Happy Hour’s about to endช่วงเวลาความสขุใกล้หมดลง....

หลังจากสนุกไปกับ 1 วันเต็มๆ แถมได้ท�าความรู้จักอย่างใกล้ชิดกับเจ้า All New Fino >> All New Feeling รถออโตเมติกน้องใหม่ล่าสุดที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบรับความต้องการของหนุ่มสาวออฟฟิสและกลุ่มวัยรุ่นที่ชื่นชอบรถออโตเมติกแฟชั่นสไตล์โมเดิร์นคลาสสิค ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าทรงเพชร, กุญแจรีโมท, ชัตเตอร์คีย์เปิดอัตโนมัติด้วยปุ่มเดียว, เครื่องยนต์เวอร์ชั่นใหม่มาพร้อมกระบอกสูบ DiASil และระบบหัวฉีด YM_JET ไม่ว่าจะถูกอัพเกรดขึ้นมากแค่ไหนแต่ All New Fino หัวฉีดใหม่ยังคงเป็นเจ้าไฟกลมคันเดิมที่สาวก Fino รู้จักและเป็นอีกหนึ่งระดับของรถออโตเมติกที่บ่งบอกความเป็นตัวเองของผู้ใช้ วันนี้เราลอง All New Fino พร้อมสัมผัส All New Feeling (ความรู้สึกใหม่หมด)....แล้วคุณล่ะลองรึยัง ?

Rider’s CommentOat : Height 189 cm. Weight 90 kg. Skill Intermediate

“เคยขี่ Fino ทดสอบในงาน Bike of The Year 2012…ผมก็ว่ามันขี่สนุกดีอยู่แล้วนะ แต่ All New Fino ตัวใหม่ล่าสุดนี้กลับขี่สนุกกว่าอีก โดยเฉพาะเครื่องยนต์และหัวฉีดรุ่นใหม่ที่ตอบสนองได้ดี เรียกว่าขี่อย่างเดียวไม่ต้องห่วงเรื่องคันเร่งเรื่องวอดหรือเรื่องการกินน�้ามัน ช่วงล่างออกแบบมาได้ดีขี่คนเดียวก็ได้ซ้อนสองก็ดี เบาะนุ่มชวนหลับ ที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นกุญแจรีโมท…ก็มันเท่อ่ะ”

เครื่องยนต์ : 5/5 เงียบนิ่งไม่มีอาการสั่นหรือเสียงดัง

อัตราเร่ง :4/5 เน้นต้น-กลาง แต่ปลายเรื่อยๆ

ระบบเชื้อเพลิง : 5/5 หัวฉีดตอบสนองคันเร่งดี สตาร์ทง่าย

การควบคุม : 5/5 คอนโทรลรถง่าย บาลานซ์หน้า-หลังดี

ท่านั่ง-แฮนด์ : 5/5 แฮนด์กว่างก�าลังดี ท่านั่ง-พักเท้าขนาดก�าลังดี เบาะนุ่มชวนฝัน

เบรก : 6/5 (+1 ให้ความหนึบ) เบรกจนหน้าจิกดีมาก

โช้ค : 4/5 แม้ช่วงหน้าจะยุบมากไปหน่อยแต่ก็ยังเกาะถนนได้ดี

ยาง : 4/5 เกาะถนนได้ดีแต่ต้องระวังเมื่อเจอกับฝน

ดีไซน์ : 5/5 น่ารักในแบบคลาสสิค ไฟหน้าเตะตา ลายสปอร์ตเรียบดี

ออพชั่น : 6/5 +1 ให้กับกุญแจรีโมท

ราคา : 5/5 ประมาณ 45,500 บาท ถือว่าคุ้มค่ากับเทคโนโลยีและออฟชั่นที่ได้มา

FRM Score

All New Fino >> All New Feeling

Hot Pick of Month

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201316 17

Page 18: FRM issue 8 (June 2013)

“ปรับได้”YSS Full Option

จัดเต็มเสริมหล่อ

พร้อมสมรรถนะที่

ชัว่โมงถ้าพูดถึงผู้ผลิตโช้ค After Market (โช้คแต่ง) รายใหญ่ที่ดังไปจนถึงเมืองนอกอย่าง YSS ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเพราะเค้าผลิตโช้คเพื่อรองรับกับรถทุกรุ่นทุกแบบที่มีจ�าหน่ายทั้งในและนอกประเทศ...ล่าสุด YSS “จัดเต็ม” ส่งโช้คอัพหน้าหลังชนิดที่ฟิตพอดีไม่ต้องปรับแต่งอะไรให้กับเจ้า Vespa LX 125-150 และ S125-150 ซึ่งนอกจากโช้คคู่นี้จะดูโหดลงตัวแล้วมันยังน่าสนใจตรงที่สามารถปรับโน่นนี่นั่นได้อีกเพียบ...งานนี้ใครครอบครอง Vespa โมเดลที่ว่านี้อยู่แล้วเบื่อโช้คเดิมๆ...มาทดสอบโช้ค YSS ไปกับเราได้เลยครับ!

YSS Full Option Armed front and backทันทีที่ได้รับการคอนเฟิร์มจาก

บริษัท วาย.เอส.เอส. (ประเทศไทย) จ�ากัด ว่า Vespa LX150i พร้อมให้ทดสอบแถมติดตั้งโช้ค YSS มาเป็นที่เรียบร้อยเราก็หาข้อมูลของโช้คที่จะทดสอบทันที มาเริ่มจากโช้คหน้ากันก่อน...

โช้คหน้า – Front Suspensionโช้คหน้า : แบบเดี่ยวท�างานด้วยสปริงน�้ามันและแก๊ส

(แยกกระปุก)

ความยาว : 190 มม.

ปรับรีบาวด์ : รีบาวด์ 30 ระดับ (คลิก)

ปรับความยาว : ปรับความยาวโช้คได้ 10 มม.

ปรับสปริง : สปริงพรีโหลดแบบสตรั๊ทปรับเกลีย

ปรับคอมเพรสชั่น : Low Speed Compression

โช้คหลัง – Rear Suspensionโช้คหลัง : แบบเดี่ยวท�างานด้วยสปริงน�้ามันและแก๊ส

(แยกกระปุก)

ความยาว : 265 มม.

ปรับรีบาวด์ : รีบาวด์ 80 ระดับ (คลิก)

ปรับความยาว : ปรับความยาวโช้คได้ 10 มม.

ปรับสปริง : สปริงพรีโหลดแบบสตรั๊ทปรับเกลียว

ปรับคอมเพรสชั่น : Low Speed Compression 3 ระดับ

Adjustable On-The-Goหลังจากได้รถ Vespa LX 150i มาไว้ในครอบครอง...เราก็ไม่รอช้าที่จะจับมันทดสอบช่วงล่างกันแบบไร้ความ

ปราณี...จากพิกัดลาดพร้าวเรามุ่งหน้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อทะลุไปเจอกับถนนบางนา-ตราด ว่าแต่ท�าไมต้องบางนาตราด? ก็เพราะว่าถนนเส้นนี้มีหลุมบ่อทุกแบบให้เราได้ทดสอบช่วงล่างกัน อีกทั้งยังมีคอสะพานนรกหมวยยกล้อให้เราได้ลุ้นว่าจะ “อยู่หรือไป” เพราะส่วนมากเมื่อเจอกับหลุมบ่อเรามักจะต้องชะลอความเร็วลงเพื่อเตรียมรับแรงกระแทกชนิดที่คาดไม่ถึง แต่ส�าหรับการทดสอบโช้ค YSS…เราใส่ไม่ยั้ง ความเร็วที่ใช้ “รูด” หลุมมีตั้งแต่ 60-80 กม./ชม. งานนี้ YSS เค้าบอกมาว่าโช้คคู่นี้จัดเต็มมาเพื่อชาว Vespa โดยเฉพาะท�าให้เราไม่ลังเลเลยซักนิดที่ทดสอบให้ครบทุกด้าน...แต่ก่อนจะกระแทกหลุมไปมากกว่านี้ เราจ�าเป็นต้อง “เซ็ต” มันให้ถูกต้องก่อน

How to Set YSS for Vespa?แล้วมนัเซต็ยงัไงล่ะ ?

1. เริ่มจากการหา Riding SAG ซะก่อน...ง่ายๆ เพียงแค่ใช้ที่รัดสายไฟหรือที่เรียกกันว่าหนวดกุ้งหรือเคเบิลไทท์รัดรอบแกนโช้ค (ด้านในสปริง) รัดให้แน่นก�าลังดีแต่ไม่แน่นเกินไป...ให้มันสามารถรูดขึ้นลงได้ ท�าแบบเดียวกันทั้งหน้าและหลัง จากนั้นรูดสายรัดให้ชนกับกระบอกโช้ค (แดมเปอร์)

2. ต้องมีผู้ช่วย 1 คน ช่วยจับรถไว้ที่ด้านหลัง จากนั้นให้ผู้ขับขี่นั่งลงไปบนรถในท่านั่งขับขี่ปกติ...นับ 1-3 จากนั้นก้าวลงจากรถอย่างระวัง (ตอนนั่งลงห้ามกระแทก ตอนลุกออกไปห้ามกระโดด)

3. ก้มลงดูที่โช้คแล้วเช็คสายรัดที่เคยรัดว่ารูดขึ้นไปมากเท่าไหร่ ในกรณีที่ไม่สามารถวัดได้ด้วยตลับเมตรให้วัดด้วยสายตา....

4. ระยะ SAG ที่เหมาะสมส�าหรับขับขี่บนท้องถนนอยู่ที่ 20% นั่นหมายความว่าถ้าโช้คมีระยะยุบ 100 มม. ระยะ SAG นั้นควรจะอยู่ที่ 20 มม.

5. ปรับสปริงพรีโหลดด้วยการคลายน็อต 6 เหลี่ยมตัวจิ๋วแล้วใช้ที่ปรับสปริงหมุนขึ้นเพื่อให้สปริงแข็งขึ้น (หรืออ่อนลง) ท�าแบบเดียวกันทั้งหน้าและหลัง โดยกะให้สปริงแข็งพอส�าหรับน�้าหนักตัวเรา..

Vespa

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201318 19

Page 19: FRM issue 8 (June 2013)

“ปรับได้”YSS Full Option

จัดเต็มเสริมหล่อ

พร้อมสมรรถนะที่

ชัว่โมงถ้าพูดถึงผู้ผลิตโช้ค After Market (โช้คแต่ง) รายใหญ่ที่ดังไปจนถึงเมืองนอกอย่าง YSS ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเพราะเค้าผลิตโช้คเพื่อรองรับกับรถทุกรุ่นทุกแบบที่มีจ�าหน่ายทั้งในและนอกประเทศ...ล่าสุด YSS “จัดเต็ม” ส่งโช้คอัพหน้าหลังชนิดที่ฟิตพอดีไม่ต้องปรับแต่งอะไรให้กับเจ้า Vespa LX 125-150 และ S125-150 ซึ่งนอกจากโช้คคู่นี้จะดูโหดลงตัวแล้วมันยังน่าสนใจตรงที่สามารถปรับโน่นนี่นั่นได้อีกเพียบ...งานนี้ใครครอบครอง Vespa โมเดลที่ว่านี้อยู่แล้วเบื่อโช้คเดิมๆ...มาทดสอบโช้ค YSS ไปกับเราได้เลยครับ!

YSS Full Option Armed front and backทันทีที่ได้รับการคอนเฟิร์มจาก

บริษัท วาย.เอส.เอส. (ประเทศไทย) จ�ากัด ว่า Vespa LX150i พร้อมให้ทดสอบแถมติดตั้งโช้ค YSS มาเป็นที่เรียบร้อยเราก็หาข้อมูลของโช้คที่จะทดสอบทันที มาเริ่มจากโช้คหน้ากันก่อน...

โช้คหน้า – Front Suspensionโช้คหน้า : แบบเดี่ยวท�างานด้วยสปริงน�้ามันและแก๊ส

(แยกกระปุก)

ความยาว : 190 มม.

ปรับรีบาวด์ : รีบาวด์ 30 ระดับ (คลิก)

ปรับความยาว : ปรับความยาวโช้คได้ 10 มม.

ปรับสปริง : สปริงพรีโหลดแบบสตรั๊ทปรับเกลีย

ปรับคอมเพรสชั่น : Low Speed Compression

โช้คหลัง – Rear Suspensionโช้คหลัง : แบบเดี่ยวท�างานด้วยสปริงน�้ามันและแก๊ส

(แยกกระปุก)

ความยาว : 265 มม.

ปรับรีบาวด์ : รีบาวด์ 80 ระดับ (คลิก)

ปรับความยาว : ปรับความยาวโช้คได้ 10 มม.

ปรับสปริง : สปริงพรีโหลดแบบสตรั๊ทปรับเกลียว

ปรับคอมเพรสชั่น : Low Speed Compression 3 ระดับ

Adjustable On-The-Goหลังจากได้รถ Vespa LX 150i มาไว้ในครอบครอง...เราก็ไม่รอช้าที่จะจับมันทดสอบช่วงล่างกันแบบไร้ความ

ปราณี...จากพิกัดลาดพร้าวเรามุ่งหน้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อทะลุไปเจอกับถนนบางนา-ตราด ว่าแต่ท�าไมต้องบางนาตราด? ก็เพราะว่าถนนเส้นนี้มีหลุมบ่อทุกแบบให้เราได้ทดสอบช่วงล่างกัน อีกทั้งยังมีคอสะพานนรกหมวยยกล้อให้เราได้ลุ้นว่าจะ “อยู่หรือไป” เพราะส่วนมากเมื่อเจอกับหลุมบ่อเรามักจะต้องชะลอความเร็วลงเพื่อเตรียมรับแรงกระแทกชนิดที่คาดไม่ถึง แต่ส�าหรับการทดสอบโช้ค YSS…เราใส่ไม่ยั้ง ความเร็วที่ใช้ “รูด” หลุมมีตั้งแต่ 60-80 กม./ชม. งานนี้ YSS เค้าบอกมาว่าโช้คคู่นี้จัดเต็มมาเพื่อชาว Vespa โดยเฉพาะท�าให้เราไม่ลังเลเลยซักนิดที่ทดสอบให้ครบทุกด้าน...แต่ก่อนจะกระแทกหลุมไปมากกว่านี้ เราจ�าเป็นต้อง “เซ็ต” มันให้ถูกต้องก่อน

How to Set YSS for Vespa?แล้วมนัเซต็ยงัไงล่ะ ?

1. เริ่มจากการหา Riding SAG ซะก่อน...ง่ายๆ เพียงแค่ใช้ที่รัดสายไฟหรือที่เรียกกันว่าหนวดกุ้งหรือเคเบิลไทท์รัดรอบแกนโช้ค (ด้านในสปริง) รัดให้แน่นก�าลังดีแต่ไม่แน่นเกินไป...ให้มันสามารถรูดขึ้นลงได้ ท�าแบบเดียวกันทั้งหน้าและหลัง จากนั้นรูดสายรัดให้ชนกับกระบอกโช้ค (แดมเปอร์)

2. ต้องมีผู้ช่วย 1 คน ช่วยจับรถไว้ที่ด้านหลัง จากนั้นให้ผู้ขับขี่นั่งลงไปบนรถในท่านั่งขับขี่ปกติ...นับ 1-3 จากนั้นก้าวลงจากรถอย่างระวัง (ตอนนั่งลงห้ามกระแทก ตอนลุกออกไปห้ามกระโดด)

3. ก้มลงดูที่โช้คแล้วเช็คสายรัดที่เคยรัดว่ารูดขึ้นไปมากเท่าไหร่ ในกรณีที่ไม่สามารถวัดได้ด้วยตลับเมตรให้วัดด้วยสายตา....

4. ระยะ SAG ที่เหมาะสมส�าหรับขับขี่บนท้องถนนอยู่ที่ 20% นั่นหมายความว่าถ้าโช้คมีระยะยุบ 100 มม. ระยะ SAG นั้นควรจะอยู่ที่ 20 มม.

5. ปรับสปริงพรีโหลดด้วยการคลายน็อต 6 เหลี่ยมตัวจิ๋วแล้วใช้ที่ปรับสปริงหมุนขึ้นเพื่อให้สปริงแข็งขึ้น (หรืออ่อนลง) ท�าแบบเดียวกันทั้งหน้าและหลัง โดยกะให้สปริงแข็งพอส�าหรับน�้าหนักตัวเรา..

Vespa

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201318 19

Page 20: FRM issue 8 (June 2013)

Time to hit those bumps!ได้เวลากระแทกเนนิแล้ว!

หลังจากเซ็ตโช้คหน้า-หลัง YSS for Vespa จนพอใจก็ได้เวลาทดสอบจริงๆ ซะที ถ้าจะให้เปรียบเทียบเราคงต้องวัดกับกับโช้ค YSS ตัวนี้เพียงแต่ใช่ค่าเซ็ตติ้งที่ออกจากโรงงานมาเทียบกัน....ในช่วงแรกของการทดสอบเราได้ลองขี่อัดโค้งดู ไม่นานเราก็รู้ได้ทันทีว่าโช้คนั้น “ย้วย” พอสมควร อาจเป็นเพราะน�้าหนักตัวที่มากถึง 90 กก. ของนักทดสอบซึ่งในทางกลับกัน ถ้าเป็นผู้ใช้ที่เป็นผู้หญิงหรือคนตัวเล็กหนักซัก 70 กก. อาจรู้สึก “สบายก�าลังดี” หลังจากเราได้ลองเซ็ตค่า SAG รีบาวด์และคอมเพรสชั่นดูแล้ว...ลองอัดโค้งอีกครั้งเรากลับรู้สึก “มั่นใจ” กว่าในช่วงแรกที่ยังไม่ได้มีการเซ็ตโช้ค...การเข้าโค้งที่ความเร็ว 60-80 กก./ชม. ท�าได้ดีแทบไม่มีอาการย้วย โช้คหน้าและหลัง Sync (เชื่อมโยงกัน) เป็นหนึ่งเดียวกันท�าให้บาลานซ์ของรถทั้งหน้าและหลังคงที่และสามารถเกาะโค้งได้ดี...แต่มีอาการสไลด์ของล้อหลังเล็กน้อย ทั้งนี้คงเกิดจากการที่โช้คนั้นถูกเซ็ตมาอย่างลงตัวแต่ยางกลับเป็นยางเก่า (ยางปี 2011 โน่นแน่ะ) ท�าให้ยางที่เนื้อแข็งนั้นออกอาการสไลด์เป็นบางครั้ง ดูเหมือนค่ารีบาวด์ที่เราปรับไว้จะส่งผลดีต่อการกระแทกหลุมและความหนึบในโค้ง เพราะเราสามารถรู้สึกได้ถึงความเร็วที่โช้คดีดตัวกลับไปรองรับการกระแทกของพื้นขรุขระได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อเจอกับพื้นผิวขรุขระโช้คหน้ากลับออกอาการกระด้างเล็กน้อย...เมื่อลองปรับคอมเพรสชั่นให้นุ่มกว่าเดิม 3 ระดับก็พบว่าอาการกระด้างลดน้อยกว่าเดิมมาก

Right Adjustment + Good Shock = Predictable Roadเซต็ถกูต้อง + โช้คด ี= ถนนทีค่าดเดาได้

สรุปกันเลยดีกว่าครับกับโช้ค YSS for Vespa โช้คแต่งส�าหรับรถเดิมหรือรถแต่งก็ดี แต่ที่แน่ๆ คือสมรรถนะของโช้ค YSS ตัวนี้ไม่ธรรมดาเลยครับ *โดยเฉพาะถ้าคุณสามารถปรับตั้งมันได้ให้เข้ากับตัวคุณและสไตล์การขับขี่ของตัวเอง* เพราะค่าเซ็ตติ้งเดิมๆ จากโรงงานถ้าไม่มีการปรับค่าสปริงจะรู้สึกค่อนข้างยวบส�าหรับคนน�้าหนักมากอย่างเรา แต่ส�าหรับผู้ใช้ร่างเล็กอาจรู้สึกว่านุ่มก�าลังดีก็เป็นได้ โช้ค YSS รุ่นนี้ค่อนข้างต้องใช้ความรู้ในการปรับตั้งพอสมควร ในขณะที่โช้คสามารถแสดงสมรรถนะที่แท้จริงออกมาได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถ้าผู้ใช้ปรับไม่ถูกต้องอาจรู้สึก “ติดลบ” ไปเลยก็ได้...เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น FRM ขอแบ่งข้อดีข้อเสียให้เห็นกันชัดๆ เลยแล้วกันครับ

Advantage – ข้อดี

- โช้คหน้า-หลัง สามารถปรับค่าสปริงพรีโหลดได้หลากหลายระดับตามน�้าหนักตัวผู้ขี่ ในขณะที่โช้คเดิมๆ ติดรถสามารถปรับได้แค่ไม่กี่ระดับเท่านั้น

- รีบาวด์หลากหลายระดับ ปรับได้ตั้งแต่คืนตัวช้าสุดจนถึงดีดดีเหมือนม้าพยศ

- คอมเพรสชั่นโช้คหน้าปรับได้ละเอียดยิบราวกับเป็นโช้คแข่ง โช้คหลังปรับได้ 3 ระดับคือ แข็ง กลาง อ่อน

- โช้คทั้งหน้าและหลังเป็นมี “กระปุก” แก๊สแยกออกมา ตัวแก๊สท�าหน้าที่ช่วยให้โช้คท�างานได้ “ละเอียด” ขึ้นและเนียนขึ้น- ราคาเบาๆ เพียง 19,xxx ถูกกว่าโช้คจากแดนมะกะโรนีซะอีก!

Disadvantage – ข้อเสยี

- ตัวปรับรีบาวด์มีรอบ (คลิก) มากเกินไป อย่างโช้คหลังที่มีมากถึง 80 คลิกท�าให้บางครั้งการปรับอาจมีการหมุนข้ามคลิกหรือลืมจ�านวนคลิกได้ แต่ไม่น่าเป็นปัญหาเพราะ การหมุนพลาดไป 2-3 คลิกก็แทบไม่มีผลจนเรารู้สึกได้

- ตัวปรับคอมเพรสชั่นด้านหลังควรละเอียดเช่นเดียวกับโช้คหน้า

ส�าหรับสาวกเวสป้าที่ก�าลังมองหาของแต่งเจ๋งๆ เพื่อเติมสมรรถนะการขับขี่ที่ดีและที่ส�าคัญเป็นสินค้าที่ผลิตโดยฝีมือคนไทย...YSS for Vespa ตัวนี้หล่อและลงล็อคพอดีเลยหละครับ ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.yss.co.th ครับ

6. รูดสายรัดลงมาที่เดิมแล้วนั่งลงเหมือนกับขั้นตอนที่ 2 จากนั้นลงจากรถเพื่อเช็คดูระยะ SAG

7. กฎข้อนี้ส�าคัญมากเพราะ...กฎของการเซ็ตโช้คนั้นไม่ตายตัว ไม่ว่าจะได้ระยะ SAG เท่าไหร่หรือปรับระยะ SAG ไปเท่าไหร่ คุณก็สามารถบวกและลบเพิ่มให้เข้ากับความชอบของแต่ละบุคคล ยกตัวอย่างเช่น เราชอบให้มันแข็งๆ เพราะเราขี่โหดจึงจ�าเป็นต้องให้โช้คมีระยะยุบพอเหมาะส�าหรับความเกาะถนน เราจึงปรับไว้ที่ 15% แต่ส�าหรับใครเน้นขี่ชิลล์ๆ ไปแบบนิ่มก็สามารถเพิ่ม SAG ให้เป็น 25 % ได้เช่นกัน

8. ต่อมาคือการปรับรีบาวด์ ต�าแหน่งตัวปรับรีบาวด์ของโช้ค YSS ส�าหรับ Vespa นี้จะอยู่ที่ฐานสปริงด้านบน การปรับรีบาวด์ที่โรงงานแนะน�าคือหมุนไปจดสุดด้านใดด้านหนึ่งจากนั้นปรับกลับมาให้อยู่กึ่งกลาง...การปรับรีบาวด์ที่มีจ�านวนคลิกมากอย่างโช้คหลังให้ปรับทีละ 5 คลิกแล้วลงกดตัวดูเพื่อเช็คความเร็วในการ “เด้ง” กลับของโช้ค * รีบาวด์ยิ่งปรับให้เร็วเท่าไหร่ ยิ่งเกาะถนนดีเท่านั้น แต่ถ้ารีบาวด์คืนตัวเร็วเกินไปจะท�าให้รู้สึกกระด้าง เช่นเดียวกับรีบาวด์ช้าเกินไปก็จะท�าให้รู้สึกกระด้างเช่นเดียวกัน การปรับที่ดีที่สุดคือปรับจากกึ่งกลางไปหาทิศทางที่ต้องการ....โดยส่วนตัวนักทดสอบเป็นพวกชอบเข้าโค้งเร็ว-แรงท�าให้ต้องปรับรีบาวด์ให้ดีดตัวกลับเร็วเพื่อรับกับพื้นถนน

9. คอมเพรสชั่น...ส�าหรับคอมเพรสชั่นนับเป็นตัวตั้งค่าสุดท้ายที่ผู้ใช้แต่ละคนจะเลือกปรับ บางคนก็ไม่ปรับอะไรเลย เพราะ Low Speed Compression จะเป็นตัวบอกว่าโช้คนั้นจะยุบตัวที่ความเร็วช้าได้ช้า-เร็วแค่ไหน....งงมั้ยครับ? เอาเป็นว่าส�าหรับโช้ค YSS ตัวนี้ถ้าบิดคอมเพรสชั่นไปจนสุดคุณจะรู้สึกว่าโช้คนั้น “แข็งเหมือนไม้” เพราะวาล์วน�้ามันถูกปิด แต่เมื่อคลายตัวปรับคอมเพรสชั่นออกจะรู้สึกนุ่มขึ้น...ส�าหรับคอมเพรสชั่นเราแนะน�าให้ปรับเป็นค่ากลางไว้เช่นเดียวกับรีบาวด์ครับ จากนั้นใครมีสไตล์การขับขี่แบบไหนค่อยปรับเข้าหาตัวเรา

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201320 21

Page 21: FRM issue 8 (June 2013)

Time to hit those bumps!ได้เวลากระแทกเนนิแล้ว!

หลังจากเซ็ตโช้คหน้า-หลัง YSS for Vespa จนพอใจก็ได้เวลาทดสอบจริงๆ ซะที ถ้าจะให้เปรียบเทียบเราคงต้องวัดกับกับโช้ค YSS ตัวนี้เพียงแต่ใช่ค่าเซ็ตติ้งที่ออกจากโรงงานมาเทียบกัน....ในช่วงแรกของการทดสอบเราได้ลองขี่อัดโค้งดู ไม่นานเราก็รู้ได้ทันทีว่าโช้คนั้น “ย้วย” พอสมควร อาจเป็นเพราะน�้าหนักตัวที่มากถึง 90 กก. ของนักทดสอบซึ่งในทางกลับกัน ถ้าเป็นผู้ใช้ที่เป็นผู้หญิงหรือคนตัวเล็กหนักซัก 70 กก. อาจรู้สึก “สบายก�าลังดี” หลังจากเราได้ลองเซ็ตค่า SAG รีบาวด์และคอมเพรสชั่นดูแล้ว...ลองอัดโค้งอีกครั้งเรากลับรู้สึก “มั่นใจ” กว่าในช่วงแรกที่ยังไม่ได้มีการเซ็ตโช้ค...การเข้าโค้งที่ความเร็ว 60-80 กก./ชม. ท�าได้ดีแทบไม่มีอาการย้วย โช้คหน้าและหลัง Sync (เชื่อมโยงกัน) เป็นหนึ่งเดียวกันท�าให้บาลานซ์ของรถทั้งหน้าและหลังคงที่และสามารถเกาะโค้งได้ดี...แต่มีอาการสไลด์ของล้อหลังเล็กน้อย ทั้งนี้คงเกิดจากการที่โช้คนั้นถูกเซ็ตมาอย่างลงตัวแต่ยางกลับเป็นยางเก่า (ยางปี 2011 โน่นแน่ะ) ท�าให้ยางที่เนื้อแข็งนั้นออกอาการสไลด์เป็นบางครั้ง ดูเหมือนค่ารีบาวด์ที่เราปรับไว้จะส่งผลดีต่อการกระแทกหลุมและความหนึบในโค้ง เพราะเราสามารถรู้สึกได้ถึงความเร็วที่โช้คดีดตัวกลับไปรองรับการกระแทกของพื้นขรุขระได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อเจอกับพื้นผิวขรุขระโช้คหน้ากลับออกอาการกระด้างเล็กน้อย...เมื่อลองปรับคอมเพรสชั่นให้นุ่มกว่าเดิม 3 ระดับก็พบว่าอาการกระด้างลดน้อยกว่าเดิมมาก

Right Adjustment + Good Shock = Predictable Roadเซต็ถกูต้อง + โช้คด ี= ถนนทีค่าดเดาได้

สรุปกันเลยดีกว่าครับกับโช้ค YSS for Vespa โช้คแต่งส�าหรับรถเดิมหรือรถแต่งก็ดี แต่ที่แน่ๆ คือสมรรถนะของโช้ค YSS ตัวนี้ไม่ธรรมดาเลยครับ *โดยเฉพาะถ้าคุณสามารถปรับตั้งมันได้ให้เข้ากับตัวคุณและสไตล์การขับขี่ของตัวเอง* เพราะค่าเซ็ตติ้งเดิมๆ จากโรงงานถ้าไม่มีการปรับค่าสปริงจะรู้สึกค่อนข้างยวบส�าหรับคนน�้าหนักมากอย่างเรา แต่ส�าหรับผู้ใช้ร่างเล็กอาจรู้สึกว่านุ่มก�าลังดีก็เป็นได้ โช้ค YSS รุ่นนี้ค่อนข้างต้องใช้ความรู้ในการปรับตั้งพอสมควร ในขณะที่โช้คสามารถแสดงสมรรถนะที่แท้จริงออกมาได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถ้าผู้ใช้ปรับไม่ถูกต้องอาจรู้สึก “ติดลบ” ไปเลยก็ได้...เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น FRM ขอแบ่งข้อดีข้อเสียให้เห็นกันชัดๆ เลยแล้วกันครับ

Advantage – ข้อดี

- โช้คหน้า-หลัง สามารถปรับค่าสปริงพรีโหลดได้หลากหลายระดับตามน�้าหนักตัวผู้ขี่ ในขณะที่โช้คเดิมๆ ติดรถสามารถปรับได้แค่ไม่กี่ระดับเท่านั้น

- รีบาวด์หลากหลายระดับ ปรับได้ตั้งแต่คืนตัวช้าสุดจนถึงดีดดีเหมือนม้าพยศ

- คอมเพรสชั่นโช้คหน้าปรับได้ละเอียดยิบราวกับเป็นโช้คแข่ง โช้คหลังปรับได้ 3 ระดับคือ แข็ง กลาง อ่อน

- โช้คทั้งหน้าและหลังเป็นมี “กระปุก” แก๊สแยกออกมา ตัวแก๊สท�าหน้าที่ช่วยให้โช้คท�างานได้ “ละเอียด” ขึ้นและเนียนขึ้น- ราคาเบาๆ เพียง 19,xxx ถูกกว่าโช้คจากแดนมะกะโรนีซะอีก!

Disadvantage – ข้อเสยี

- ตัวปรับรีบาวด์มีรอบ (คลิก) มากเกินไป อย่างโช้คหลังที่มีมากถึง 80 คลิกท�าให้บางครั้งการปรับอาจมีการหมุนข้ามคลิกหรือลืมจ�านวนคลิกได้ แต่ไม่น่าเป็นปัญหาเพราะ การหมุนพลาดไป 2-3 คลิกก็แทบไม่มีผลจนเรารู้สึกได้

- ตัวปรับคอมเพรสชั่นด้านหลังควรละเอียดเช่นเดียวกับโช้คหน้า

ส�าหรับสาวกเวสป้าที่ก�าลังมองหาของแต่งเจ๋งๆ เพื่อเติมสมรรถนะการขับขี่ที่ดีและที่ส�าคัญเป็นสินค้าที่ผลิตโดยฝีมือคนไทย...YSS for Vespa ตัวนี้หล่อและลงล็อคพอดีเลยหละครับ ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.yss.co.th ครับ

6. รูดสายรัดลงมาที่เดิมแล้วนั่งลงเหมือนกับขั้นตอนที่ 2 จากนั้นลงจากรถเพื่อเช็คดูระยะ SAG

7. กฎข้อนี้ส�าคัญมากเพราะ...กฎของการเซ็ตโช้คนั้นไม่ตายตัว ไม่ว่าจะได้ระยะ SAG เท่าไหร่หรือปรับระยะ SAG ไปเท่าไหร่ คุณก็สามารถบวกและลบเพิ่มให้เข้ากับความชอบของแต่ละบุคคล ยกตัวอย่างเช่น เราชอบให้มันแข็งๆ เพราะเราขี่โหดจึงจ�าเป็นต้องให้โช้คมีระยะยุบพอเหมาะส�าหรับความเกาะถนน เราจึงปรับไว้ที่ 15% แต่ส�าหรับใครเน้นขี่ชิลล์ๆ ไปแบบนิ่มก็สามารถเพิ่ม SAG ให้เป็น 25 % ได้เช่นกัน

8. ต่อมาคือการปรับรีบาวด์ ต�าแหน่งตัวปรับรีบาวด์ของโช้ค YSS ส�าหรับ Vespa นี้จะอยู่ที่ฐานสปริงด้านบน การปรับรีบาวด์ที่โรงงานแนะน�าคือหมุนไปจดสุดด้านใดด้านหนึ่งจากนั้นปรับกลับมาให้อยู่กึ่งกลาง...การปรับรีบาวด์ที่มีจ�านวนคลิกมากอย่างโช้คหลังให้ปรับทีละ 5 คลิกแล้วลงกดตัวดูเพื่อเช็คความเร็วในการ “เด้ง” กลับของโช้ค * รีบาวด์ยิ่งปรับให้เร็วเท่าไหร่ ยิ่งเกาะถนนดีเท่านั้น แต่ถ้ารีบาวด์คืนตัวเร็วเกินไปจะท�าให้รู้สึกกระด้าง เช่นเดียวกับรีบาวด์ช้าเกินไปก็จะท�าให้รู้สึกกระด้างเช่นเดียวกัน การปรับที่ดีที่สุดคือปรับจากกึ่งกลางไปหาทิศทางที่ต้องการ....โดยส่วนตัวนักทดสอบเป็นพวกชอบเข้าโค้งเร็ว-แรงท�าให้ต้องปรับรีบาวด์ให้ดีดตัวกลับเร็วเพื่อรับกับพื้นถนน

9. คอมเพรสชั่น...ส�าหรับคอมเพรสชั่นนับเป็นตัวตั้งค่าสุดท้ายที่ผู้ใช้แต่ละคนจะเลือกปรับ บางคนก็ไม่ปรับอะไรเลย เพราะ Low Speed Compression จะเป็นตัวบอกว่าโช้คนั้นจะยุบตัวที่ความเร็วช้าได้ช้า-เร็วแค่ไหน....งงมั้ยครับ? เอาเป็นว่าส�าหรับโช้ค YSS ตัวนี้ถ้าบิดคอมเพรสชั่นไปจนสุดคุณจะรู้สึกว่าโช้คนั้น “แข็งเหมือนไม้” เพราะวาล์วน�้ามันถูกปิด แต่เมื่อคลายตัวปรับคอมเพรสชั่นออกจะรู้สึกนุ่มขึ้น...ส�าหรับคอมเพรสชั่นเราแนะน�าให้ปรับเป็นค่ากลางไว้เช่นเดียวกับรีบาวด์ครับ จากนั้นใครมีสไตล์การขับขี่แบบไหนค่อยปรับเข้าหาตัวเรา

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201320 21

Page 22: FRM issue 8 (June 2013)

“ฟีโน่ หัวฉีด... สุดขีดทุกไลฟ์สไตล์”ความรู้สึกใหม่ๆ ประสบการณ์มันส์ๆ กับ “ยามาฮ่า ฟีโน่ หัวฉีด”

“ฟีโน่ หัวฉีด... สุดขีดทุกไลฟ์สไตล์”…คือ กิจกรรมเดินสายเปิดตัวรถจักรยานยนต์ออโตเมติกรุ่นใหม่ล่าสุดของยามาฮ่า นั่นคือ “ยามาฮ่า ฟีโน่ หัวฉีด” ซึ่งกิจกรรมนี้ทาง บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จ�ากัด ได้จัดขึ้นทั่วทุกภาคของประเทศ โดยยึดศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่าเป็นลานกิจกรรมในสไตล์มินิมอเตอร์โชว์ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้ามาสัมผัสกับ “All New Fino, All New Feeling” กันได้อย่างใกล้ชิดนั่นเอง

ส�าหรับกิจกรรม “ฟีโน่ หัวฉีด... สุดขีดทุกไลฟ์สไตล์” ครั้งนี้ได้จัดขึ้นที่ จ.ขอนแก่น ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ระหว่างวันที่ 13-26 พฤษภาคม 2556 เพื่อให้วัยรุ่นและชาวขอนแก่นได้กิจกรรมที่สุดอินเทรนด์นี้กันอย่างเต็มที่ ซึ่งภายในบริเวณลานกิจกรรมจะแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ ที่จะท�าให้ผู้ที่เดินเข้ามาชมภายในงานได้สัมผัสกับ “ยามาฮ่า ฟีโน่ หัวฉีด” ในแบบหลากหลายมิติและมุมมองที่แตกต่างออกไปจากที่เคยมี ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 4 โซนด้วยกัน ดังนี้...

โซนที่ 1 เป็นการน�าเสนอในเรื่องของแฟชั่นเครื่องแต่งกายสุดอินเทรนด์ ซึ่งถูกดีไซน์มาอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของทุกคน ยิ่งเมื่อสวมใส่คู่กับ “ยามาฮ่า ฟีโน่ หัวฉีด” แล้วละก็...เท่ไม่ซ�้าใครแน่นอน!!

โซนที่ 2 เป็นโซนที่จัดขึ้นมาเพื่อคนที่ชื่นชอบและรักการตกแต่งรถจักรยานยนต์โดยเฉพาะ เพราะโซนนี้เต็มไปด้วย “ยามาฮ่า ฟีโน่ หัวฉีด” ที่ผ่านการตกแต่งมาแบบหลากหลายไอเดียชนิดที่ใครเห็นก็ต้องร้องซี๊ดกันเลยทีเดียว

โซนที่ 3 เป็นโซนที่น�าเสนอ Timeline ของ “ฟีโน่” ตั้งแต่ก่อก�าเนิดจนกลายมาเป็น “ฟีโน่ หัวฉีด” ผ่านทางแกลลอรี่ภาพถ่ายที่บันทึกเรื่องราวและความประทับใจต่างๆ ของฟีโน่ รวมถึงมุมมองในอีกแง่มุมที่ใครหลายๆ คนอาจจะยังไม่เห็นพบเห็นอีกด้วย

โซนที่ 4 เป็นโซนกิจกรรมที่เป็นโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้ตอบค�าถามเกี่ยวกับ “ยามาฮ่า ฟีโน่ หัวฉีด” โดยตอบค�าถามลงในเฟชบุ๊ค เพื่อชิงตั๋วเข้าร่วมกิจกรรมแบบเอ็กซ์คลูซีฟในช่วงค�่าคืนที่แสนสุดพิเศษที่ทางยามาฮ่าได้จัดเตรียมเอาไว้เพื่อให้ผู้โชคดีและชาวยามาฮ่าคลับขอนแก่นได้สัมผัสกับความรู้สึกใหม่ๆ ในบรรยากาศแบบปาร์ตี้สุดมันส์ โดยมีศิลปิน วงมายด์ และ สควิซ แอนนิมอล มาสร้างความประทับใจให้กับชาวยามาฮ่า ณ U-Bar Pub

และนี่ก็คืออีกหนึ่งความรู้สึกใหม่ๆ ที่ทางยามาฮ่าได้จัดขึ้นเพื่อให้ชาวขอนแก่นได้สัมผัสกับ “ยามาฮ่า ฟีโน่ หัวฉีด” ในรูปแบบของกิจกรรมสุดอินเทรนด์ที่ไม่ซ�้าใคร ซึ่งกิจกรรม “ฟีโน่ หัวฉีด... สุดขีดทุกไลฟ์สไตล์” นี้ จะจัดขึ้นครั้งต่อไปที่ จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.ชลบุรี...ชาวยามาฮ่าและวัยรุ่นในพื้นที่เตรียมตัวพบกับสิ่งใหม่ๆ ที่ทางยามาฮ่าจัดเต็มเตรียมตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน...

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201322 23

Page 23: FRM issue 8 (June 2013)

“ฟีโน่ หัวฉีด... สุดขีดทุกไลฟ์สไตล์”ความรู้สึกใหม่ๆ ประสบการณ์มันส์ๆ กับ “ยามาฮ่า ฟีโน่ หัวฉีด”

“ฟีโน่ หัวฉีด... สุดขีดทุกไลฟ์สไตล์”…คือ กิจกรรมเดินสายเปิดตัวรถจักรยานยนต์ออโตเมติกรุ่นใหม่ล่าสุดของยามาฮ่า นั่นคือ “ยามาฮ่า ฟีโน่ หัวฉีด” ซึ่งกิจกรรมนี้ทาง บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จ�ากัด ได้จัดขึ้นทั่วทุกภาคของประเทศ โดยยึดศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่าเป็นลานกิจกรรมในสไตล์มินิมอเตอร์โชว์ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้ามาสัมผัสกับ “All New Fino, All New Feeling” กันได้อย่างใกล้ชิดนั่นเอง

ส�าหรับกิจกรรม “ฟีโน่ หัวฉีด... สุดขีดทุกไลฟ์สไตล์” ครั้งนี้ได้จัดขึ้นที่ จ.ขอนแก่น ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ระหว่างวันที่ 13-26 พฤษภาคม 2556 เพื่อให้วัยรุ่นและชาวขอนแก่นได้กิจกรรมที่สุดอินเทรนด์นี้กันอย่างเต็มที่ ซึ่งภายในบริเวณลานกิจกรรมจะแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ ที่จะท�าให้ผู้ที่เดินเข้ามาชมภายในงานได้สัมผัสกับ “ยามาฮ่า ฟีโน่ หัวฉีด” ในแบบหลากหลายมิติและมุมมองที่แตกต่างออกไปจากที่เคยมี ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 4 โซนด้วยกัน ดังนี้...

โซนที่ 1 เป็นการน�าเสนอในเรื่องของแฟชั่นเครื่องแต่งกายสุดอินเทรนด์ ซึ่งถูกดีไซน์มาอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของทุกคน ยิ่งเมื่อสวมใส่คู่กับ “ยามาฮ่า ฟีโน่ หัวฉีด” แล้วละก็...เท่ไม่ซ�้าใครแน่นอน!!

โซนที่ 2 เป็นโซนที่จัดขึ้นมาเพื่อคนที่ชื่นชอบและรักการตกแต่งรถจักรยานยนต์โดยเฉพาะ เพราะโซนนี้เต็มไปด้วย “ยามาฮ่า ฟีโน่ หัวฉีด” ที่ผ่านการตกแต่งมาแบบหลากหลายไอเดียชนิดที่ใครเห็นก็ต้องร้องซี๊ดกันเลยทีเดียว

โซนที่ 3 เป็นโซนที่น�าเสนอ Timeline ของ “ฟีโน่” ตั้งแต่ก่อก�าเนิดจนกลายมาเป็น “ฟีโน่ หัวฉีด” ผ่านทางแกลลอรี่ภาพถ่ายที่บันทึกเรื่องราวและความประทับใจต่างๆ ของฟีโน่ รวมถึงมุมมองในอีกแง่มุมที่ใครหลายๆ คนอาจจะยังไม่เห็นพบเห็นอีกด้วย

โซนที่ 4 เป็นโซนกิจกรรมที่เป็นโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้ตอบค�าถามเกี่ยวกับ “ยามาฮ่า ฟีโน่ หัวฉีด” โดยตอบค�าถามลงในเฟชบุ๊ค เพื่อชิงตั๋วเข้าร่วมกิจกรรมแบบเอ็กซ์คลูซีฟในช่วงค�่าคืนที่แสนสุดพิเศษที่ทางยามาฮ่าได้จัดเตรียมเอาไว้เพื่อให้ผู้โชคดีและชาวยามาฮ่าคลับขอนแก่นได้สัมผัสกับความรู้สึกใหม่ๆ ในบรรยากาศแบบปาร์ตี้สุดมันส์ โดยมีศิลปิน วงมายด์ และ สควิซ แอนนิมอล มาสร้างความประทับใจให้กับชาวยามาฮ่า ณ U-Bar Pub

และนี่ก็คืออีกหนึ่งความรู้สึกใหม่ๆ ที่ทางยามาฮ่าได้จัดขึ้นเพื่อให้ชาวขอนแก่นได้สัมผัสกับ “ยามาฮ่า ฟีโน่ หัวฉีด” ในรูปแบบของกิจกรรมสุดอินเทรนด์ที่ไม่ซ�้าใคร ซึ่งกิจกรรม “ฟีโน่ หัวฉีด... สุดขีดทุกไลฟ์สไตล์” นี้ จะจัดขึ้นครั้งต่อไปที่ จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.ชลบุรี...ชาวยามาฮ่าและวัยรุ่นในพื้นที่เตรียมตัวพบกับสิ่งใหม่ๆ ที่ทางยามาฮ่าจัดเต็มเตรียมตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน...

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201322 23

Page 24: FRM issue 8 (June 2013)

Yamaha Cup Race 2013 R.1เปิดสนามสุดมันส์ ลุ้นระทึกทุกวินาที...แชมป์ไม่ซ�้าหน้า!!!

รุ่น Yamaha Spark 135 DiASil – Heat 1 1.กรรณสูตรสิทธิเสนา 2.จิราวุฒิรัศมี 3.ศิริชัยยวนเกิด

รุ่น Yamaha Spark 135 DiASil – Heat 2 1.อนุภาพซามูล 2.ศิริชัยยวนเกิด 3.กรรณสูตรสิทธิเสนา

รุ่น Yamaha Automatic 125 DiASil U19 – Heat 1 1.พีรพงษ์บุญเลิศ 2.รัฐพงศ์บุญเลิศ 3.อัครัตน์เพ็ญจันทร์

รุ่น Yamaha Automatic 125 DiASil U19 – Heat 2 1.พีระพงษ์หลุยบุญเป็ง 2.พีรพงษ์บุญเลิศ 3.อัครัตน์เพ็ญจันทร์

รุ่น Yamaha TTX 125 cc. 1.อัครัตน์เพ็ญจันทร์ 2.พีรพงษ์บุญเลิศ 3.อนุภาพซามูล

รุ่น Yamaha Mio 115i One Make Race 1.ตะวันชัยหมันแหละ 2.กิติศักดิ์เรืองเสน 3.ด�ารงศักดิ์ตุ้มทอง

รุ่น Yamaha Veerubber Automatic Local 1.ทะนงศักดิ์ถิ่นสะท้อน 2.วุฒิชัยเรืองเสน 3.นฤเดชชูมี

•ผลการแข่งขันYamahaC

upRace2013สนามที่1

โดยเกมการแข่งขันYamahaCupRace2013สนามที่1นั้นได้จัดขึ้นเมื่อวันที่25-26พฤษภาคม2556ณสนามกีฬาทุ่งแจ้งจ.ตรังซึ่งได้รับความร่วมมือจากหจก.ตรังเอสทีกลการและบจก.ตรังเทพนครผู้จ�าหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าในพื้นที่ร่วมจัดการแข่งขันโดยในพิธีเปิดการแข่งขันได้รับเกียรติจากนายนิพันธ์ศิริธรนายอ�าเภอเมืองตรังเป็นประธานในพิธีพร้อมด้วยตัวแทนผู้สนับสนุนการแข่งขันอย่างผลิตภัณฑ์D.I.D.และโช้คอัพGaziรวมถึงนักแข่งและทีมแข่งที่เข้ามาร่วมในพิธีเปิดกันอย่างคึกคักก่อนเริ่มการแข่งขัน

ส�าหรับบรรยากาศในการแข่งขันสนามที่1นี้นักแข่งต้องเจอกับสภาพอากาศที่ร้อนระอุท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนแรงเป็นอย่างมากท�าให้ทีมแมคคานิคของแต่ละทีมต้องปรับจูนรถแข่งกันอย่างเต็มที่เพื่อให้นักแข่งสามารถรีดเค้นสมรรถนะของรถแข่งออกมาได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดและรุ่นที่ชาวตรังเฝ้ารอชมกันอย่างเนืองแน่นมากที่สุดเห็นจะเป็นรุ่นYamahaAutomatic125DiASil(อายุไม่เกิน19ปี)กับรุ่นYamahaSpark135DiASilที่ท�าการแข่งขันชิงชัยกันถึง2ฮีตและในแต่ละฮีตนั้นนักแข่งต่างก็ขับเคี่ยวกันแบบสุดมันส์ชนิดที่ผู้ชมชาวตรังได้ลุ้นทุกรอบทุกโค้งกันเลยทีเดียวซึ่งนักแข่งที่คว้าแชมป์ในแต่ละฮีตของทั้ง2รุ่นนี้ต่างก็รับแชมป์กันแบบไม่ซ�้าหน้าเลยทีเดียวส่วนการแข่งขันในรุ่นอื่นๆนั้นก็สนุกมันส์และได้ลุ้นได้เชียร์ไม่แพ้รุ่นใหญ่เช่นกันซึ่งผลการแข่งขันในแต่ละรุ่นนั้นติดตามได้จากตารางผลการแข่งขัน

นอกจากเกมความมันส์ในสนามแล้วผู้ชมยังได้ลุ้นกับโชว์สุดระทึกกับโชว์ขับขี่สตั๊นท์ระดับเทพรวมทั้งยังมีรถแต่งยามาฮ่ารุ่นต่างๆที่ขนมาโชว์กันอย่างหลากหลายและรถแข่งดีกรีแชมป์

ในรุ่นต่างๆไม่ว่าจะเป็นแชมป์AllJapanหรือแชมป์ประเทศไทยยามาฮ่าก็ขนมาให้ชาวตรังได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิดอีกด้วย...

ระ เบิดศึกความเร็วสองล้อทางเรียบที่เต็มไปด้วยความมันส์ระดับ5ดาวรายการ“Yamaha Cup Race 2013”ที่ทางบริษัทไทยยามาฮ่ามอเตอร์จ�ากัดได้จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนที่ชื่นชอบเกมการแข่งขันรถจักรยานยนต์ได้มีสนามประลองความเร็วกันภายใต้กฎกติกาและถูกต้องตามกฎหมายอีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นให้กับนักแข่งได้มีโอกาสพัฒนาฝีมือเพื่อก้าวเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตต่อไปและยังเป็นการเฟ้นหานักแข่งเพื่อเป็น“ตัวแทนนักแข่งยามาฮ่าไทย”ไปร่วมแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างรายการ“Yamaha Asean cup race 2013 ครั้งที่ 10”ในช่วงปลายปีนี้อีกด้วย

ส�าหรับการแข่งขันYamahaCupRace2013ในปีนี้ทางบริษัทไทยยามาฮ่ามอเตอร์จ�ากัดได้จัดการแข่งขันให้นักแข่งได้ประลองฝีมือด้วยกันทั้งหมด5รุ่นคือรุ่นYamahaVeerubberAutomaticLocal(ท้องถิ่น),รุ่นYamahaMio115iOneMakeRace(อายุไม่เกิน25ปี)ซึ่งทั้ง2รุ่นนี้เปิดโอกาสให้กับนักแข่งท้องถิ่นในแต่ละภาคและมือใหม่ได้ประลองฝีมือกันโดยเฉพาะ,รุ่นYamahaTTX125cc.ที่ถือว่าเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดของรายการนี้และ2รุ่นที่เป็นไฮไลท์อย่างรุ่นYamahaAutomatic125DiASil(อายุไม่เกิน19ปี)กับรุ่นYamahaSpark135DiASilซึ่งอัดแน่นไปด้วยนักแข่งฝีมือระดับพระกาฬที่เข้ามาร่วมชิงชัยกันอย่างคับคั่ง

Page 25: FRM issue 8 (June 2013)

Yamaha Cup Race 2013 R.1เปิดสนามสุดมันส์ ลุ้นระทึกทุกวินาที...แชมป์ไม่ซ�้าหน้า!!!

รุ่น Yamaha Spark 135 DiASil – Heat 1 1.กรรณสูตรสิทธิเสนา 2.จิราวุฒิรัศมี 3.ศิริชัยยวนเกิด

รุ่น Yamaha Spark 135 DiASil – Heat 2 1.อนุภาพซามูล 2.ศิริชัยยวนเกิด 3.กรรณสูตรสิทธิเสนา

รุ่น Yamaha Automatic 125 DiASil U19 – Heat 1 1.พีรพงษ์บุญเลิศ 2.รัฐพงศ์บุญเลิศ 3.อัครัตน์เพ็ญจันทร์

รุ่น Yamaha Automatic 125 DiASil U19 – Heat 2 1.พีระพงษ์หลุยบุญเป็ง 2.พีรพงษ์บุญเลิศ 3.อัครัตน์เพ็ญจันทร์

รุ่น Yamaha TTX 125 cc. 1.อัครัตน์เพ็ญจันทร์ 2.พีรพงษ์บุญเลิศ 3.อนุภาพซามูล

รุ่น Yamaha Mio 115i One Make Race 1.ตะวันชัยหมันแหละ 2.กิติศักดิ์เรืองเสน 3.ด�ารงศักดิ์ตุ้มทอง

รุ่น Yamaha Veerubber Automatic Local 1.ทะนงศักดิ์ถิ่นสะท้อน 2.วุฒิชัยเรืองเสน 3.นฤเดชชูมี

•ผลการแข่งขันYamahaC

upRace2013สนามที่1

โดยเกมการแข่งขันYamahaCupRace2013สนามที่1นั้นได้จัดขึ้นเมื่อวันที่25-26พฤษภาคม2556ณสนามกีฬาทุ่งแจ้งจ.ตรังซึ่งได้รับความร่วมมือจากหจก.ตรังเอสทีกลการและบจก.ตรังเทพนครผู้จ�าหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าในพื้นที่ร่วมจัดการแข่งขันโดยในพิธีเปิดการแข่งขันได้รับเกียรติจากนายนิพันธ์ศิริธรนายอ�าเภอเมืองตรังเป็นประธานในพิธีพร้อมด้วยตัวแทนผู้สนับสนุนการแข่งขันอย่างผลิตภัณฑ์D.I.D.และโช้คอัพGaziรวมถึงนักแข่งและทีมแข่งที่เข้ามาร่วมในพิธีเปิดกันอย่างคึกคักก่อนเริ่มการแข่งขัน

ส�าหรับบรรยากาศในการแข่งขันสนามที่1นี้นักแข่งต้องเจอกับสภาพอากาศที่ร้อนระอุท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนแรงเป็นอย่างมากท�าให้ทีมแมคคานิคของแต่ละทีมต้องปรับจูนรถแข่งกันอย่างเต็มที่เพื่อให้นักแข่งสามารถรีดเค้นสมรรถนะของรถแข่งออกมาได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดและรุ่นที่ชาวตรังเฝ้ารอชมกันอย่างเนืองแน่นมากที่สุดเห็นจะเป็นรุ่นYamahaAutomatic125DiASil(อายุไม่เกิน19ปี)กับรุ่นYamahaSpark135DiASilที่ท�าการแข่งขันชิงชัยกันถึง2ฮีตและในแต่ละฮีตนั้นนักแข่งต่างก็ขับเคี่ยวกันแบบสุดมันส์ชนิดที่ผู้ชมชาวตรังได้ลุ้นทุกรอบทุกโค้งกันเลยทีเดียวซึ่งนักแข่งที่คว้าแชมป์ในแต่ละฮีตของทั้ง2รุ่นนี้ต่างก็รับแชมป์กันแบบไม่ซ�้าหน้าเลยทีเดียวส่วนการแข่งขันในรุ่นอื่นๆนั้นก็สนุกมันส์และได้ลุ้นได้เชียร์ไม่แพ้รุ่นใหญ่เช่นกันซึ่งผลการแข่งขันในแต่ละรุ่นนั้นติดตามได้จากตารางผลการแข่งขัน

นอกจากเกมความมันส์ในสนามแล้วผู้ชมยังได้ลุ้นกับโชว์สุดระทึกกับโชว์ขับขี่สตั๊นท์ระดับเทพรวมทั้งยังมีรถแต่งยามาฮ่ารุ่นต่างๆที่ขนมาโชว์กันอย่างหลากหลายและรถแข่งดีกรีแชมป์

ในรุ่นต่างๆไม่ว่าจะเป็นแชมป์AllJapanหรือแชมป์ประเทศไทยยามาฮ่าก็ขนมาให้ชาวตรังได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิดอีกด้วย...

ระ เบิดศึกความเร็วสองล้อทางเรียบที่เต็มไปด้วยความมันส์ระดับ5ดาวรายการ“Yamaha Cup Race 2013”ที่ทางบริษัทไทยยามาฮ่ามอเตอร์จ�ากัดได้จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนที่ชื่นชอบเกมการแข่งขันรถจักรยานยนต์ได้มีสนามประลองความเร็วกันภายใต้กฎกติกาและถูกต้องตามกฎหมายอีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นให้กับนักแข่งได้มีโอกาสพัฒนาฝีมือเพื่อก้าวเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตต่อไปและยังเป็นการเฟ้นหานักแข่งเพื่อเป็น“ตัวแทนนักแข่งยามาฮ่าไทย”ไปร่วมแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างรายการ“Yamaha Asean cup race 2013 ครั้งที่ 10”ในช่วงปลายปีนี้อีกด้วย

ส�าหรับการแข่งขันYamahaCupRace2013ในปีนี้ทางบริษัทไทยยามาฮ่ามอเตอร์จ�ากัดได้จัดการแข่งขันให้นักแข่งได้ประลองฝีมือด้วยกันทั้งหมด5รุ่นคือรุ่นYamahaVeerubberAutomaticLocal(ท้องถิ่น),รุ่นYamahaMio115iOneMakeRace(อายุไม่เกิน25ปี)ซึ่งทั้ง2รุ่นนี้เปิดโอกาสให้กับนักแข่งท้องถิ่นในแต่ละภาคและมือใหม่ได้ประลองฝีมือกันโดยเฉพาะ,รุ่นYamahaTTX125cc.ที่ถือว่าเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดของรายการนี้และ2รุ่นที่เป็นไฮไลท์อย่างรุ่นYamahaAutomatic125DiASil(อายุไม่เกิน19ปี)กับรุ่นYamahaSpark135DiASilซึ่งอัดแน่นไปด้วยนักแข่งฝีมือระดับพระกาฬที่เข้ามาร่วมชิงชัยกันอย่างคับคั่ง

Page 26: FRM issue 8 (June 2013)

Lost and Found in Taiwan: Part II

“I’m parking bro, it’s gonna take a little time cause I’ve never been here before” นี่คือค�ำตอบจำกเพื่อน...เรำก็คิดในใจว่ำ “เฮ้ยนำยเป็นคนไต้หวันแท้ๆ แต่ไม่เคยมำสนำมบิน TIA ได้ไงฟะ!” หลังจำกรออยู่ประมำณ 5 นำที เพื่อนคนนี้ก็เดินขึ้นมำจำกบันไดเลื่อนชั้นล่ำงของสนำมบินพร้อมพำเรำลงไปชั้นใต้ดิน...แล้วเหตุกำรณ์ที่ไม่คำดฝันก็เกิดขึ้น...เมื่อเพื่อนเดินไปหำรถของตัวเองแล้วเดินกลับมำพร้อมท�ำหน้ำเหรอหรำแล้วพูดว่ำ “Sh*t, I think I lost my car.” (ชิ_หำยแล้ว เรำว่ำเรำท�ำรถหำยหว่ะเพื่อน) เอำหละ...ดูเหมือนกำรผจญภัยในไต้หวันจะเริ่มต้นขึ้นเร็วกว่ำที่คิด แต่ในที่สุดเพื่อนก็คิดได้ว่ำ “สงสัยลืมชั้นจอดรถ” เหตุผลก็เพรำะเค้ำไม่เคยขับรถยนต์มำที่สนำมบินเลยตั้งแต่เกิดมำ ส่วนมำกชำวไต้หวันจะใช้รถไฟควำมเร็วสูงแทนกำรขับรถยนต์ เนื่องจำกเป้ำหมำยที่เรำจะไปวันนี้คือไปเที่ยวเมือง “ไถจุ๊ง” หรือที่เรียก “ไทจุง” (Taichung) ระยะทำงจำกที่สนำมบินไปถึงเมืองไทจุงอยู่ที่ประมำณ 2 ชั่วโมง ระยะทำงรำวๆ 130 กม. กำรเดินทำงด้วยรถไฟฟ้ำควำมเร็วสูงจะใช้เวลำแค่ 30-40 นำทีเท่ำนั้น ส่วนค่ำโดยสำรจะอยู่ที่ประมำณ 600 บำท เมื่อเทียบกับกำรนั่งรถแท็กซี่...ซึ่งไม่มีแท็กซี่คันไหนอยำกไปส่งเรำที่ไทจุงหรอกครับ หรือถ้ำเค้ำจะไปส่งก็คงคิดเงินเรำประมำณ 3,000-5,000 บำท...ในที่สุดเรำก็ได้ขึ้นรถของเพื่อนซะที ป้ำยต่อไปไทจุงครับ!

Lost and Found in Taiwan: Part IIระยะเวลำ 3 ชั่วโมงบนสำยกำรบิน EVA Air มันช่ำงยำวนำนซะจริง ทั้งๆ ที่เรำ

วำงแผนว่ำจะหลับให้เต็มที่เพรำะกว่ำเครื่องบินจะไปถึงสนำมบิน Taoyuan International Airport ก็น่ำจะรำวๆ 2 ทุ่มเวลำไต้หวัน...แต่เรำเห็นไอ้ตี๋แถวข้ำงๆ เปิดดูหนังเพลินอยู่คนเดียวเรำจึงต้องลองดูบ้ำง.. แต่ท�ำใจหน่อยนะครับ เพรำะเค้ำมีแต่ภำคอังกฤษแล้วบรรยำยจีน หลังจำกนั่งๆ นอนๆ ดูหนัง ดูแอร์ ดื่มกำแฟ ทำนดินเนอร์สุดหรูแล้วดูแอร์ต่อ (แอร์ไต้หวันน่ำรักดีครับ) ไม่นำนเรำก็ได้ยินเสียงกัปตันประกำศผ่ำนล�ำโพงว่ำ “เรำก�ำลังจะลงจอดในอีก 10 นำที สภำพอำกำศที่ไต้หวันค่อนข้ำงเย็นและมีฝนตก”….ดูเหมือนควำม “ซวย” จะมำเยือนเรำซะแล้ว เพรำะเรำเตรียมไปแค่เสื้อแขนยำวบำงๆ ตัวเดียวเท่ำนั้น ทั้งๆ ที่ก่อนบินเรำก็เช็คแล้วแท้ๆ ว่ำอำกำศมันจะไม่เย็นมำก แต่จะมีฝนมำต้อนรับเรำแทน เรำคงจะต้องลงไปลุ้นกันข้ำงล่ำงว่ำอำกำศจะเป็นยังไง

Touch the ground…Welcome to Taiwan แตะพื้นดิน...ขอต้อนรับสู่ไต้หวัน

ทันทีที่ก้ำวลงจำกเครื่อง...เรำคิดในใจ “เอ๊ะ!! ท�ำไมที่นี่เค้ำเปิดแอร์เย็นจังแฮะ” เพรำะในตัวอำคำรเทอมินอลนั้นค่อนข้ำงเย็นจนผิดปรกติ เมื่อเรำเดินมำถึงหน้ำด่ำนตรวจคนเข้ำเมืองก็ต้องแปลกใจอีกครั้งกับปริมำณคนเข้ำเมืองที่น้อยมำก ทั้งๆ ที่นี่เป็นช่วงวันหยุดส�ำหรับท่องเที่ยวแท้ๆ...แต่ก็นับเป็นอีกหนึ่งโชคดีของเรำ ลักษณะอำคำรผู้โดยสำรของ TIA (Taoyuan International Airport) จะไม่ยำวเหยียดแบบสุวรรณภูมิ แต่จะแบ่งเป็นชั้นๆ เพื่อลดควำมยำวในกำรเดิน นั่นท�ำให้เรำสับสนนิดๆ ว่ำทำงไหนคือทำงที่เรำจะต้องไปต่อ โชคดีที่เรำมีเพื่อนชำวไต้หวันมำรอรับ ท�ำให้กำรเดินทำงครั้งนี้ง่ำยขึ้นอีกนิด...ว่ำแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมำคอลมำยเฟรนด์...“Hey bro, where are you?”

Meet friend and Taiwan tour guide พบเพื่อนที่กลายเป็นไกด์จ�าเป็น

zZZ….

in TaiwanThe Journey

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201326 27

Page 27: FRM issue 8 (June 2013)

Lost and Found in Taiwan: Part II

“I’m parking bro, it’s gonna take a little time cause I’ve never been here before” นี่คือค�ำตอบจำกเพื่อน...เรำก็คิดในใจว่ำ “เฮ้ยนำยเป็นคนไต้หวันแท้ๆ แต่ไม่เคยมำสนำมบิน TIA ได้ไงฟะ!” หลังจำกรออยู่ประมำณ 5 นำที เพื่อนคนนี้ก็เดินขึ้นมำจำกบันไดเลื่อนชั้นล่ำงของสนำมบินพร้อมพำเรำลงไปชั้นใต้ดิน...แล้วเหตุกำรณ์ที่ไม่คำดฝันก็เกิดขึ้น...เมื่อเพื่อนเดินไปหำรถของตัวเองแล้วเดินกลับมำพร้อมท�ำหน้ำเหรอหรำแล้วพูดว่ำ “Sh*t, I think I lost my car.” (ชิ_หำยแล้ว เรำว่ำเรำท�ำรถหำยหว่ะเพื่อน) เอำหละ...ดูเหมือนกำรผจญภัยในไต้หวันจะเริ่มต้นขึ้นเร็วกว่ำที่คิด แต่ในที่สุดเพื่อนก็คิดได้ว่ำ “สงสัยลืมชั้นจอดรถ” เหตุผลก็เพรำะเค้ำไม่เคยขับรถยนต์มำที่สนำมบินเลยตั้งแต่เกิดมำ ส่วนมำกชำวไต้หวันจะใช้รถไฟควำมเร็วสูงแทนกำรขับรถยนต์ เนื่องจำกเป้ำหมำยที่เรำจะไปวันนี้คือไปเที่ยวเมือง “ไถจุ๊ง” หรือที่เรียก “ไทจุง” (Taichung) ระยะทำงจำกที่สนำมบินไปถึงเมืองไทจุงอยู่ที่ประมำณ 2 ชั่วโมง ระยะทำงรำวๆ 130 กม. กำรเดินทำงด้วยรถไฟฟ้ำควำมเร็วสูงจะใช้เวลำแค่ 30-40 นำทีเท่ำนั้น ส่วนค่ำโดยสำรจะอยู่ที่ประมำณ 600 บำท เมื่อเทียบกับกำรนั่งรถแท็กซี่...ซึ่งไม่มีแท็กซี่คันไหนอยำกไปส่งเรำที่ไทจุงหรอกครับ หรือถ้ำเค้ำจะไปส่งก็คงคิดเงินเรำประมำณ 3,000-5,000 บำท...ในที่สุดเรำก็ได้ขึ้นรถของเพื่อนซะที ป้ำยต่อไปไทจุงครับ!

Lost and Found in Taiwan: Part IIระยะเวลำ 3 ชั่วโมงบนสำยกำรบิน EVA Air มันช่ำงยำวนำนซะจริง ทั้งๆ ที่เรำ

วำงแผนว่ำจะหลับให้เต็มที่เพรำะกว่ำเครื่องบินจะไปถึงสนำมบิน Taoyuan International Airport ก็น่ำจะรำวๆ 2 ทุ่มเวลำไต้หวัน...แต่เรำเห็นไอ้ตี๋แถวข้ำงๆ เปิดดูหนังเพลินอยู่คนเดียวเรำจึงต้องลองดูบ้ำง.. แต่ท�ำใจหน่อยนะครับ เพรำะเค้ำมีแต่ภำคอังกฤษแล้วบรรยำยจีน หลังจำกนั่งๆ นอนๆ ดูหนัง ดูแอร์ ดื่มกำแฟ ทำนดินเนอร์สุดหรูแล้วดูแอร์ต่อ (แอร์ไต้หวันน่ำรักดีครับ) ไม่นำนเรำก็ได้ยินเสียงกัปตันประกำศผ่ำนล�ำโพงว่ำ “เรำก�ำลังจะลงจอดในอีก 10 นำที สภำพอำกำศที่ไต้หวันค่อนข้ำงเย็นและมีฝนตก”….ดูเหมือนควำม “ซวย” จะมำเยือนเรำซะแล้ว เพรำะเรำเตรียมไปแค่เสื้อแขนยำวบำงๆ ตัวเดียวเท่ำนั้น ทั้งๆ ที่ก่อนบินเรำก็เช็คแล้วแท้ๆ ว่ำอำกำศมันจะไม่เย็นมำก แต่จะมีฝนมำต้อนรับเรำแทน เรำคงจะต้องลงไปลุ้นกันข้ำงล่ำงว่ำอำกำศจะเป็นยังไง

Touch the ground…Welcome to Taiwan แตะพื้นดิน...ขอต้อนรับสู่ไต้หวัน

ทันทีที่ก้ำวลงจำกเครื่อง...เรำคิดในใจ “เอ๊ะ!! ท�ำไมที่นี่เค้ำเปิดแอร์เย็นจังแฮะ” เพรำะในตัวอำคำรเทอมินอลนั้นค่อนข้ำงเย็นจนผิดปรกติ เมื่อเรำเดินมำถึงหน้ำด่ำนตรวจคนเข้ำเมืองก็ต้องแปลกใจอีกครั้งกับปริมำณคนเข้ำเมืองที่น้อยมำก ทั้งๆ ที่นี่เป็นช่วงวันหยุดส�ำหรับท่องเที่ยวแท้ๆ...แต่ก็นับเป็นอีกหนึ่งโชคดีของเรำ ลักษณะอำคำรผู้โดยสำรของ TIA (Taoyuan International Airport) จะไม่ยำวเหยียดแบบสุวรรณภูมิ แต่จะแบ่งเป็นชั้นๆ เพื่อลดควำมยำวในกำรเดิน นั่นท�ำให้เรำสับสนนิดๆ ว่ำทำงไหนคือทำงที่เรำจะต้องไปต่อ โชคดีที่เรำมีเพื่อนชำวไต้หวันมำรอรับ ท�ำให้กำรเดินทำงครั้งนี้ง่ำยขึ้นอีกนิด...ว่ำแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมำคอลมำยเฟรนด์...“Hey bro, where are you?”

Meet friend and Taiwan tour guide พบเพื่อนที่กลายเป็นไกด์จ�าเป็น

zZZ….

in TaiwanThe Journey

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201326 27

Page 28: FRM issue 8 (June 2013)

Time to get lost in Taiwan… ได้เวลาเดินงงๆ หลงๆ ในไต้หวันแล้ว

ตื่นเช้ำท่ำมกลำงอำกำศที่ยังคงเย็นเฉียบแบบที่คนเมืองร้อนอย่ำงเรำ “ไม่คุ้นเคย” นอกจำกอำกำศหนำวที่ออกมำต้อนรับเรำแล้วยังมีสำยฝนโปรยลงมำเติมเต็มควำมยำกล�ำบำกในกำรเที่ยวไต้หวันของเรำอีก ภำรกิจวันนี้คือกำรแวะเยี่ยมโรงงำนของเพื่อนก่อนจะนั่งรถชมวิวรอบๆ เมืองแล้วแวะหำอะไรเด็ดๆ ชิมในเมืองไทจุง...เนื่องจำกรำยละเอียดระหว่ำงวันนั้นค่อนข้ำงน่ำเบื่อ จะมีที่น่ำสนใจก็คือกำรเดินทำงไปหำเพื่อนอีกคนที่เมืองจงหัวพร้อมแวะสักกำระพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย จำกนั้นตัดมำที่มื้อเย็น...ใครที่มำเมืองไทจุงต้องไม่พลำดร้ำน Ding Wang (ดิ่งหวัง) หรืออีกชื่อคือ Tripod King เป็นร้ำน Hot Pot ที่ร้อนถึงใจ เพรำะน�้ำ

ซุปแบบเผ็ดร้อนนั้นแสบสะท้ำนทรวงจริงๆ เมนูที่ต้องลงเลยคือเมนูแบบ 2 น�้ำซุปในหม้อเดียว ให้ลองเลือกเป็นน�้ำซุปเผ็ดระดับกลำงและน�้ำซุปเปรี้ยว ไฮไลท์ของที่ร้ำนนี้นอกจำกพนักงำนจะโค้งค�ำนับจนคำงแทบชนกับเข่ำแล้ว...เค้ำยังมีบริกำรเติมเลือด, เต้ำหู้, ผักให้ไม่อั้น...ที่เรำลองสั่งคือเนื้อสไลด์และชุดผัก แต่ไม่ว่ำเรำจะตักเลือดและเต้ำหู้ไปกินมำกแค่ไหน พนักงำนจะคอยเดินมำเติมให้ตลอด....ซดแรกของน�้ำซุปเผ็ดร้อนจะท�ำให้คุณรู้สึกอุ่นขึ้นในทันทีส่วนน�้ำซุปเปรี้ยวจะช่วยปลอบใจจำกควำมเผ็ดได้เป็นอย่ำงดี ส�ำหรับใครที่ชอบทำนข้ำวเค้ำก็มีข้ำวไว้บริกำรฟรีครับ ไม่เพียงเท่ำนั้น...ถ้ำคุณกินเหลือ เค้ำจะบริกำรใส่ถุงแยกน�้ำซุปให้...ก่อนจะใส่ถุงสำมำรถบอกให้เค้ำเติม

เลือดและเต้ำหู้ให้จนพอใจแล้วค่อนแพ็คใส่ถุง...เมนูที่เรำสั่งอยู่ที่รำวๆ 200 กว่ำบำทส�ำหรับน�้ำซุป 2 แบบส่วนเนื้อและผักรำคำอยู่ที่รำวๆ 400 บำทครับ รวมๆ แล้วไม่แพงมำก (ถ้ำไม่สั่งเยอะ)...หลังจำกเข้ำที่พัก...เรำแอบแวะลงมำเดิน 7-11 เพื่อส�ำรวจของกินในไต้หวันดูครับ ที่น่ำสนใจที่สุดคงจะเป็น เบียร์ Suntory by 7-11 ที่เค้ำจัดโปรโมชั่นซื้อ 3 กระป๋องในรำคำ 85 บำท (บ้ำนเรำไม่เห็นมีโปรโมชั่นให้เบียร์บ้ำงเลยครับ)...เอำเป็นว่ำเรำขอส่งท้ำยวันนี้ด้วยภำพบรรยำกำศ (ที่แอบถ่ำย) ใน 7-11 พร้อมของกินหน้ำตำแปลกๆ ที่บ้ำนเรำไม่มี...คืนนี้ฝันดีครับ

ไทจุงกึ่งกลางของไต้หวัน

Taichung center of Taiwan

หลังจำกออกสนำมบินเรำก็มุ่งหน้ำขึ้นสู่ไฮเวย์ ทำงด่วนของไต้หวันค่อนข้ำงกว้ำงและมืดในช่วงกลำงคืน เมื่อถำมเหตุผลจำกเพื่อนว่ำท�ำไมถนนถึงมีไฟบ้ำงไม่มีบ้ำงก็ได้ค�ำตอบว่ำ “รัฐบำลที่นี่โกงกินกันใช้ได้เลยหละ” ท�ำให้งบพัฒนำประเทศหำยไปอยู่ในกระเป๋ำคนเลว (เค้ำว่ำงั้นนะ) แต่เรื่องบำงเรื่องรัฐบำลไต้หวันก็ให้ควำมส�ำคัญนะครับ อย่ำงเช่นกำรออกกฎให้ต้องทำสีโรงงำนให้เป็นลวดลำยน่ำรัก (ก็ไม่แน่ใจว่ำเพื่ออะไรเหมือนกันครับ) ระหว่ำงทำงเพื่อนที่แสนดีจอดให้เรำแวะซื้ออะไรรองท้องเพรำะยังต้องเดินทำงอีกกว่ำชั่วโมง...จุดแวะพักรถที่ไต้หวันจะต้องเบี่ยงออกไปด้ำนข้ำงแล้ววนไปตำมทำงจึงจะเจอที่พักรถครับ เรำไม่สำมำรถจอดแวะซื้ออะไรกินริมทำงได้เหมือนบ้ำนเรำ...ก่อนเปิดประตูลงจำกรถเพื่อเตือนเรำว่ำ “You better put on your jacket, it’s gonna be cool for me but d*mn cold for you.” จะบ้ำหรอ! มันจะไปหนำวอะไรนัก ถ้ำมันเย็นๆ สบำยส�ำหรับนำยมันก็ต้องสบำยส�ำหรับเรำ เรำมำจำกเมืองร้อนนะเฟ่ย! ที่เมืองไทยร้อนจะตำย...ถ้ำมันจะหนำวนักก็ขอสัมผัสให้เต็มที่ซักทีเถอะ!...ทันทีที่เปิดประตูก้ำวลงจำกรถ...มันหนำวจริงๆ ด้วยแหละครับ หนำวจนสั่นเลยทีเดียว! ในที่สุดเรำก็ต้องเชื่อเพื่อนด้วยกำรใส่เสื้อแจ็คเก็ตของเรำแล้วเดินฝ่ำควำมหนำวลงไปซื้อของกิน หลังจำกลองถำมเพื่อนว่ำท�ำไมมันหนำวได้ขนำดนี้ (13 องศำ) เพื่อนบอกว่ำ “นำยโชคดีนะที่มำช่วงนี้ เพรำะนี้มันหนำวโ_ตรๆ ลมหนำวพัดมำจำกจีนลงมำถึงที่นี่ มันไม่ค่อยเป็นแบบนี้บ่อยนักหรอก ธรรมดำที่นี่ก็ไม่เย็นมำกขนำดนี้”…นั่นไง! โชค 2 ชั้นส�ำหรับเรำที่ได้สัมผัสลมหนำวที่ไม่ค่อยมีมำบ่อยๆ

เวลำซื้อของที่ไต้หวันไม่ต้องแปลกใจนะครับว่ำซื้อของเยอะแยะท�ำไมไม่ให้ถุงพลำสติก...เพรำะเป็นนโยบำยของรัฐบำลครับเพื่อช่วยรักษำสภำพแวดล้อม แต่ใครอยำกได้ถุงก็บอกเค้ำได้ครับ เค้ำขำยใบละ 1-2 บำท แล้วแต่ร้ำนครับ เมื่อสัมผัสควำมหนำวจนเป็นที่พอใจก็ได้เวลำออกเดินทำงต่อ...ระหว่ำงทำงเรำได้ข้อมูลแปลกๆ เกี่ยวกับประเทศไต้หวันพอสมควร อย่ำงเช่นกำรคำดเข็มขัดนิรภัยนั้นเป็นกฎที่เคร่งครัดมำก ไม่ว่ำจะเป็นคนขับหรือผู้โดยสำรข้ำงหลังก็ต้องคำดเข็มขัด ไม่เช่นนั้นอำจถูกต�ำรวจจับและปรับได้มำกถึง 3,500-4,500 บำท และคุณอำจถูกปรับ 2,000-3,000 บำทถ้ำคุณเข้ำช่องจ่ำยเงินบนทำงด่วนแล้วท�ำเงินหลุดมือ หรือจ่ำยเงินในลักษณะกำรเขวี้ยงหรือปำเงิน ในบำงช่วงของทำงด่วนนั้นจะตัดผ่ำนภูเขำซึ่งท�ำให้กำรเดินทำงในเวลำกลำงคืนค่อนข้ำงอันตรำย ทั้งสำยฝนและสำยหมอกที่อำจโผล่ออกมำได้ทุกขณะท�ำให้ผู้ใช้เส้นทำงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ...

หลังจำกเหนื่อยกับกำรนั่งสบำยบนรถให้เพื่อนขับมำจนถึงเมืองไทจุงก็ได้เวลำพักผ่อนซะที ก่อนเข้ำโรงแรมที่พักเพื่อนอำสำพำชิม “มื้อดึก” ร้ำนขึ้นชื่อของที่นี่ แม้เรำจะฟังชื่อร้ำนไม่ถนัด แต่ถ้ำชื่อเรียกลักษณะร้ำนอำหำรโต้รุ่งแบบนี้เค้ำเรียกว่ำ “หย่งเหอ” ซึ่งแปลเป็นภำษำอังกฤษว่ำ Forever Peace หรือ “สุขสงบตลอดกำล” เมนูเด็ดของร้ำน (ที่ชำวไต้หวันนิยม) ได้แก่ โรตีไส้ไก่, โรตีไส้เนื้อ, โรตีไส้หมู, เต้ำหูผสมหัวไชเท้ำ...และที่เด็ดที่สุดคือ “น�้ำเต้ำหู้เย็น” จริงๆ แล้วมันก็คือน�้ำเต้ำหู้ธรรมดำนั่นแหละครับ แต่ที่นี่เค้ำมีเวอร์ชั่นเย็นเจี๊ยบให้ลองสัมผัสกันด้วยครับ...หมดเวลำกิน ได้เวลำนอนแล้วครับ ที่พักของเรำคืนนี้คือ Zhong Ke Hotel (ซองคี)…

Lost and Found in Taiwan: Part II The Journey

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201328 29

Page 29: FRM issue 8 (June 2013)

Time to get lost in Taiwan… ได้เวลาเดินงงๆ หลงๆ ในไต้หวันแล้ว

ตื่นเช้ำท่ำมกลำงอำกำศที่ยังคงเย็นเฉียบแบบที่คนเมืองร้อนอย่ำงเรำ “ไม่คุ้นเคย” นอกจำกอำกำศหนำวที่ออกมำต้อนรับเรำแล้วยังมีสำยฝนโปรยลงมำเติมเต็มควำมยำกล�ำบำกในกำรเที่ยวไต้หวันของเรำอีก ภำรกิจวันนี้คือกำรแวะเยี่ยมโรงงำนของเพื่อนก่อนจะนั่งรถชมวิวรอบๆ เมืองแล้วแวะหำอะไรเด็ดๆ ชิมในเมืองไทจุง...เนื่องจำกรำยละเอียดระหว่ำงวันนั้นค่อนข้ำงน่ำเบื่อ จะมีที่น่ำสนใจก็คือกำรเดินทำงไปหำเพื่อนอีกคนที่เมืองจงหัวพร้อมแวะสักกำระพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย จำกนั้นตัดมำที่มื้อเย็น...ใครที่มำเมืองไทจุงต้องไม่พลำดร้ำน Ding Wang (ดิ่งหวัง) หรืออีกชื่อคือ Tripod King เป็นร้ำน Hot Pot ที่ร้อนถึงใจ เพรำะน�้ำ

ซุปแบบเผ็ดร้อนนั้นแสบสะท้ำนทรวงจริงๆ เมนูที่ต้องลงเลยคือเมนูแบบ 2 น�้ำซุปในหม้อเดียว ให้ลองเลือกเป็นน�้ำซุปเผ็ดระดับกลำงและน�้ำซุปเปรี้ยว ไฮไลท์ของที่ร้ำนนี้นอกจำกพนักงำนจะโค้งค�ำนับจนคำงแทบชนกับเข่ำแล้ว...เค้ำยังมีบริกำรเติมเลือด, เต้ำหู้, ผักให้ไม่อั้น...ที่เรำลองสั่งคือเนื้อสไลด์และชุดผัก แต่ไม่ว่ำเรำจะตักเลือดและเต้ำหู้ไปกินมำกแค่ไหน พนักงำนจะคอยเดินมำเติมให้ตลอด....ซดแรกของน�้ำซุปเผ็ดร้อนจะท�ำให้คุณรู้สึกอุ่นขึ้นในทันทีส่วนน�้ำซุปเปรี้ยวจะช่วยปลอบใจจำกควำมเผ็ดได้เป็นอย่ำงดี ส�ำหรับใครที่ชอบทำนข้ำวเค้ำก็มีข้ำวไว้บริกำรฟรีครับ ไม่เพียงเท่ำนั้น...ถ้ำคุณกินเหลือ เค้ำจะบริกำรใส่ถุงแยกน�้ำซุปให้...ก่อนจะใส่ถุงสำมำรถบอกให้เค้ำเติม

เลือดและเต้ำหู้ให้จนพอใจแล้วค่อนแพ็คใส่ถุง...เมนูที่เรำสั่งอยู่ที่รำวๆ 200 กว่ำบำทส�ำหรับน�้ำซุป 2 แบบส่วนเนื้อและผักรำคำอยู่ที่รำวๆ 400 บำทครับ รวมๆ แล้วไม่แพงมำก (ถ้ำไม่สั่งเยอะ)...หลังจำกเข้ำที่พัก...เรำแอบแวะลงมำเดิน 7-11 เพื่อส�ำรวจของกินในไต้หวันดูครับ ที่น่ำสนใจที่สุดคงจะเป็น เบียร์ Suntory by 7-11 ที่เค้ำจัดโปรโมชั่นซื้อ 3 กระป๋องในรำคำ 85 บำท (บ้ำนเรำไม่เห็นมีโปรโมชั่นให้เบียร์บ้ำงเลยครับ)...เอำเป็นว่ำเรำขอส่งท้ำยวันนี้ด้วยภำพบรรยำกำศ (ที่แอบถ่ำย) ใน 7-11 พร้อมของกินหน้ำตำแปลกๆ ที่บ้ำนเรำไม่มี...คืนนี้ฝันดีครับ

ไทจุงกึ่งกลางของไต้หวัน

Taichung center of Taiwan

หลังจำกออกสนำมบินเรำก็มุ่งหน้ำขึ้นสู่ไฮเวย์ ทำงด่วนของไต้หวันค่อนข้ำงกว้ำงและมืดในช่วงกลำงคืน เมื่อถำมเหตุผลจำกเพื่อนว่ำท�ำไมถนนถึงมีไฟบ้ำงไม่มีบ้ำงก็ได้ค�ำตอบว่ำ “รัฐบำลที่นี่โกงกินกันใช้ได้เลยหละ” ท�ำให้งบพัฒนำประเทศหำยไปอยู่ในกระเป๋ำคนเลว (เค้ำว่ำงั้นนะ) แต่เรื่องบำงเรื่องรัฐบำลไต้หวันก็ให้ควำมส�ำคัญนะครับ อย่ำงเช่นกำรออกกฎให้ต้องทำสีโรงงำนให้เป็นลวดลำยน่ำรัก (ก็ไม่แน่ใจว่ำเพื่ออะไรเหมือนกันครับ) ระหว่ำงทำงเพื่อนที่แสนดีจอดให้เรำแวะซื้ออะไรรองท้องเพรำะยังต้องเดินทำงอีกกว่ำชั่วโมง...จุดแวะพักรถที่ไต้หวันจะต้องเบี่ยงออกไปด้ำนข้ำงแล้ววนไปตำมทำงจึงจะเจอที่พักรถครับ เรำไม่สำมำรถจอดแวะซื้ออะไรกินริมทำงได้เหมือนบ้ำนเรำ...ก่อนเปิดประตูลงจำกรถเพื่อเตือนเรำว่ำ “You better put on your jacket, it’s gonna be cool for me but d*mn cold for you.” จะบ้ำหรอ! มันจะไปหนำวอะไรนัก ถ้ำมันเย็นๆ สบำยส�ำหรับนำยมันก็ต้องสบำยส�ำหรับเรำ เรำมำจำกเมืองร้อนนะเฟ่ย! ที่เมืองไทยร้อนจะตำย...ถ้ำมันจะหนำวนักก็ขอสัมผัสให้เต็มที่ซักทีเถอะ!...ทันทีที่เปิดประตูก้ำวลงจำกรถ...มันหนำวจริงๆ ด้วยแหละครับ หนำวจนสั่นเลยทีเดียว! ในที่สุดเรำก็ต้องเชื่อเพื่อนด้วยกำรใส่เสื้อแจ็คเก็ตของเรำแล้วเดินฝ่ำควำมหนำวลงไปซื้อของกิน หลังจำกลองถำมเพื่อนว่ำท�ำไมมันหนำวได้ขนำดนี้ (13 องศำ) เพื่อนบอกว่ำ “นำยโชคดีนะที่มำช่วงนี้ เพรำะนี้มันหนำวโ_ตรๆ ลมหนำวพัดมำจำกจีนลงมำถึงที่นี่ มันไม่ค่อยเป็นแบบนี้บ่อยนักหรอก ธรรมดำที่นี่ก็ไม่เย็นมำกขนำดนี้”…นั่นไง! โชค 2 ชั้นส�ำหรับเรำที่ได้สัมผัสลมหนำวที่ไม่ค่อยมีมำบ่อยๆ

เวลำซื้อของที่ไต้หวันไม่ต้องแปลกใจนะครับว่ำซื้อของเยอะแยะท�ำไมไม่ให้ถุงพลำสติก...เพรำะเป็นนโยบำยของรัฐบำลครับเพื่อช่วยรักษำสภำพแวดล้อม แต่ใครอยำกได้ถุงก็บอกเค้ำได้ครับ เค้ำขำยใบละ 1-2 บำท แล้วแต่ร้ำนครับ เมื่อสัมผัสควำมหนำวจนเป็นที่พอใจก็ได้เวลำออกเดินทำงต่อ...ระหว่ำงทำงเรำได้ข้อมูลแปลกๆ เกี่ยวกับประเทศไต้หวันพอสมควร อย่ำงเช่นกำรคำดเข็มขัดนิรภัยนั้นเป็นกฎที่เคร่งครัดมำก ไม่ว่ำจะเป็นคนขับหรือผู้โดยสำรข้ำงหลังก็ต้องคำดเข็มขัด ไม่เช่นนั้นอำจถูกต�ำรวจจับและปรับได้มำกถึง 3,500-4,500 บำท และคุณอำจถูกปรับ 2,000-3,000 บำทถ้ำคุณเข้ำช่องจ่ำยเงินบนทำงด่วนแล้วท�ำเงินหลุดมือ หรือจ่ำยเงินในลักษณะกำรเขวี้ยงหรือปำเงิน ในบำงช่วงของทำงด่วนนั้นจะตัดผ่ำนภูเขำซึ่งท�ำให้กำรเดินทำงในเวลำกลำงคืนค่อนข้ำงอันตรำย ทั้งสำยฝนและสำยหมอกที่อำจโผล่ออกมำได้ทุกขณะท�ำให้ผู้ใช้เส้นทำงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ...

หลังจำกเหนื่อยกับกำรนั่งสบำยบนรถให้เพื่อนขับมำจนถึงเมืองไทจุงก็ได้เวลำพักผ่อนซะที ก่อนเข้ำโรงแรมที่พักเพื่อนอำสำพำชิม “มื้อดึก” ร้ำนขึ้นชื่อของที่นี่ แม้เรำจะฟังชื่อร้ำนไม่ถนัด แต่ถ้ำชื่อเรียกลักษณะร้ำนอำหำรโต้รุ่งแบบนี้เค้ำเรียกว่ำ “หย่งเหอ” ซึ่งแปลเป็นภำษำอังกฤษว่ำ Forever Peace หรือ “สุขสงบตลอดกำล” เมนูเด็ดของร้ำน (ที่ชำวไต้หวันนิยม) ได้แก่ โรตีไส้ไก่, โรตีไส้เนื้อ, โรตีไส้หมู, เต้ำหูผสมหัวไชเท้ำ...และที่เด็ดที่สุดคือ “น�้ำเต้ำหู้เย็น” จริงๆ แล้วมันก็คือน�้ำเต้ำหู้ธรรมดำนั่นแหละครับ แต่ที่นี่เค้ำมีเวอร์ชั่นเย็นเจี๊ยบให้ลองสัมผัสกันด้วยครับ...หมดเวลำกิน ได้เวลำนอนแล้วครับ ที่พักของเรำคืนนี้คือ Zhong Ke Hotel (ซองคี)…

Lost and Found in Taiwan: Part II The Journey

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201328 29

Page 30: FRM issue 8 (June 2013)

เริ่มรับบัตรเข้ำงำนจำกเจ้ำหน้ำที่ด้วยกำรยื่นนำมบัตรและเอกสำรที่ปริ้นท์มำจำกบ้ำน (เรำลงทะเบียนออนไลน์มำก่อนแล้วครับ) จำกนั้นเมื่อได้บัตรคล้องคอก็สำมำรถเดินเข้ำ-ออกงำนได้อย่ำงสบำย ด้ำนหน้ำในส่วนของทำงเข้ำจะแบ่งโซนงำนแสดงออกเป็น 2 โซนใหญ่ นั่นก็คือ โซนอะไหล่, ชิ้นส่วนและเครื่องมือต่ำงๆ และส่วนต่อมำคือโซนแสดงรถและอะไหล่แต่งรถรวมถึงเครื่องแต่งกำยต่ำงๆ ส�ำหรับงำนไต้หวันมอเตอร์โชว์เค้ำจะเน้นกันที่ “พลังงำนทำงเลือก” ส่วนใหญ่จะเป็นมอเตอร์ไซค์และจักรยำนไฟฟ้ำรวมถึงรถยนต์ที่ใช้พลังงำนไฟฟ้ำแทนที่กำรใช้น�้ำมัน รัฐบำลของไต้หวันก�ำลังพยำยำมผลักดันให้ตลำดและผู้ผลิตยำนพำหนะพลังงำนทำงเลือกเป็นที่นิยมมำกขึ้นในอนำคต เนื่องจำกรถสกู๊ตเตอร์เป็นที่นิยมมำกในไต้หวันท�ำให้อะไหล่และชิ้นส่วนแต่งทั้งหลำยจะเน้นส�ำหรับรถตระกูลออโตเมติกสกู๊ตเตอร์ ไซส์เล็กๆ ล้อเล็กๆ แต่เครื่องยนต์และชิ้นส่วนเสริมพลังนั้นไม่เล็กเลยทีเดียว ไม่ว่ำจะเป็นท่อแต่ง, ชำมแต่ง, เม็ดแต่ง, สำยพำน, เสื้อสูบ-ลูกสูบ-ชุดอัพเกรดเครื่องยนต์ไปจนถึงระบบหัวฉีด เรียกว่ำงำนนี้ครบครันส�ำหรับวงกำรรถมอเตอร์ไซค์จริงๆ แต่ข้อเสียของงำนนี้คือเค้ำไม่ให้ผู้ชมทั่วไปเข้ำ แต่จะให้นักธุรกิจและเจ้ำของกิจกำรเข้ำชมเท่ำนั้น นอกจำกรถแล้วอีกส่วนที่หลำยๆ คนให้ควำมสนใจนั่นก็คือ “พริตตี้” แต่เรำว่ำพริตตี้งำนมอเตอร์โชว์บ้ำนเรำสวยกว่ำเยอะเลยครับ....

Taipie Motor Show 2013

And another time to be found… และก็มาถึงเวลาค้นพบ

จำกเมืองไทจุงมุ่งหน้ำสู่เมืองไทเปด้วยกำรโดยสำรรถเพื่อนอีกเช่นกัน เหตุผลก็เพรำะเพื่อนของเรำจะพำเรำทัวร์ไทเปโดยเฉพำะกำรเดินเที่ยวชมงำน Taipei Motor Show 2013…อ้อลืมบอกไป เพื่อนที่ว่ำคนนี้เค้ำคือ Henry Chen จำก RacingBros ครับ เนื่องจำกเค้ำเปิดบูธในงำนมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ท�ำให้เรำมีโอกำสได้เข้ำชมงำนไปด้วยในตัว จำกเมืองไทจุงสู่เมืองไทเปใช้เวลำขับรถบนทำงด่วนรำวๆ 1 ชั่วโมง 30 นำที (ถ้ำรถไม่ติด) ตลอดทำงเรำเจอกับฝนและอำกำศหนำวที่ดูที่ท่ำว่ำจะไม่หยุดง่ำยๆ ไม่นำนเรำก็เดินทำงมำถึง Taipei International Convention Center ซึ่งลักษณะก็คล้ำยๆ กับเมืองทองธำนีบ้ำนเรำ (แต่เมืองทองธำนีใหญ่กว่ำเยอะครับ) มำถึงงำนมอเตอร์โชว์ของไต้หวันทั้งทีก็ต้องเดินชมให้ทั่วครับ

หลังจำกหมดเวลำไปกับกำรเดินเที่ยวงำนมอเตอร์โชว์กว่ำครึ่งวัน ในที่สุดก็ได้เวลำหำอะไรกินซะที เรำลองเดินไปดูตึก Taipei 101 ตึกที่สูงที่สุดในไต้หวันและสูงที่สุดในเอเชียและเคยสูงที่สุดในโลกตอนปี 2004 ก่อนจะโดนตึก Burj Khalifar ของประเทศดูไบเอำชนะไปได้ ในตึก 101 นี้มีของกินและห้ำงสรรพสินค้ำอยู่ภำยในท�ำให้มีนักท่องเที่ยวมำเดินเที่ยวกันเยอะพอสมควร...ร้ำนอำหำรจะอยู่ชั้นล่ำงสุด จำกนั้นไล่ขึ้นมำก็จะเป็นห้ำงให้เดินช็อปปิ้ง...เมื่อขึ้นไปด้ำนบนสุดสำมำรถชมวิวได้จำกชั้น 88-91 แต่ต้องเสียเงินและรอคิวนำนพอสมควรเลยครับ...ทริปไต้หวันครั้งนี้แม้จะเป็นทริปไม่ยำวนักแต่เรำก็เก็บภำพมำฝำกแฟนๆ FRM ให้ได้ชมกันอย่ำงจุใจ...รำยละเอียดกำรท่องเที่ยวอำจมีไม่มำกเพรำะเรำใช้เวลำส่วนใหญ่บนรถของเพื่อนและให้เพื่อนพำเที่ยวซะมำกกว่ำ ส�ำหรับใครที่สนใจอยำกจะมำเที่ยวชมงำนไต้หวันมอเตอร์โชว์ในปีหน้ำสำมำรถลงทะเบียนล่วงหน้ำผ่ำนระบบออนไลน์ของเว็ปไซต์ www.motorcycletaiwan.com.tw ส่วนใครที่เป็นห่วงเรื่องกำรเดินทำง ทันทีที่ลงจำกเครื่องบินที่สนำมบินเถำหยวน จะมีรถบัสส�ำหรับนั่งไปยังสถำนีรถไฟใต้ดิน จำกนั้นเมื่อถึงสถำนีรถไฟใต้ดิน คุณก็สำมำรถไปไหนต่อไหนได้ทั่วไต้หวันเพรำะแต่ละสถำนีจะมีตัวหนังสือภำษำอังกฤษบอกอย่ำงชัดเจนครับ คนที่นี่บำงคนก็ใช้ภำษำอังกฤษได้บำงคนก็ได้นิดหน่อย...แต่ถ้ำคุณใช้สมำร์ทโฟนของคุณให้เกิดประโยชน์...คุณก็จะไม่มีวันหลงทำงในไต้หวันอย่ำงแน่นอนครับ...The Journey ตอนหน้ำเรำจะไปที่ไหนยังไง...คอยติดตำมชมกันครับ

Lost and Found in Taiwan: Part IIThe Journey

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201330 31

Page 31: FRM issue 8 (June 2013)

เริ่มรับบัตรเข้ำงำนจำกเจ้ำหน้ำที่ด้วยกำรยื่นนำมบัตรและเอกสำรที่ปริ้นท์มำจำกบ้ำน (เรำลงทะเบียนออนไลน์มำก่อนแล้วครับ) จำกนั้นเมื่อได้บัตรคล้องคอก็สำมำรถเดินเข้ำ-ออกงำนได้อย่ำงสบำย ด้ำนหน้ำในส่วนของทำงเข้ำจะแบ่งโซนงำนแสดงออกเป็น 2 โซนใหญ่ นั่นก็คือ โซนอะไหล่, ชิ้นส่วนและเครื่องมือต่ำงๆ และส่วนต่อมำคือโซนแสดงรถและอะไหล่แต่งรถรวมถึงเครื่องแต่งกำยต่ำงๆ ส�ำหรับงำนไต้หวันมอเตอร์โชว์เค้ำจะเน้นกันที่ “พลังงำนทำงเลือก” ส่วนใหญ่จะเป็นมอเตอร์ไซค์และจักรยำนไฟฟ้ำรวมถึงรถยนต์ที่ใช้พลังงำนไฟฟ้ำแทนที่กำรใช้น�้ำมัน รัฐบำลของไต้หวันก�ำลังพยำยำมผลักดันให้ตลำดและผู้ผลิตยำนพำหนะพลังงำนทำงเลือกเป็นที่นิยมมำกขึ้นในอนำคต เนื่องจำกรถสกู๊ตเตอร์เป็นที่นิยมมำกในไต้หวันท�ำให้อะไหล่และชิ้นส่วนแต่งทั้งหลำยจะเน้นส�ำหรับรถตระกูลออโตเมติกสกู๊ตเตอร์ ไซส์เล็กๆ ล้อเล็กๆ แต่เครื่องยนต์และชิ้นส่วนเสริมพลังนั้นไม่เล็กเลยทีเดียว ไม่ว่ำจะเป็นท่อแต่ง, ชำมแต่ง, เม็ดแต่ง, สำยพำน, เสื้อสูบ-ลูกสูบ-ชุดอัพเกรดเครื่องยนต์ไปจนถึงระบบหัวฉีด เรียกว่ำงำนนี้ครบครันส�ำหรับวงกำรรถมอเตอร์ไซค์จริงๆ แต่ข้อเสียของงำนนี้คือเค้ำไม่ให้ผู้ชมทั่วไปเข้ำ แต่จะให้นักธุรกิจและเจ้ำของกิจกำรเข้ำชมเท่ำนั้น นอกจำกรถแล้วอีกส่วนที่หลำยๆ คนให้ควำมสนใจนั่นก็คือ “พริตตี้” แต่เรำว่ำพริตตี้งำนมอเตอร์โชว์บ้ำนเรำสวยกว่ำเยอะเลยครับ....

Taipie Motor Show 2013

And another time to be found… และก็มาถึงเวลาค้นพบ

จำกเมืองไทจุงมุ่งหน้ำสู่เมืองไทเปด้วยกำรโดยสำรรถเพื่อนอีกเช่นกัน เหตุผลก็เพรำะเพื่อนของเรำจะพำเรำทัวร์ไทเปโดยเฉพำะกำรเดินเที่ยวชมงำน Taipei Motor Show 2013…อ้อลืมบอกไป เพื่อนที่ว่ำคนนี้เค้ำคือ Henry Chen จำก RacingBros ครับ เนื่องจำกเค้ำเปิดบูธในงำนมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ท�ำให้เรำมีโอกำสได้เข้ำชมงำนไปด้วยในตัว จำกเมืองไทจุงสู่เมืองไทเปใช้เวลำขับรถบนทำงด่วนรำวๆ 1 ชั่วโมง 30 นำที (ถ้ำรถไม่ติด) ตลอดทำงเรำเจอกับฝนและอำกำศหนำวที่ดูที่ท่ำว่ำจะไม่หยุดง่ำยๆ ไม่นำนเรำก็เดินทำงมำถึง Taipei International Convention Center ซึ่งลักษณะก็คล้ำยๆ กับเมืองทองธำนีบ้ำนเรำ (แต่เมืองทองธำนีใหญ่กว่ำเยอะครับ) มำถึงงำนมอเตอร์โชว์ของไต้หวันทั้งทีก็ต้องเดินชมให้ทั่วครับ

หลังจำกหมดเวลำไปกับกำรเดินเที่ยวงำนมอเตอร์โชว์กว่ำครึ่งวัน ในที่สุดก็ได้เวลำหำอะไรกินซะที เรำลองเดินไปดูตึก Taipei 101 ตึกที่สูงที่สุดในไต้หวันและสูงที่สุดในเอเชียและเคยสูงที่สุดในโลกตอนปี 2004 ก่อนจะโดนตึก Burj Khalifar ของประเทศดูไบเอำชนะไปได้ ในตึก 101 นี้มีของกินและห้ำงสรรพสินค้ำอยู่ภำยในท�ำให้มีนักท่องเที่ยวมำเดินเที่ยวกันเยอะพอสมควร...ร้ำนอำหำรจะอยู่ชั้นล่ำงสุด จำกนั้นไล่ขึ้นมำก็จะเป็นห้ำงให้เดินช็อปปิ้ง...เมื่อขึ้นไปด้ำนบนสุดสำมำรถชมวิวได้จำกชั้น 88-91 แต่ต้องเสียเงินและรอคิวนำนพอสมควรเลยครับ...ทริปไต้หวันครั้งนี้แม้จะเป็นทริปไม่ยำวนักแต่เรำก็เก็บภำพมำฝำกแฟนๆ FRM ให้ได้ชมกันอย่ำงจุใจ...รำยละเอียดกำรท่องเที่ยวอำจมีไม่มำกเพรำะเรำใช้เวลำส่วนใหญ่บนรถของเพื่อนและให้เพื่อนพำเที่ยวซะมำกกว่ำ ส�ำหรับใครที่สนใจอยำกจะมำเที่ยวชมงำนไต้หวันมอเตอร์โชว์ในปีหน้ำสำมำรถลงทะเบียนล่วงหน้ำผ่ำนระบบออนไลน์ของเว็ปไซต์ www.motorcycletaiwan.com.tw ส่วนใครที่เป็นห่วงเรื่องกำรเดินทำง ทันทีที่ลงจำกเครื่องบินที่สนำมบินเถำหยวน จะมีรถบัสส�ำหรับนั่งไปยังสถำนีรถไฟใต้ดิน จำกนั้นเมื่อถึงสถำนีรถไฟใต้ดิน คุณก็สำมำรถไปไหนต่อไหนได้ทั่วไต้หวันเพรำะแต่ละสถำนีจะมีตัวหนังสือภำษำอังกฤษบอกอย่ำงชัดเจนครับ คนที่นี่บำงคนก็ใช้ภำษำอังกฤษได้บำงคนก็ได้นิดหน่อย...แต่ถ้ำคุณใช้สมำร์ทโฟนของคุณให้เกิดประโยชน์...คุณก็จะไม่มีวันหลงทำงในไต้หวันอย่ำงแน่นอนครับ...The Journey ตอนหน้ำเรำจะไปที่ไหนยังไง...คอยติดตำมชมกันครับ

Lost and Found in Taiwan: Part IIThe Journey

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201330 31

Page 32: FRM issue 8 (June 2013)

เรื่อง : NICKY PHภาพ : VEDETT® ///// MOTOTOURS & IMAGINATIVE ENTERPRISES AR UND

The World

From Mulhouseto EpinalRiding along the valleysof the old French Road N66จากสวสิมุง่สู ่เส้นทางสาย เอน็ 66 ประเทศฝรัง่เศส

ตอนเช้าหลังจากทานอาหารเป็นที่เรียบร้อยก็เตรียมออกเดินทาง ในอากาศที่ก�าลังเหมาะไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป มุ่งหน้าไปสู่ประเทศฝรั่งเศส ดินแดนแห่งขนมปังยาวที่เรียกว่า บักเก็ต ดินแดนที่มักจะมีอะไรเป็นที่แข่งขันประชันกับอิตาลีเสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นไวน์ อาหาร และก็แฟชั่น เครื่องหอมและประทินผิวต่างๆ เมื่อพูดถึงฝรั่งเศส ส�าหรับสาวๆ มักจะร้องอ๋อ เพราะจะนึกไปยังกระเป๋าที่ขึ้นชื่อคือ หลุยส์ วิตตอง ที่ราคาแพงลิบลิ่ว แต่ท�าไมไม่เคยตกยุคเสียที น�ามาเกริ่นให้ หนุ่มๆ ได้เข้าใจว่าท�าไมแฟนสาว ถึงจะต้องมาแบกสะพาน กระเป๋าที่ แพงขนาดนี่เพราะอะไร ท�าไม

เรามาดูประวัติประเทศฝรั่งเศสกันคร่าวๆ เพราะชาวฝรั่งเศสมีบทบาทไม่น้อยในราชอาณาจักรไทย จนท�าให้เราเรียกชาวต่างชาติ กันติดปากว่า ฝรั่งๆ เนื่องจากยุคนั้น ชาวฝรั่งเศสมีบทบาทการเข้ามาในประเทศสยามจนตอนนี้ ทุกๆ ชาติ ถูกเรียกติดปากกันว่า ฝรั่งๆ แต่เพื่อนๆ หารู้ไม่ว่า จริงๆ แล้ว ชาวต่างชาติมักจะไม่ค่อยชอบใจนักเมื่อถูกเรียกกัน ว่า ฝรั่ง ฝรั่ง เพราะ เขาจะรู้สึกเหมือน แปลกแยกแบ่งชาติพันธุ์ เหมือนเราที่ถูกเหยียดผิว หรือที่โดนเรียกว่า เจ็กจีน หรือ พวกลาว เราจะรู้สึกไม่ค่อยดี โดยเฉพาะเมื่อเราเป็นคนต่างด้าวเข้ามาให้ประเทศยุโรป ถ้าโดนพวกผิวขาวมาเรียก เช่น ไปเอาอาหารให้เจ๊คนจีน หรือคนผมด�าตัวเหลืองที่โต๊ะโน่น เราก็จะรู้สึกไม่ดีทันทีว่าเราก็คน เหมือนกัน ท�าไมไม่บอกว่าเอาอาหารไปให้พี่ผู้หญิงคนนั้นหน่อย เป็นต้น แต่มันจะไม่ค่อยได้เจอเท่าไหร่ เพราะหน้าเรากลมกลืนไปกับหลากหลายชาติ แต่เราก็ไม่ชอบนักถ้าคนมามอง หรือมาเรียกในสิ่งที่ท�าให้เราแปลกแยกออกไป

มากล่าวกันต่อเรื่อง ประเทศฝรั่งเศส ค�าว่า ฝรั่งเศส (France) มาจากค�าในภาษาละตินว่า Francia ซึ่งแปลตามตรงว่า ดินแดนของชาวแฟรงก์ (Frankland) และมีหลายทฤษฎีที่สันนิษฐานถึงที่มาของค�าว่า แฟรงก์ (Franks) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือค�าในภาษาโปรโต-เยอรมันว่า Frankon ซึ่งแปลว่า หลาว หอก หรือทวนซึ่งเป็นอาวุธของพวกแฟรงก์ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ฟรานซิสกา (Francisca)

อีกทฤษฎีหนึ่งตามหลักนิรุกติศาสตร์คือในภาษาเยอรมันโบราณ ค�าว่า แฟรงก์ แปลว่าอิสระ หรือดี ที่บางคนจะเรียกว่าเป็นคน แฟรงก์ หรือ คนไนส์ เป็นต้น ซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็นทาสโดยค�าดังกล่าวยังคงปรากฏในภาษาฝรั่งเศสปัจจุบันในรูป ฟรังก์ (Franc) ซึ่งเป็นสกุลเงินของประเทศฝรั่งเศสจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสกุลเงินยูโรในปี พ.ศ. 2545

ในปัจจุบันประเทศเยอรมนียังเรียกประเทศฝรั่งเศสว่า Frankreich ซึ่งแปลว่า อาณาจักรของชาวแฟรงก์ อีกด้วย นอกจากนั้นประเทศฝรั่งเศสมีดินแดนติดกับหลากหลายประเทศ เช่น พรมแดนติดกับประเทศเบลเยียม ลักเซมเบิร์ก เยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี โมนาโก อันดอร์รา และสเปน

และเนื่องจากประเทศฝรั่งเศสมีดินแดนโพ้นทะเลไว้ในครอบครอง ท�าให้มีอาณาเขตติดกับประเทศบราซิล

และซูรินาเม (ติดกับเฟรนช์เกียนา) และเนเธอร์แลนด์แอนทิลลิส (ติดกับแซ็ง-มาร์แต็ง) อีกด้วย นอกจากนั้นประเทศฝรั่งเศสยังเชื่อมกับสหราชอาณาจักรทางอุโมงค์ช่องแคบอังกฤษอีกด้วย อาจ

จะเป็นเพราะอย่างนี้ เลยท�าให้ชาวฝรั่งเศสชอบการล่าอาณานิคมก็เป็นไปได้ จะเห็นได้

ว่า ดินแดนเชื่อมต่อกับหลากหลายประเทศแล้วนั้น แน่นอนเลยถนนหนทางนั้นสวยงามไม่แพ้กันกับทาง

ประเทศอื่นๆ ที่ผ่านมา โดยเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ที่เป็นพื้นที่ราบโล่ง ภูเขาสลับกันไปมา สวยสุดลูกหูลูกตาเลย

ทีเดียว

ากคราวที่แล้วผ่าน สวิสเซอร์แลนด์ ดินแดนฝั่งยุโรปที่ส�าหรับนักขับขี่จะลืมไม่ลง แล้วเราก็ยังไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เพราะจุดหมาย

ปลายทางเราข้ามไปอีกทวีปหนึ่ง ถ้ามีเวลาจริงๆ แล้วควรพักแต่ละที่ให้มากกว่า สัก 2-3 วัน เพราะที่ฝั่งยุโรป แต่ละประเทศมีอะไรน่าสนใจและน่าค้นหามากมาย แต่เนื่องจากเวลาที่มีไม่มากนัก เราก็ต้องใช้เวลาในแต่ละจังหวะให้เหมาะสม กับทุกๆ อย่าง พักที่ซุค ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ได้ 3-4 คืน เนื่องจากพักรอเวลาฝนหยุดและเคลียร์งานก่อนที่จะได้เดินทางต่อไป

เมื่อพูดถึงแฟชั่นกระเป๋าหนัง คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ หลุยส์ วิตตอง หรือที่บ้านเราเรียกกันสั้น ๆ ว่า กระเป๋าหลุยส์ หรือ LV ‘หลุยส์ วิตตอง’ (Louis Vuitton) เป็นหนึ่งในผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องหนังอันดับต้นๆ ของโลก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จ�าพวกกระเป๋าที่โด่งดังมาจากฝรั่งเศส เนื่องจากความทนทานคุ้มราคานั่นเอง ด้วยหีบส่วนใหญ่ที่มีน�้าหนักมากมักช�ารุดเสียระหว่างเดินทาง หากแต่หีบนามนี้กลับมีความทนทานมากกว่า โดยเฉพาะตามขอบมุมที่มักถูกกระทบกระแทกจนช�้าชอก ได้รับการป้องกันด้วยการหุ้มมุมด้วยโลหะและตอกหมุดเย็บ

ตะเข็บเป็นอย่างดี โครงข้างในก็เบาและมั่นคงมีการใช้ซับในที่น่าดู ไม่เหม็นกลิ่นหนังที่อับชื้นและหากมีการช�ารุดก็ส่งซ่อมได้โดยง่าย ยิ่งท�าให้สินค้าชื่อนี้เป็นที่นิยมเป็นทวีคูณ นั่นแหละเป็นที่มาคร่าวๆ เพื่อให้ทราบกันว่าท�ามาย ท�าไม ถึงมีชื่อ โด่งดังได้มากมายขนาดนั้น

>> Ar

ou

nd

Th

e Wo

rld

....

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201332 33

Page 33: FRM issue 8 (June 2013)

เรื่อง : NICKY PHภาพ : VEDETT® ///// MOTOTOURS & IMAGINATIVE ENTERPRISES AR UND

The World

From Mulhouseto EpinalRiding along the valleysof the old French Road N66จากสวสิมุง่สู ่เส้นทางสาย เอน็ 66 ประเทศฝรัง่เศส

ตอนเช้าหลังจากทานอาหารเป็นที่เรียบร้อยก็เตรียมออกเดินทาง ในอากาศที่ก�าลังเหมาะไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป มุ่งหน้าไปสู่ประเทศฝรั่งเศส ดินแดนแห่งขนมปังยาวที่เรียกว่า บักเก็ต ดินแดนที่มักจะมีอะไรเป็นที่แข่งขันประชันกับอิตาลีเสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นไวน์ อาหาร และก็แฟชั่น เครื่องหอมและประทินผิวต่างๆ เมื่อพูดถึงฝรั่งเศส ส�าหรับสาวๆ มักจะร้องอ๋อ เพราะจะนึกไปยังกระเป๋าที่ขึ้นชื่อคือ หลุยส์ วิตตอง ที่ราคาแพงลิบลิ่ว แต่ท�าไมไม่เคยตกยุคเสียที น�ามาเกริ่นให้ หนุ่มๆ ได้เข้าใจว่าท�าไมแฟนสาว ถึงจะต้องมาแบกสะพาน กระเป๋าที่ แพงขนาดนี่เพราะอะไร ท�าไม

เรามาดูประวัติประเทศฝรั่งเศสกันคร่าวๆ เพราะชาวฝรั่งเศสมีบทบาทไม่น้อยในราชอาณาจักรไทย จนท�าให้เราเรียกชาวต่างชาติ กันติดปากว่า ฝรั่งๆ เนื่องจากยุคนั้น ชาวฝรั่งเศสมีบทบาทการเข้ามาในประเทศสยามจนตอนนี้ ทุกๆ ชาติ ถูกเรียกติดปากกันว่า ฝรั่งๆ แต่เพื่อนๆ หารู้ไม่ว่า จริงๆ แล้ว ชาวต่างชาติมักจะไม่ค่อยชอบใจนักเมื่อถูกเรียกกัน ว่า ฝรั่ง ฝรั่ง เพราะ เขาจะรู้สึกเหมือน แปลกแยกแบ่งชาติพันธุ์ เหมือนเราที่ถูกเหยียดผิว หรือที่โดนเรียกว่า เจ็กจีน หรือ พวกลาว เราจะรู้สึกไม่ค่อยดี โดยเฉพาะเมื่อเราเป็นคนต่างด้าวเข้ามาให้ประเทศยุโรป ถ้าโดนพวกผิวขาวมาเรียก เช่น ไปเอาอาหารให้เจ๊คนจีน หรือคนผมด�าตัวเหลืองที่โต๊ะโน่น เราก็จะรู้สึกไม่ดีทันทีว่าเราก็คน เหมือนกัน ท�าไมไม่บอกว่าเอาอาหารไปให้พี่ผู้หญิงคนนั้นหน่อย เป็นต้น แต่มันจะไม่ค่อยได้เจอเท่าไหร่ เพราะหน้าเรากลมกลืนไปกับหลากหลายชาติ แต่เราก็ไม่ชอบนักถ้าคนมามอง หรือมาเรียกในสิ่งที่ท�าให้เราแปลกแยกออกไป

มากล่าวกันต่อเรื่อง ประเทศฝรั่งเศส ค�าว่า ฝรั่งเศส (France) มาจากค�าในภาษาละตินว่า Francia ซึ่งแปลตามตรงว่า ดินแดนของชาวแฟรงก์ (Frankland) และมีหลายทฤษฎีที่สันนิษฐานถึงที่มาของค�าว่า แฟรงก์ (Franks) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือค�าในภาษาโปรโต-เยอรมันว่า Frankon ซึ่งแปลว่า หลาว หอก หรือทวนซึ่งเป็นอาวุธของพวกแฟรงก์ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ฟรานซิสกา (Francisca)

อีกทฤษฎีหนึ่งตามหลักนิรุกติศาสตร์คือในภาษาเยอรมันโบราณ ค�าว่า แฟรงก์ แปลว่าอิสระ หรือดี ที่บางคนจะเรียกว่าเป็นคน แฟรงก์ หรือ คนไนส์ เป็นต้น ซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็นทาสโดยค�าดังกล่าวยังคงปรากฏในภาษาฝรั่งเศสปัจจุบันในรูป ฟรังก์ (Franc) ซึ่งเป็นสกุลเงินของประเทศฝรั่งเศสจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสกุลเงินยูโรในปี พ.ศ. 2545

ในปัจจุบันประเทศเยอรมนียังเรียกประเทศฝรั่งเศสว่า Frankreich ซึ่งแปลว่า อาณาจักรของชาวแฟรงก์ อีกด้วย นอกจากนั้นประเทศฝรั่งเศสมีดินแดนติดกับหลากหลายประเทศ เช่น พรมแดนติดกับประเทศเบลเยียม ลักเซมเบิร์ก เยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี โมนาโก อันดอร์รา และสเปน

และเนื่องจากประเทศฝรั่งเศสมีดินแดนโพ้นทะเลไว้ในครอบครอง ท�าให้มีอาณาเขตติดกับประเทศบราซิล

และซูรินาเม (ติดกับเฟรนช์เกียนา) และเนเธอร์แลนด์แอนทิลลิส (ติดกับแซ็ง-มาร์แต็ง) อีกด้วย นอกจากนั้นประเทศฝรั่งเศสยังเชื่อมกับสหราชอาณาจักรทางอุโมงค์ช่องแคบอังกฤษอีกด้วย อาจ

จะเป็นเพราะอย่างนี้ เลยท�าให้ชาวฝรั่งเศสชอบการล่าอาณานิคมก็เป็นไปได้ จะเห็นได้

ว่า ดินแดนเชื่อมต่อกับหลากหลายประเทศแล้วนั้น แน่นอนเลยถนนหนทางนั้นสวยงามไม่แพ้กันกับทาง

ประเทศอื่นๆ ที่ผ่านมา โดยเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ที่เป็นพื้นที่ราบโล่ง ภูเขาสลับกันไปมา สวยสุดลูกหูลูกตาเลย

ทีเดียว

ากคราวที่แล้วผ่าน สวิสเซอร์แลนด์ ดินแดนฝั่งยุโรปที่ส�าหรับนักขับขี่จะลืมไม่ลง แล้วเราก็ยังไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เพราะจุดหมาย

ปลายทางเราข้ามไปอีกทวีปหนึ่ง ถ้ามีเวลาจริงๆ แล้วควรพักแต่ละที่ให้มากกว่า สัก 2-3 วัน เพราะที่ฝั่งยุโรป แต่ละประเทศมีอะไรน่าสนใจและน่าค้นหามากมาย แต่เนื่องจากเวลาที่มีไม่มากนัก เราก็ต้องใช้เวลาในแต่ละจังหวะให้เหมาะสม กับทุกๆ อย่าง พักที่ซุค ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ได้ 3-4 คืน เนื่องจากพักรอเวลาฝนหยุดและเคลียร์งานก่อนที่จะได้เดินทางต่อไป

เมื่อพูดถึงแฟชั่นกระเป๋าหนัง คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ หลุยส์ วิตตอง หรือที่บ้านเราเรียกกันสั้น ๆ ว่า กระเป๋าหลุยส์ หรือ LV ‘หลุยส์ วิตตอง’ (Louis Vuitton) เป็นหนึ่งในผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องหนังอันดับต้นๆ ของโลก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จ�าพวกกระเป๋าที่โด่งดังมาจากฝรั่งเศส เนื่องจากความทนทานคุ้มราคานั่นเอง ด้วยหีบส่วนใหญ่ที่มีน�้าหนักมากมักช�ารุดเสียระหว่างเดินทาง หากแต่หีบนามนี้กลับมีความทนทานมากกว่า โดยเฉพาะตามขอบมุมที่มักถูกกระทบกระแทกจนช�้าชอก ได้รับการป้องกันด้วยการหุ้มมุมด้วยโลหะและตอกหมุดเย็บ

ตะเข็บเป็นอย่างดี โครงข้างในก็เบาและมั่นคงมีการใช้ซับในที่น่าดู ไม่เหม็นกลิ่นหนังที่อับชื้นและหากมีการช�ารุดก็ส่งซ่อมได้โดยง่าย ยิ่งท�าให้สินค้าชื่อนี้เป็นที่นิยมเป็นทวีคูณ นั่นแหละเป็นที่มาคร่าวๆ เพื่อให้ทราบกันว่าท�ามาย ท�าไม ถึงมีชื่อ โด่งดังได้มากมายขนาดนั้น

>> Ar

ou

nd

Th

e Wo

rld

....

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201332 33

Page 34: FRM issue 8 (June 2013)

เส้นทางถนนที่มีชื่อที่สุดในประเทศ และเหมาะกับการขับขี่ เห็นทีถ้าไม่เอ่ยบางคนก็อาจจะยังไม่ทราบ คือ เส้น Road N66 of France นั่นเอง ระยะทางประมาณเกือบ 200 กิโล ไม่มากนัก แต่เป็นเส้นทางที่เมื่อผ่านแล้วจะต้องอยากกลับมาอีกครั้งเป็นแน่ เป็นเส้นทางที่เราใช้วิ่งออกตอนทางกลับลงมา ไปยังประเทศอิตาลี แต่ไหนๆ ก็วนเวียนในประเทศฝรั่งเศสก็จะกล่าวรวมกันให้ทราบเลยทีเดียว เส้นทางที่วิ่งผ่านไปมาเป็นถนนที่สวยไม่แตกต่างจากเส้นทางของสวิสเซอร์แลนด์ แต่ธรรมชาติอาจจะแตกต่างกัน มีเส้นทางภูเขาสลับกับแม่น�้า บ้านเรือน ระหว่างทาง เป็นตึกชั้นเดียวหรือตึกเก่าแต่มักจะมีต้นไม้ดอกไม้สลับไล่กัน แม้จะเป็นตึกเก่าๆ ก็จะมีดอกไม้สีสดๆ ห้อยเรียงรายสลับไปมา ถนนเส้นทางสวยมากจริงๆ เพราะเป็นเส้นทางที่ มีต้นไพน์ คือ ต้นสน สลับเป็นทิวแถวยาว เป็นเหมือนถนนสาย รูท 66 ที่จาก นิวยอร์ก มา LA ทางเส้นนี้ก็เลย เรียกว่า N66 เหมือนกัน และทางทิวแนวยาวก็มีโรงแรมที่เป็นที่พักส�าหรับ Biker โดยเฉพาะ บรรยากาศดีมาก แต่จะพักได้เฉพาะในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น เพราะถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวแล้วละก็จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะมากมาย หนาเป็นหลายฟุตเลยทีเดียว ดังนั้นก็จะไม่สะดวกตอนช่วงฤดูหนาว ภายในที่พักจะจัดให้เฉพาะ Biker แต่คนที่ไม่ใช่ Biker ก็สามารถที่จะเข้าพักได้ไม่มีปัญหาเหมือนกัน แต่ส�าหรับนักขี่บรรยากาศภายในร้าน และร้านอาหารตบแต่งเฉพาะส�าหรับคอสองล้อจริงๆ จะมีร้านอาหารสลับกันไปมาจะเป็นที่เห็นน่าแปลกตาคือ ร้านขายขนมปังยาว ที่เรียกว่า ขนมปังบักเก็ต เป็นขนมปังแข็งๆ บางคนที่ซื้อก็หอบกลับบ้านกับแขนหนีบเดินไปมาแบบนั้นเลยเห็นแล้ว แปลกดีเหมือนกัน เห็นคนแบก หนีบขนมปัง

ชักจะเริ่มหิวก็ไปจัดการหาอะไรรองท้องก่อนดีกว่า แต่แค่ขอเป็นมื้อเล็กๆ ก็เลยแวะเติมพลังที่ซุปเปอร์มาเก็ตก่อน โดยซื้อแฮมที่เราเรียกกันว่าซาลามิ และก็ช๊อคโกแลต ที่เป็นพลังงานอย่างดีให้การกับร่างกายในการเดินทางแบบเหนื่อยๆ แบบนี้ หลังจากนั้นค่อยไปหาอะไรทานเป็นเรื่องเป็นราวมื้อกลางวัน ระหว่างทางเห็นป้ายเป็นร้านอาหารกลางวันที่เป็นเมนูส�าหรับ นักท่องเที่ยวก็เลยแวะเข้าไปทานดู เป็นร้านด้านในที่ขี่เข้ามาลึกพอสมควรแต่บรรยากาศร้านดีมาก โต๊ะวางเรียงรายที่ริมทางฝั่งที่เป็นสวน ตรงข้ามกับร้านอาหารจะเห็นร่มสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของไอศครีมวอลล์ ที่มีชื่อต่างกันตามแต่ละประเทศ น่าสนใจดี เพราะที่ประเทศไทยจะเรียกว่า Wall's (ice cream) แต่ฝรั่งเศสเรียกว่า Miko ที่อิตาลี ก็จะมีชื่อต่างกัน จากนั้นเราก็เริ่มสั่งอาหาร มาทาน ก็เป็นเมนูส�าหรับนักท่องเที่ยว ที่เรียกว่าเมนูส�าหรับนักท่องเที่ยวที่ต่างประเทศนั้น คือจะเป็นเซตเมนูมาให้แบบไม่ต้องคิดมาก คือ จะมีจานหลัก จานรอง สลัดผัก และ ของหวาน พร้อมกาแฟ บางชุดจะมีไวน์ หรือ เครื่องดื่มหลักๆ คือ น�้าเปล่า และ กาแฟ ถ้าเป็นมนูคิดเองบางคนก็จะทานเฉพาะจานหลัก หรือ จานรอง ซึ่งโดยปกติ ค�าว่าจานหลัก จะเป็น คาร์โบไฮเดรต จานรองจะเป็นพวกเนื้อนั่นเอง ส�าหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ทราบว่า ทางประเทศนั้นๆ ทานอะไร เราก็จะเลือกเมนูนั้นๆ เพื่อจะได้ลองทานให้ครบนั่นเอง

เราก็จัดแจงเมนูนักท่องเที่ยวที่ทานก็มีพาสต้าเป็นจานหลัก ไส้กรอกรวมที่เป็นจานรอง และก็สลัดผักที่มีน�้าสลัดเปรี้ยว จนรู้สึกว่าทานอาหารอิตาเลี่ยนที่มีน�้ามันมะกอกนั่นแหละดีที่สุดแล้ว และก็เบียร์ท้องถิ่น เพราะเป็นเบียร์ท้องถิ่นจริงๆ เช่นในเมืองย่านนั้นๆ ก็จะเป็นเบียร์ยี่ห้อนั้น ยี่ห้อนี้ ที่ลองดื่มดูเป็นเบียร์เข้มที่เหมือนจะเป็นเบียร์ด�า ที่นี้จะเรียก ดาร์กเบียร์ และเป็นป้ายที่ไม่น่าจะเป็นเบียร์เลยคือ เป็นรูปแม่มดขี่ไม้กวาด แปลกดี รสชาดก็ถือว่าไม่เลวร้ายนัก เมื่อหนังท้องอิ่ม ก็เริ่มอยากพักชิลล์ ที่นั่งบรรยากาศร่มรื่นหลังจากทานอาหารอิ่ม ก็เอนพักกายสักหน่อยก่อนที่จะเดินทางต่อไป เส้นทางในเมืองและนอกเมืองของเมืองย่านนอกไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นัก ไม่เหมือนถนนในเมืองหลวง นอกจากบ้านเรือนสลับกับต้นไม้แล้ว สิ่งที่สังเกตได้คือ ลักษณะโบสถ์ก็แตกต่างกันออกไป จากฝั่งคาทอลิคโบสถ์ที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นโบสถ์แบบออโทดอกซ์ (Othodox Christian) ขอแนะน�าให้ไปเยี่ยมชม โบสถ์ Grand Portail de la Cokkegiale de Thann เป็นโบสถ์ ที่สวยแบบออโธดอกซ์ ที่จะมีการเล่นกับทางยอดของหลังคา และที่สวยแปลกคือ การน�าเอา Siant หรือ นักบวช นักบุญ ที่เป็นที่รู้จัก หรือง่ายๆ ที่จะเหมือนเช่นพระอรหันต์ หรือ พระโสดาบัน ที่ถูกยกย่องให้เป็น Siant น�ามาแกะเป็นรูปปั้น เรียงรายอยู่โดยรอบ สวยงามแปลกตา และน่าทึ่งมากทีเดียว ตรงแนวขอบโค้งของประตูทางเข้า ที่มีมากจริงๆ ซึ่งจะมีทุ นักบุญเลยทีเดียวและการแกะสลักละเอียดมาก ถ้าดูและนับจนหมดคงปวดคอ แล้วก็เข้าไปดูทุกโบสถ์เพื่อชมบรรยากาศและสถาปัตยกรรม ที่บ่งบอกถึงความศรัทธาและความเชื่อ ความมุ่งมั่น ก่อนทางเข้าโบสถ์มักจะมี น�้าเพื่อให้แตะหน้าผาก ถึง พระบิดา พระบุตร พระจิต และ ทางออกเช่นกัน ถ้าสังเกตดีๆ ความเชื่อ และศรัทธาไม่ได้ต่างกับทางศาสนาพุทธที่มี ไตรลักษณ์ สามเช่น กัน เช่น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

จากนั้นก็นั่งพักด้านนอกมีน�้าแร่จากก๊อกให้ดื่ม พักได้ที่เราก็เตรียมเดินทางต่อไป นอกเหนือจากโบสถ์เมือง Thann ยังเป็นที่ตั้งของหอระฆังที่สวยที่สุดในแคว้น Alsace โดยหอระฆังนี้เป็นสิ่งก่อสร้างสูง 76 เมตรที่มีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 จากนั้นเราก็พร้อมเดินทางต่อ และ

แวะเติมน�้ามันก็เป็นปั้มที่ต้องเติมน�้ามันเอง ที่บริการ 24 ชม. สามารถใช้บัตรเครคิตและเงินสดได้ แล้วแต่สะดวก ราคาน�้ามัน ไม่แตกต่างกันมากนักระหว่างประเทศสวิสเซอร์แลนด์ จะถูกกว่าที่อิตาลีเพียงเล็กน้อยไม่กี่เซนต์

เส้นทางท้องฟ้ามืดครี้มเป็นช่วงๆ แต่ฝนยังไม่ลงเม็ดนัก แต่ก็ไม่นับว่าไม่เคยเจอฝน เพราะที่เจอเต็มๆ หนักๆ ก็มี คือตลอดที่วิ่งเส้นทางที่หยุดไม่ได้คือ Hi Way ที่เจอมาแล้วฝนกระหน�่าและเป็นฝนตกตอนอากาศเย็น ถ้าฝนตกปรอยก็ไม่มีปัญหาแต่ที่ต้องระวังคือ มือถือที่มักจะพก ติดไว้ที่กระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตถ้าฝนลงเม็ดก็จะเก็บเข้ากล่องทันที เริ่มใกล้จะมืดมักจะไม่ค่อยเดินทาง หลังมืดนัก ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่ใช้เพราะว่า

กลัวอันตรายแต่มักจะเกรงว่าจะหาทางไปมาไม่ถูก แต่เนื่องจากการเดินทางในแต่ละครั้งใน โซนยุโรปมักจะบุ๊คโรงแรมไว้ล่วงหน้า เพราะจะได้กะเส้นทางถูก และที่ใช้บริการมากที่สุดก็คือ booking.com ที่จะใช้ได้คล่องตัวกว่า ถ้าเป็นทางยุโรป มากกว่าเว็บอื่นๆ

โดยเริ่มแรก เราก็จะกะเส้นทางก่อนว่า เราจะวิ่งไปประมาณกี่กิโล และจะไปพักในโซนไหนของวัน จากนั้นก็จะท�าการจองห้องก่อนออกเดินทาง ประมาณคืนก่อนออกเดินทางหรือสองคืนก่อน แล้วแต่จังหวะ โรงแรมริมทางที่ประเทศฝรั่งเศส หรือฝั่งโซนยุโรปทั่วๆ ไปจะเป็นคล้ายๆ กับโรงแรม Budget ที่ขนาดกะทัดรัดมาก ที่ได้ที่ฝรั่งเศสเล็กมาก เหมือนกับโรงแรมในยานอวกาศจริงๆ ที่มีทั้งห้องน�้า ห้องอาบน�้า โต๊ะ เตียงในห้องเดียวกัน โซนอาบน�้าและ โซนเข้าห้องน�้าถูกกันโดยประตูเลื่อน ที่ออกแบบมาได้ เหมาะเจาะกับพื้นที่ใช้งานจริงๆ ราคาอยู่ในราวๆ 40-50 ยูโร รวมอาหารเช้า ถือว่าราคา ประหยัดสุดเพราะเราเอาแค่นอน ความสะอาดถือว่าสะอาดดีมาก แต่ที่ทึ่งเพราะเขาออกแบบ

ได้กระชับพื้นที่จริงๆ พยามคิดไปว่าเราอยู่ในบรรยากาศของยานอวกาศจริงๆ การเช็คอินถ้าเราไปค�่านัก ก็จะมีระบบเช็คอิน โดยเครื่องอัตโนมัติ หน้าประตูทางเข้า ไม่มีพนักงาน ต้อนรับใดๆ ทั้งสิ้นเพราะจะไม่เสียค่าจ้าง ให้เราน�ารหัสที่เราบุ๊คไว้ไปกด เหมือนเราท�าการกด ตู้ ATM ก็สามารถ Check in ได้ หรือส�าหรับคนที่ยังไม่ได้จองห้องก็สามารถเช็คห้องได้เช่นกัน และจ่ายเป็นบัตรเครดิต โดยการท�าการจองและ Check in โดยอัตโนมัติเช่นกัน ส่วนประตูเข้าออก จะถูกก�าหนดโดยรหัส เปิดปิดประตู เห็นไหมค่ะ ว่าถ้าไม่ได้เหมือนยานอวกาศแล้วจะเหมือนอะไร

เมื่อถึงที่พัก เราก็เตรียมตัวเพื่อที่จะพักผ่อนเอาแรงในวันต่อไป ส่วนอาหารค�่าก็แวะทานริมแม่น�้า จิบไวน์ และ ทานอาหาร เบาๆ ง่ายๆ เพื่อที่จะไม่อิ่มและจุกจนเกินไปนัก เพราะ ได้นอนเต็มอิ่มกับเก็บท้องไว้ไปเพิ่มพลังในตอนเช้าจะดีกว่าจุกท้องและรีบเข้านอน จากฝรั่งเศสเรามุ่งหน้าต่อไปยังประเทศที่เล็กแต่ก็มีสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ ลักแซมเบริก์

>> Ar

ou

nd

Th

e Wo

rld

....

AR UNDThe World

:: From Mulhouse to Epinal

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201334 35

Page 35: FRM issue 8 (June 2013)

เส้นทางถนนที่มีชื่อที่สุดในประเทศ และเหมาะกับการขับขี่ เห็นทีถ้าไม่เอ่ยบางคนก็อาจจะยังไม่ทราบ คือ เส้น Road N66 of France นั่นเอง ระยะทางประมาณเกือบ 200 กิโล ไม่มากนัก แต่เป็นเส้นทางที่เมื่อผ่านแล้วจะต้องอยากกลับมาอีกครั้งเป็นแน่ เป็นเส้นทางที่เราใช้วิ่งออกตอนทางกลับลงมา ไปยังประเทศอิตาลี แต่ไหนๆ ก็วนเวียนในประเทศฝรั่งเศสก็จะกล่าวรวมกันให้ทราบเลยทีเดียว เส้นทางที่วิ่งผ่านไปมาเป็นถนนที่สวยไม่แตกต่างจากเส้นทางของสวิสเซอร์แลนด์ แต่ธรรมชาติอาจจะแตกต่างกัน มีเส้นทางภูเขาสลับกับแม่น�้า บ้านเรือน ระหว่างทาง เป็นตึกชั้นเดียวหรือตึกเก่าแต่มักจะมีต้นไม้ดอกไม้สลับไล่กัน แม้จะเป็นตึกเก่าๆ ก็จะมีดอกไม้สีสดๆ ห้อยเรียงรายสลับไปมา ถนนเส้นทางสวยมากจริงๆ เพราะเป็นเส้นทางที่ มีต้นไพน์ คือ ต้นสน สลับเป็นทิวแถวยาว เป็นเหมือนถนนสาย รูท 66 ที่จาก นิวยอร์ก มา LA ทางเส้นนี้ก็เลย เรียกว่า N66 เหมือนกัน และทางทิวแนวยาวก็มีโรงแรมที่เป็นที่พักส�าหรับ Biker โดยเฉพาะ บรรยากาศดีมาก แต่จะพักได้เฉพาะในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น เพราะถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวแล้วละก็จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะมากมาย หนาเป็นหลายฟุตเลยทีเดียว ดังนั้นก็จะไม่สะดวกตอนช่วงฤดูหนาว ภายในที่พักจะจัดให้เฉพาะ Biker แต่คนที่ไม่ใช่ Biker ก็สามารถที่จะเข้าพักได้ไม่มีปัญหาเหมือนกัน แต่ส�าหรับนักขี่บรรยากาศภายในร้าน และร้านอาหารตบแต่งเฉพาะส�าหรับคอสองล้อจริงๆ จะมีร้านอาหารสลับกันไปมาจะเป็นที่เห็นน่าแปลกตาคือ ร้านขายขนมปังยาว ที่เรียกว่า ขนมปังบักเก็ต เป็นขนมปังแข็งๆ บางคนที่ซื้อก็หอบกลับบ้านกับแขนหนีบเดินไปมาแบบนั้นเลยเห็นแล้ว แปลกดีเหมือนกัน เห็นคนแบก หนีบขนมปัง

ชักจะเริ่มหิวก็ไปจัดการหาอะไรรองท้องก่อนดีกว่า แต่แค่ขอเป็นมื้อเล็กๆ ก็เลยแวะเติมพลังที่ซุปเปอร์มาเก็ตก่อน โดยซื้อแฮมที่เราเรียกกันว่าซาลามิ และก็ช๊อคโกแลต ที่เป็นพลังงานอย่างดีให้การกับร่างกายในการเดินทางแบบเหนื่อยๆ แบบนี้ หลังจากนั้นค่อยไปหาอะไรทานเป็นเรื่องเป็นราวมื้อกลางวัน ระหว่างทางเห็นป้ายเป็นร้านอาหารกลางวันที่เป็นเมนูส�าหรับ นักท่องเที่ยวก็เลยแวะเข้าไปทานดู เป็นร้านด้านในที่ขี่เข้ามาลึกพอสมควรแต่บรรยากาศร้านดีมาก โต๊ะวางเรียงรายที่ริมทางฝั่งที่เป็นสวน ตรงข้ามกับร้านอาหารจะเห็นร่มสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของไอศครีมวอลล์ ที่มีชื่อต่างกันตามแต่ละประเทศ น่าสนใจดี เพราะที่ประเทศไทยจะเรียกว่า Wall's (ice cream) แต่ฝรั่งเศสเรียกว่า Miko ที่อิตาลี ก็จะมีชื่อต่างกัน จากนั้นเราก็เริ่มสั่งอาหาร มาทาน ก็เป็นเมนูส�าหรับนักท่องเที่ยว ที่เรียกว่าเมนูส�าหรับนักท่องเที่ยวที่ต่างประเทศนั้น คือจะเป็นเซตเมนูมาให้แบบไม่ต้องคิดมาก คือ จะมีจานหลัก จานรอง สลัดผัก และ ของหวาน พร้อมกาแฟ บางชุดจะมีไวน์ หรือ เครื่องดื่มหลักๆ คือ น�้าเปล่า และ กาแฟ ถ้าเป็นมนูคิดเองบางคนก็จะทานเฉพาะจานหลัก หรือ จานรอง ซึ่งโดยปกติ ค�าว่าจานหลัก จะเป็น คาร์โบไฮเดรต จานรองจะเป็นพวกเนื้อนั่นเอง ส�าหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ทราบว่า ทางประเทศนั้นๆ ทานอะไร เราก็จะเลือกเมนูนั้นๆ เพื่อจะได้ลองทานให้ครบนั่นเอง

เราก็จัดแจงเมนูนักท่องเที่ยวที่ทานก็มีพาสต้าเป็นจานหลัก ไส้กรอกรวมที่เป็นจานรอง และก็สลัดผักที่มีน�้าสลัดเปรี้ยว จนรู้สึกว่าทานอาหารอิตาเลี่ยนที่มีน�้ามันมะกอกนั่นแหละดีที่สุดแล้ว และก็เบียร์ท้องถิ่น เพราะเป็นเบียร์ท้องถิ่นจริงๆ เช่นในเมืองย่านนั้นๆ ก็จะเป็นเบียร์ยี่ห้อนั้น ยี่ห้อนี้ ที่ลองดื่มดูเป็นเบียร์เข้มที่เหมือนจะเป็นเบียร์ด�า ที่นี้จะเรียก ดาร์กเบียร์ และเป็นป้ายที่ไม่น่าจะเป็นเบียร์เลยคือ เป็นรูปแม่มดขี่ไม้กวาด แปลกดี รสชาดก็ถือว่าไม่เลวร้ายนัก เมื่อหนังท้องอิ่ม ก็เริ่มอยากพักชิลล์ ที่นั่งบรรยากาศร่มรื่นหลังจากทานอาหารอิ่ม ก็เอนพักกายสักหน่อยก่อนที่จะเดินทางต่อไป เส้นทางในเมืองและนอกเมืองของเมืองย่านนอกไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นัก ไม่เหมือนถนนในเมืองหลวง นอกจากบ้านเรือนสลับกับต้นไม้แล้ว สิ่งที่สังเกตได้คือ ลักษณะโบสถ์ก็แตกต่างกันออกไป จากฝั่งคาทอลิคโบสถ์ที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นโบสถ์แบบออโทดอกซ์ (Othodox Christian) ขอแนะน�าให้ไปเยี่ยมชม โบสถ์ Grand Portail de la Cokkegiale de Thann เป็นโบสถ์ ที่สวยแบบออโธดอกซ์ ที่จะมีการเล่นกับทางยอดของหลังคา และที่สวยแปลกคือ การน�าเอา Siant หรือ นักบวช นักบุญ ที่เป็นที่รู้จัก หรือง่ายๆ ที่จะเหมือนเช่นพระอรหันต์ หรือ พระโสดาบัน ที่ถูกยกย่องให้เป็น Siant น�ามาแกะเป็นรูปปั้น เรียงรายอยู่โดยรอบ สวยงามแปลกตา และน่าทึ่งมากทีเดียว ตรงแนวขอบโค้งของประตูทางเข้า ที่มีมากจริงๆ ซึ่งจะมีทุ นักบุญเลยทีเดียวและการแกะสลักละเอียดมาก ถ้าดูและนับจนหมดคงปวดคอ แล้วก็เข้าไปดูทุกโบสถ์เพื่อชมบรรยากาศและสถาปัตยกรรม ที่บ่งบอกถึงความศรัทธาและความเชื่อ ความมุ่งมั่น ก่อนทางเข้าโบสถ์มักจะมี น�้าเพื่อให้แตะหน้าผาก ถึง พระบิดา พระบุตร พระจิต และ ทางออกเช่นกัน ถ้าสังเกตดีๆ ความเชื่อ และศรัทธาไม่ได้ต่างกับทางศาสนาพุทธที่มี ไตรลักษณ์ สามเช่น กัน เช่น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

จากนั้นก็นั่งพักด้านนอกมีน�้าแร่จากก๊อกให้ดื่ม พักได้ที่เราก็เตรียมเดินทางต่อไป นอกเหนือจากโบสถ์เมือง Thann ยังเป็นที่ตั้งของหอระฆังที่สวยที่สุดในแคว้น Alsace โดยหอระฆังนี้เป็นสิ่งก่อสร้างสูง 76 เมตรที่มีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 จากนั้นเราก็พร้อมเดินทางต่อ และ

แวะเติมน�้ามันก็เป็นปั้มที่ต้องเติมน�้ามันเอง ที่บริการ 24 ชม. สามารถใช้บัตรเครคิตและเงินสดได้ แล้วแต่สะดวก ราคาน�้ามัน ไม่แตกต่างกันมากนักระหว่างประเทศสวิสเซอร์แลนด์ จะถูกกว่าที่อิตาลีเพียงเล็กน้อยไม่กี่เซนต์

เส้นทางท้องฟ้ามืดครี้มเป็นช่วงๆ แต่ฝนยังไม่ลงเม็ดนัก แต่ก็ไม่นับว่าไม่เคยเจอฝน เพราะที่เจอเต็มๆ หนักๆ ก็มี คือตลอดที่วิ่งเส้นทางที่หยุดไม่ได้คือ Hi Way ที่เจอมาแล้วฝนกระหน�่าและเป็นฝนตกตอนอากาศเย็น ถ้าฝนตกปรอยก็ไม่มีปัญหาแต่ที่ต้องระวังคือ มือถือที่มักจะพก ติดไว้ที่กระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตถ้าฝนลงเม็ดก็จะเก็บเข้ากล่องทันที เริ่มใกล้จะมืดมักจะไม่ค่อยเดินทาง หลังมืดนัก ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่ใช้เพราะว่า

กลัวอันตรายแต่มักจะเกรงว่าจะหาทางไปมาไม่ถูก แต่เนื่องจากการเดินทางในแต่ละครั้งใน โซนยุโรปมักจะบุ๊คโรงแรมไว้ล่วงหน้า เพราะจะได้กะเส้นทางถูก และที่ใช้บริการมากที่สุดก็คือ booking.com ที่จะใช้ได้คล่องตัวกว่า ถ้าเป็นทางยุโรป มากกว่าเว็บอื่นๆ

โดยเริ่มแรก เราก็จะกะเส้นทางก่อนว่า เราจะวิ่งไปประมาณกี่กิโล และจะไปพักในโซนไหนของวัน จากนั้นก็จะท�าการจองห้องก่อนออกเดินทาง ประมาณคืนก่อนออกเดินทางหรือสองคืนก่อน แล้วแต่จังหวะ โรงแรมริมทางที่ประเทศฝรั่งเศส หรือฝั่งโซนยุโรปทั่วๆ ไปจะเป็นคล้ายๆ กับโรงแรม Budget ที่ขนาดกะทัดรัดมาก ที่ได้ที่ฝรั่งเศสเล็กมาก เหมือนกับโรงแรมในยานอวกาศจริงๆ ที่มีทั้งห้องน�้า ห้องอาบน�้า โต๊ะ เตียงในห้องเดียวกัน โซนอาบน�้าและ โซนเข้าห้องน�้าถูกกันโดยประตูเลื่อน ที่ออกแบบมาได้ เหมาะเจาะกับพื้นที่ใช้งานจริงๆ ราคาอยู่ในราวๆ 40-50 ยูโร รวมอาหารเช้า ถือว่าราคา ประหยัดสุดเพราะเราเอาแค่นอน ความสะอาดถือว่าสะอาดดีมาก แต่ที่ทึ่งเพราะเขาออกแบบ

ได้กระชับพื้นที่จริงๆ พยามคิดไปว่าเราอยู่ในบรรยากาศของยานอวกาศจริงๆ การเช็คอินถ้าเราไปค�่านัก ก็จะมีระบบเช็คอิน โดยเครื่องอัตโนมัติ หน้าประตูทางเข้า ไม่มีพนักงาน ต้อนรับใดๆ ทั้งสิ้นเพราะจะไม่เสียค่าจ้าง ให้เราน�ารหัสที่เราบุ๊คไว้ไปกด เหมือนเราท�าการกด ตู้ ATM ก็สามารถ Check in ได้ หรือส�าหรับคนที่ยังไม่ได้จองห้องก็สามารถเช็คห้องได้เช่นกัน และจ่ายเป็นบัตรเครดิต โดยการท�าการจองและ Check in โดยอัตโนมัติเช่นกัน ส่วนประตูเข้าออก จะถูกก�าหนดโดยรหัส เปิดปิดประตู เห็นไหมค่ะ ว่าถ้าไม่ได้เหมือนยานอวกาศแล้วจะเหมือนอะไร

เมื่อถึงที่พัก เราก็เตรียมตัวเพื่อที่จะพักผ่อนเอาแรงในวันต่อไป ส่วนอาหารค�่าก็แวะทานริมแม่น�้า จิบไวน์ และ ทานอาหาร เบาๆ ง่ายๆ เพื่อที่จะไม่อิ่มและจุกจนเกินไปนัก เพราะ ได้นอนเต็มอิ่มกับเก็บท้องไว้ไปเพิ่มพลังในตอนเช้าจะดีกว่าจุกท้องและรีบเข้านอน จากฝรั่งเศสเรามุ่งหน้าต่อไปยังประเทศที่เล็กแต่ก็มีสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ ลักแซมเบริก์

>> Ar

ou

nd

Th

e Wo

rld

....AR UND

The World

:: From Mulhouse to Epinal

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201334 35

Page 36: FRM issue 8 (June 2013)

A . I . R . B . A . GWhat is Airbag ?อะไรคือถุงลม ?

Airbag แปลตรงตัวว่าถุงลม แต่เมื่อแปลตามลักษณะการใช้งานของมันจะได้ความหมายว่า “ถุงลมนิรภัย” ต้นก�าเนิดของถุงลมนิรภัยต้องย้อนกลับไปในปี 1951 นายวอลเตอร์ ลินเดอเลอร์ วิศวกรชาวเยอรมันได้ประดิษฐ์ถุงลมนิรภัยเพื่อใช้กับรถยนต์ โดยมันจะเริ่มท�างานเมื่อกันชนหน้าเกิดการกระแทกและสามารถท�างานได้ด้วยปุ่มกดโดยคนขับ แต่ต่อมาในปี 1960 มีการค้นคว้าวิจัยเพิ่มเติมจนพบว่าถุงลมรุ่นแรกนั้น “เร็วไม่พอ” ต่อมาในปี 1963 นายยาซูสะบูโรอุ โกโบริ นักประดิษฐ์ชาวญี่ปุ่นได้พัฒนาระบบ Airbag ขึ้นใหม่ให้ไฉไลกว่าเก่า มาคราวนี้ระบบถุงลมรุ่นใหม่นี้กลับได้รับความนิยมและได้รางวัลจาก 14 ประเทศทั่วโลก น่าเสียดายที่เค้าเสียชีวิตลงก่อนจะได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ของเค้ากลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก

ในปี 1967 อัลเลน เค. บรีด คิดค้นระบบกลไกการท�างานของถุงลมขึ้นใหม่โดยใช้แบบที่เรียกว่า “Ball-in-Tube” หลักการท�างานของมันก็คือการใช้ลูกบอลเหล็กใส่เข้าไปในท่อเหล็กที่มีเซ็นเซอร์ไฟฟ้า เมื่อลูกเหล็กวิ่งออกจากตัวเซ็นเซอร์ถุงลมจะท�างาน นายอัลเลนได้เปลี่ยนจากการใช้อากาศอัดแน่นไปเป็น “โซเดี้ยม อะไซด์” ต่อมานายอัลเลนได้จับมือกับผู้ผลิตรถรายใหญ่ “Chrysler” และไม่นานนัก บริษัท Eaton, Yale & Towne Inc. ก็ได้จับมือผลิตถุงลมอัตโนมัติให้ Ford ในประเทศสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา...นี่คือจุดเริ่มต้นการพัฒนาระบบถุงลมนิรภัยของรถยนต์ซึ่งแต่ละค่ายแต่ละผู้ผลิตต่างก็แข่งขันผลิตถุงลมให้ท�างานได้เร็วขึ้นไว้ขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น...ว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกับชาว 2 ล้ออย่างเราๆ ล่ะ?

ส�าหรับรถมอเตอร์ไซค์อย่างเราก็มีคนคิดค้นถุงลมนิรภัยเหมือนกันนะครับ เริ่มจากปี 1970 ที่สถาบันค้นคว้าข้อมูลทางด้านการคมนาคมของประเทศอังกฤษเริ่มค้นคว้าระบบความปลอดภัยให้กับรถมอเตอร์ไซค์ ในปี 2006 Honda ได้ใส่ฟังก์ชั่นความปลอดภัยอย่าง Airbag ให้กับโมเดลในต�านานอย่าง Honda Goldwing การท�างานของมันจะเริ่มขึ้นเมื่อเซ็นเซอร์ที่อยู่ในโช้คหน้าสัมผัสได้ถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดอุบัติเหตุ ถุงลมรุ่นแรกของฮอนด้าถูกออกแบบมาเพื่อลดแรงกระแทกจากด้านหน้าของผู้ขับขี่และยังช่วยป้องกันการกระเด็นออกจากตัวรถได้อีกด้วย (ชาวสตั๊นท์ห้าม Stopie บน Gold Wing เด็ดขาด!)

•PersonalAirbag–ถุงลมส่วนตัว

ห้าม! คิดลึกเด็ดขาด…เพราะถุงลมส่วนตัวที่ว่านี้คือ ชุดแจ็คเก็ตที่มีระบบถุงลมนิรภัยติดตั้งอยู่ ที่มาของมันเกิดขึ้นในปี 1999 เมื่อบริษัท Point Two Air Jacket ตั้งใจผลิตเสื้อแจ็คเก็ตแบบมีถุงลมนิรภัยส�าหรับ “ขี่ม้า” เพราะนักแข่งขี่ม้าส่วนใหญ่มักจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการล้มของม้าโดยเฉพาะถ้าม้าทับตัวผู้ขี่ บริษัท Point Two Air Jacket จึงออกแบบเสื้อขี่ม้าที่สามารถพองตัวออกมาได้เมื่อสายที่ต่อกับถุงลมถูกดึงออกโดยแอคชั่นของการหลุดออกจากตัวม้า ต่อมาบริษัท Hit Air ก็ได้ส่งเสื้อ Airbag ของตัวเองลงแข่งกับคู่แข่ง นั่นคือจุดเริ่มต้นของการมีถุงลมนิรภัยติดตัวผู้ขี่(ม้า)....ว่าแต่มันมาอยู่กับตัวผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ได้อย่างไร ?

TECHKNOW

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201336 37

Page 37: FRM issue 8 (June 2013)

A . I . R . B . A . GWhat is Airbag ?อะไรคือถุงลม ?

Airbag แปลตรงตัวว่าถุงลม แต่เมื่อแปลตามลักษณะการใช้งานของมันจะได้ความหมายว่า “ถุงลมนิรภัย” ต้นก�าเนิดของถุงลมนิรภัยต้องย้อนกลับไปในปี 1951 นายวอลเตอร์ ลินเดอเลอร์ วิศวกรชาวเยอรมันได้ประดิษฐ์ถุงลมนิรภัยเพื่อใช้กับรถยนต์ โดยมันจะเริ่มท�างานเมื่อกันชนหน้าเกิดการกระแทกและสามารถท�างานได้ด้วยปุ่มกดโดยคนขับ แต่ต่อมาในปี 1960 มีการค้นคว้าวิจัยเพิ่มเติมจนพบว่าถุงลมรุ่นแรกนั้น “เร็วไม่พอ” ต่อมาในปี 1963 นายยาซูสะบูโรอุ โกโบริ นักประดิษฐ์ชาวญี่ปุ่นได้พัฒนาระบบ Airbag ขึ้นใหม่ให้ไฉไลกว่าเก่า มาคราวนี้ระบบถุงลมรุ่นใหม่นี้กลับได้รับความนิยมและได้รางวัลจาก 14 ประเทศทั่วโลก น่าเสียดายที่เค้าเสียชีวิตลงก่อนจะได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ของเค้ากลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก

ในปี 1967 อัลเลน เค. บรีด คิดค้นระบบกลไกการท�างานของถุงลมขึ้นใหม่โดยใช้แบบที่เรียกว่า “Ball-in-Tube” หลักการท�างานของมันก็คือการใช้ลูกบอลเหล็กใส่เข้าไปในท่อเหล็กที่มีเซ็นเซอร์ไฟฟ้า เมื่อลูกเหล็กวิ่งออกจากตัวเซ็นเซอร์ถุงลมจะท�างาน นายอัลเลนได้เปลี่ยนจากการใช้อากาศอัดแน่นไปเป็น “โซเดี้ยม อะไซด์” ต่อมานายอัลเลนได้จับมือกับผู้ผลิตรถรายใหญ่ “Chrysler” และไม่นานนัก บริษัท Eaton, Yale & Towne Inc. ก็ได้จับมือผลิตถุงลมอัตโนมัติให้ Ford ในประเทศสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา...นี่คือจุดเริ่มต้นการพัฒนาระบบถุงลมนิรภัยของรถยนต์ซึ่งแต่ละค่ายแต่ละผู้ผลิตต่างก็แข่งขันผลิตถุงลมให้ท�างานได้เร็วขึ้นไว้ขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น...ว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกับชาว 2 ล้ออย่างเราๆ ล่ะ?

ส�าหรับรถมอเตอร์ไซค์อย่างเราก็มีคนคิดค้นถุงลมนิรภัยเหมือนกันนะครับ เริ่มจากปี 1970 ที่สถาบันค้นคว้าข้อมูลทางด้านการคมนาคมของประเทศอังกฤษเริ่มค้นคว้าระบบความปลอดภัยให้กับรถมอเตอร์ไซค์ ในปี 2006 Honda ได้ใส่ฟังก์ชั่นความปลอดภัยอย่าง Airbag ให้กับโมเดลในต�านานอย่าง Honda Goldwing การท�างานของมันจะเริ่มขึ้นเมื่อเซ็นเซอร์ที่อยู่ในโช้คหน้าสัมผัสได้ถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดอุบัติเหตุ ถุงลมรุ่นแรกของฮอนด้าถูกออกแบบมาเพื่อลดแรงกระแทกจากด้านหน้าของผู้ขับขี่และยังช่วยป้องกันการกระเด็นออกจากตัวรถได้อีกด้วย (ชาวสตั๊นท์ห้าม Stopie บน Gold Wing เด็ดขาด!)

•PersonalAirbag–ถุงลมส่วนตัว

ห้าม! คิดลึกเด็ดขาด…เพราะถุงลมส่วนตัวที่ว่านี้คือ ชุดแจ็คเก็ตที่มีระบบถุงลมนิรภัยติดตั้งอยู่ ที่มาของมันเกิดขึ้นในปี 1999 เมื่อบริษัท Point Two Air Jacket ตั้งใจผลิตเสื้อแจ็คเก็ตแบบมีถุงลมนิรภัยส�าหรับ “ขี่ม้า” เพราะนักแข่งขี่ม้าส่วนใหญ่มักจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการล้มของม้าโดยเฉพาะถ้าม้าทับตัวผู้ขี่ บริษัท Point Two Air Jacket จึงออกแบบเสื้อขี่ม้าที่สามารถพองตัวออกมาได้เมื่อสายที่ต่อกับถุงลมถูกดึงออกโดยแอคชั่นของการหลุดออกจากตัวม้า ต่อมาบริษัท Hit Air ก็ได้ส่งเสื้อ Airbag ของตัวเองลงแข่งกับคู่แข่ง นั่นคือจุดเริ่มต้นของการมีถุงลมนิรภัยติดตัวผู้ขี่(ม้า)....ว่าแต่มันมาอยู่กับตัวผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ได้อย่างไร ?

TECHKNOW

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201336 37

Page 38: FRM issue 8 (June 2013)

•Learnfromthepast,lookatthefastestone.เรียนรู้จากอดีตจากที่ที่ใช้ความเร็วสูงสุดไม่มีที่ไหนจะพัฒนาชุดขับขี่มอเตอร์ไซค์ได้ดีไปกว่าสนามแข่งรถ โดยเฉพาะรายการ MotoGP

ซึ่งซีซี. รถนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เริ่มต้นการแข่งขันในปี 1949 และในการแข่งขันนี้แหละที่เหล่าผู้ผลิตชุดป้องกันอย่าง ชุดแข่ง ถุงมือ หมวกกันน็อค และรองเท้า ต่างก็เข้ามามีบทบาทส�าคัญในการแข่งขัน นั่นก็คือ “ช่วยชีวิต” นักแข่ง...แบรนด์ดังอย่าง Dainese (ได-เนส-เซ่) ที่รุ่นคุณปู่อย่าง จีอาโคโม่ อกอสตีนี่ ใส่ในปี 1976 ก็ถูกพัฒนามาเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 2013 นี้เองที่เราได้เห็นชุดแข่ง D-air ชุดหนังเรซซิ่งสูทที่มีระบบ Airbag อยู่ภายใน แต่ไม่ได้มีแค่ Dianese เจ้าเดียวที่ใช้เทคโนโลยีนี้ แต่คู่แข่งอย่าง Alpinestars ก็ใช้ระบบ Air-Tech ใส่เข้าไปช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับนักแข่งเช่นกัน เพื่อให้เห็นภาพการท�างานชัดขึ้น...เราจึงขอเจาะข้อมูลการท�างานและความสามารถในการป้องกันของชุด D-air จาก Dainese เป็นตัวอย่างแล้วกันครับ

•Dainese

ระบบถุงลมนิรภัยของ Dainese ถูกออกแบบและพัฒนามาตั้งแต่ปี 1998 ต่อมาในปี 2000 โปรเจ็คชุดแข่ง D-air ก็ได้เริ่มต้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ปี 2004 การศึกษาวิจัยเรื่องชุด D-air เริ่มเข้มข้นขึ้นเมื่อทีมวิจัยศึกษาท่าทางการขับขี่และมุมองศาการล้มของรถและคน ในที่สุดปี 2006 ชุด D-air ก็ถูกทดสอบจริง ล้มจริงเจ็บจริงในสนาม (ทดสอบแบบปิด) ในปี 2007 ซิโมเน่ กรอสกี้ มีโอกาสได้ทดสอบ D-air โดยไม่ได้ตั้งใจเป็นครั้งแรกในรอบซ้อมที่สนามแข่งวาเลนเซีย...การพัฒนาค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่งล่าสุดในศึก MotoGP 2013 นักแข่งที่ Dainese เป็นสปอนเซอร์ก็ได้ใช้ชุดแข่ง Airbag กันทุกคน

•D-airป้องกันอะไรได้บ้าง?

ป้องกันไหปลาร้า - เพราะจากการค้นคว้าข้อมูลท�าให้ทราบว่านักแข่งส่วนใหญ่ที่ไหปลาร้าหักเกิดจากหมวกกน็อคกระแทกย้อนกลับมาที่ร่างกายผู้ขี่

คอ – เพราะคอนั้นสามารถหมุนไปมาได้ขณะที่รถล้มแล้วกลิ้ง...การที่ถุงลมพองออกมาช่วย “บล็อค” คอไว้ให้ขยับเขยื่อนได้น้อยที่สุดจะช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บช่วงคอได้มากขึ้น

หัวไหล่ – แม้จะมีการ์ดเสริมช่วยป้องกันหัวไหล่อยู่แล้ว แต่ D-air ก็จะช่วยป้องกันการกระแทกอย่างรุนแรงได้อีกชั้น

•การท�างานของD-airระบบถุงลมนิรภัยของ D-air ใช้หลักการพื้นฐาน

เดียวกับถุงลมนิรภัยในรถ คือ เซ็นเซอร์ตรวจจับ จากนั้นก็สั่งการให้แก๊สที่บรรจุไว้ระเบิดออกแล้วกางถุงลมออกมา เรามาดูกันว่าขั้นตอนการท�างานอย่างละเอียดของมันเป็นอย่างไร

1. เซ็นเซอร์ที่ฝังอยู่ในโหนกด้านหลังของชุดหนังจะตรวจจับว่าตอนนี้รถก�าลังเสียหลักและตัวผู้ขี่ก�าลังอยู่ในต�าแหน่งไหน ไม่ว่าจะเป็นการสไลด์ล้มแบบ Lowside หรือเป็นการเหวี่ยงตัวนักแข่งออกจากรถแบบ Highside

เซ็นเซอร์ที่ใช้ตรวจจับความเคลื่อนไหวมีดังนี้- ระบบซอฟท์แวร์ที่จะสั่งการให้ระบบท�างาน- เครื่องวัดอัตราเร่ง 3 ตัว- เครื่องวัดองศา 3 ตัว- ระบบสัญญาณดาวเทียม A-GPS- ความจุ 2 GB ในตัวเซ็นเซอร์หลัก- ไฟ LED แสดงผลส�าหรับผู้ใช้- แบตเตอรี่ลิเธียมโพลีเมอร์ชุดถุงลมมีดังนี้- โครงสร้างส�าหรับถุงลม- ถุงลมความจุ 4 ลิตร- ระบบอัดแก๊สแบบเย็น2. จากนั้นเมื่อเซ็นเซอร์ตรวจพบถึงท่านั่งหรือ

องศาที่ผิดปกติของผู้ขี่และรถ ภายใน 0.015 วินาทีระบบถุงลมนิรภัยจะท�างาน ในกรณีที่ล้มไม่รุนแรงมากระบบจะช่วยค�านวณพร้อมเริ่มท�างานให้ช้ากว่าปกติได้เช่นกัน ระยะเวลาการกางออกของถุงลมอยู่ที่ราวๆ 0.030 วินาที และจะกางเสร็จสมบูรณ์ภายใน 0.080 วินาที

ค�าถามคือ...แล้วถ้านักแข่ง “แบนโค้ง” มากๆ จนมุมองศามันคล้ายกับการล้มล่ะ ค�าตอบก็คือระบบสัญญาณดาวเทียมจะท�าหน้าที่ค�านวณรวมถึงข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้จะเป็นตัวช่วยให้ระบบประมวลผลได้ดีและแม่นย�าขึ้น...เอาเป็นว่าชุด D-air ผ่านการทดสอบมาแล้วจากหลากหลายสนามในการแข่งขันความเร็ว 2 ล้อที่และแรงที่สุดก็ว่าได้ เทคโนโลยีต่างๆ จากการแข่งนี้เองที่จะถูกพัฒนาและถ่ายทอดสู่ชุดป้องกันส�าหรับผู้ใช้ธรรมดาอย่างเราๆ อย่างเช่นแบรนด์ Clover, RS Taichi, Alpinestars, Spidi และอีกหลากหลายแบรนด์ที่ตอนนี้ต่างผลิตเสื้อแจ็คเก็ตแบบมี Airbag ออกมาเอาใจชาว 2 ล้อที่ห่วงความปลอดภัย...เนื่องจากขณะที้หลากหลายค่ายผู้ผลิตไรดิ้งเกียร์ที่มี Airbag ยังคงซุ่มเก็บข้อมูลของตัวเองไว้อยู่ท�าให้ผู้บริโภคอย่างเรารู้ข้อมูลเกี่ยวกับชุดเหล่านี้น้อยมาก...เอาเป็นว่าถ้ามีข้อมูลดีๆ หลุดมาเมื่อไหร่เราจะมาอัพเดทกันต่อทันทีครับกับชุดถุงลมนิรภัย Airbag!

TECHKNOW

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201338 39

Page 39: FRM issue 8 (June 2013)

•Learnfromthepast,lookatthefastestone.เรียนรู้จากอดีตจากที่ที่ใช้ความเร็วสูงสุดไม่มีที่ไหนจะพัฒนาชุดขับขี่มอเตอร์ไซค์ได้ดีไปกว่าสนามแข่งรถ โดยเฉพาะรายการ MotoGP

ซึ่งซีซี. รถนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เริ่มต้นการแข่งขันในปี 1949 และในการแข่งขันนี้แหละที่เหล่าผู้ผลิตชุดป้องกันอย่าง ชุดแข่ง ถุงมือ หมวกกันน็อค และรองเท้า ต่างก็เข้ามามีบทบาทส�าคัญในการแข่งขัน นั่นก็คือ “ช่วยชีวิต” นักแข่ง...แบรนด์ดังอย่าง Dainese (ได-เนส-เซ่) ที่รุ่นคุณปู่อย่าง จีอาโคโม่ อกอสตีนี่ ใส่ในปี 1976 ก็ถูกพัฒนามาเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 2013 นี้เองที่เราได้เห็นชุดแข่ง D-air ชุดหนังเรซซิ่งสูทที่มีระบบ Airbag อยู่ภายใน แต่ไม่ได้มีแค่ Dianese เจ้าเดียวที่ใช้เทคโนโลยีนี้ แต่คู่แข่งอย่าง Alpinestars ก็ใช้ระบบ Air-Tech ใส่เข้าไปช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับนักแข่งเช่นกัน เพื่อให้เห็นภาพการท�างานชัดขึ้น...เราจึงขอเจาะข้อมูลการท�างานและความสามารถในการป้องกันของชุด D-air จาก Dainese เป็นตัวอย่างแล้วกันครับ

•Dainese

ระบบถุงลมนิรภัยของ Dainese ถูกออกแบบและพัฒนามาตั้งแต่ปี 1998 ต่อมาในปี 2000 โปรเจ็คชุดแข่ง D-air ก็ได้เริ่มต้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ปี 2004 การศึกษาวิจัยเรื่องชุด D-air เริ่มเข้มข้นขึ้นเมื่อทีมวิจัยศึกษาท่าทางการขับขี่และมุมองศาการล้มของรถและคน ในที่สุดปี 2006 ชุด D-air ก็ถูกทดสอบจริง ล้มจริงเจ็บจริงในสนาม (ทดสอบแบบปิด) ในปี 2007 ซิโมเน่ กรอสกี้ มีโอกาสได้ทดสอบ D-air โดยไม่ได้ตั้งใจเป็นครั้งแรกในรอบซ้อมที่สนามแข่งวาเลนเซีย...การพัฒนาค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่งล่าสุดในศึก MotoGP 2013 นักแข่งที่ Dainese เป็นสปอนเซอร์ก็ได้ใช้ชุดแข่ง Airbag กันทุกคน

•D-airป้องกันอะไรได้บ้าง?

ป้องกันไหปลาร้า - เพราะจากการค้นคว้าข้อมูลท�าให้ทราบว่านักแข่งส่วนใหญ่ที่ไหปลาร้าหักเกิดจากหมวกกน็อคกระแทกย้อนกลับมาที่ร่างกายผู้ขี่

คอ – เพราะคอนั้นสามารถหมุนไปมาได้ขณะที่รถล้มแล้วกลิ้ง...การที่ถุงลมพองออกมาช่วย “บล็อค” คอไว้ให้ขยับเขยื่อนได้น้อยที่สุดจะช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บช่วงคอได้มากขึ้น

หัวไหล่ – แม้จะมีการ์ดเสริมช่วยป้องกันหัวไหล่อยู่แล้ว แต่ D-air ก็จะช่วยป้องกันการกระแทกอย่างรุนแรงได้อีกชั้น

•การท�างานของD-airระบบถุงลมนิรภัยของ D-air ใช้หลักการพื้นฐาน

เดียวกับถุงลมนิรภัยในรถ คือ เซ็นเซอร์ตรวจจับ จากนั้นก็สั่งการให้แก๊สที่บรรจุไว้ระเบิดออกแล้วกางถุงลมออกมา เรามาดูกันว่าขั้นตอนการท�างานอย่างละเอียดของมันเป็นอย่างไร

1. เซ็นเซอร์ที่ฝังอยู่ในโหนกด้านหลังของชุดหนังจะตรวจจับว่าตอนนี้รถก�าลังเสียหลักและตัวผู้ขี่ก�าลังอยู่ในต�าแหน่งไหน ไม่ว่าจะเป็นการสไลด์ล้มแบบ Lowside หรือเป็นการเหวี่ยงตัวนักแข่งออกจากรถแบบ Highside

เซ็นเซอร์ที่ใช้ตรวจจับความเคลื่อนไหวมีดังนี้- ระบบซอฟท์แวร์ที่จะสั่งการให้ระบบท�างาน- เครื่องวัดอัตราเร่ง 3 ตัว- เครื่องวัดองศา 3 ตัว- ระบบสัญญาณดาวเทียม A-GPS- ความจุ 2 GB ในตัวเซ็นเซอร์หลัก- ไฟ LED แสดงผลส�าหรับผู้ใช้- แบตเตอรี่ลิเธียมโพลีเมอร์ชุดถุงลมมีดังนี้- โครงสร้างส�าหรับถุงลม- ถุงลมความจุ 4 ลิตร- ระบบอัดแก๊สแบบเย็น2. จากนั้นเมื่อเซ็นเซอร์ตรวจพบถึงท่านั่งหรือ

องศาที่ผิดปกติของผู้ขี่และรถ ภายใน 0.015 วินาทีระบบถุงลมนิรภัยจะท�างาน ในกรณีที่ล้มไม่รุนแรงมากระบบจะช่วยค�านวณพร้อมเริ่มท�างานให้ช้ากว่าปกติได้เช่นกัน ระยะเวลาการกางออกของถุงลมอยู่ที่ราวๆ 0.030 วินาที และจะกางเสร็จสมบูรณ์ภายใน 0.080 วินาที

ค�าถามคือ...แล้วถ้านักแข่ง “แบนโค้ง” มากๆ จนมุมองศามันคล้ายกับการล้มล่ะ ค�าตอบก็คือระบบสัญญาณดาวเทียมจะท�าหน้าที่ค�านวณรวมถึงข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้จะเป็นตัวช่วยให้ระบบประมวลผลได้ดีและแม่นย�าขึ้น...เอาเป็นว่าชุด D-air ผ่านการทดสอบมาแล้วจากหลากหลายสนามในการแข่งขันความเร็ว 2 ล้อที่และแรงที่สุดก็ว่าได้ เทคโนโลยีต่างๆ จากการแข่งนี้เองที่จะถูกพัฒนาและถ่ายทอดสู่ชุดป้องกันส�าหรับผู้ใช้ธรรมดาอย่างเราๆ อย่างเช่นแบรนด์ Clover, RS Taichi, Alpinestars, Spidi และอีกหลากหลายแบรนด์ที่ตอนนี้ต่างผลิตเสื้อแจ็คเก็ตแบบมี Airbag ออกมาเอาใจชาว 2 ล้อที่ห่วงความปลอดภัย...เนื่องจากขณะที้หลากหลายค่ายผู้ผลิตไรดิ้งเกียร์ที่มี Airbag ยังคงซุ่มเก็บข้อมูลของตัวเองไว้อยู่ท�าให้ผู้บริโภคอย่างเรารู้ข้อมูลเกี่ยวกับชุดเหล่านี้น้อยมาก...เอาเป็นว่าถ้ามีข้อมูลดีๆ หลุดมาเมื่อไหร่เราจะมาอัพเดทกันต่อทันทีครับกับชุดถุงลมนิรภัย Airbag!

TECHKNOW

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201338 39

Page 40: FRM issue 8 (June 2013)

Rainy season & Long distance trip service: Staff Bike

เตรยีมรถรบัหน้าฝนและเดนิทางไกลตอน: รถกองบก.

�Doc say no! – คุณหมอบอกไม่....ไม่รอดทันทีที่เจ้าหน้าที่ (หัวหน้าช่าง) รับรถของทีมงาน FRM ก็ถึงกับส่ายหัว มัน

เป็น Yamaha Nouvo Elegance ปี 2010 ที่รับใช้เรามานานถึงเกือบ 3 ปี แถมวิ่งไป 27,xxx กม. แต่ที่คุณหมอบอกว่าน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะถ้าต้องเดินทางไกล นั่นก็คือ ยาง...ยางที่เราใช้คือ Dunlop TT900 ซึ่งมันก็ยังคงเกาะถนนได้ดีแม้ว่าจะใช้มันมานานกว่า 12,000 กม. แล้วก็ตาม แต่ว่า TT900 เหมือนจะแพ้น�้าอย่างแรงโดยเฉพาะเมื่อมันเก่าขนาดนี้ ต่อมาคือชุดขับเคลื่อนที่เริ่มออกอาการสั่นและดังเวลาออกตัว อาการอื่นๆ เท่าที่พบก็มี เสียงเครื่องยนต์ดังเหมือนน�้ามันเครื่องจะขาด สายคันเร่งฝืดเหมือนจะขาด สายเบรกหลังฝืด ปลอกแฮนด์ลื่น ฯลฯ แม้อาการจะไม่เยอะมาก แต่ก็น่าจะเป็นภาระให้พาช่างปวดหัวได้ 1 วันเต็มๆ หลังจากรับรถแล้วคุณหมอบอก...”ไม่รอดแน่แบบนี้” เปลี่ยนยางแล้วยกชุดอะไหล่ใหม่ด่วน

�New Old Tyres – ยางเก่าใหม่

หลังจากใช้บริการความหนึบและความนุ่มของ Dunlop TT900 ได้พักใหญ่ แต่ด้วยเวลา (และงบ) ที่มีจ�ากัดท�าให้เราเลือกใช้บริการยางรุ่นเก่าที่เคยใช้แต่เป็นยางใหม่ปี 2013 นั่นก็คือ IRC แบบ Tubeless (ทู๊ป-เลส หรือ ทิ๊วป์-เลส) ข้อดีของยาง Dunlop TT900 ที่เราชื่นชอบก็คือ หน้ายางมันใหญ่มากโดยเฉพาะด้านหน้า เพราะเค้าไม่ผลิตยางหน้าออกมาเราจึงต้องใช้ยางหน้าไซส์ 80/90-16 ซึ่งมันก็สงผลดีต่อการขับขี่และการเบรก แต่ข้อดีของการเปลี่ยนมาใช้ IRC สเป็คโรงงานก็คือ “ความกลม” ของหน้ายางที่จะเพิ่มความเร็วในการพลิกรถและความคล่องตัวส�าหรับขับขี่ในเมือง ราคาค่าตัวยางหน้า 719 บาท ยางหลัง 781 บาท (ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

�New Fuel System Clean Up – ล้างระบบเชื้อเพลิงใหม่

ในช่วงอายุประมาณสองหมื่นกิโลเมตรแรก...เราลืมบอกให้ช่างล้างคาร์บูเรเตอร์ และท�าให้คาร์บูเรเตอร์ไม่เคยถูกล้างมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อบวกความขี้ลืมเข้ากับการเติมน�้ามันแก๊สโซฮอล์เป็นชีวิตจิตใจแล้วยิ่งให้คาร์บูเรเตอร์สกปรกเร็วกว่าปกติ พี่ช่างยังบอกอีกว่าส�าหรับการเดินทางไกลและการเจอกับสายฝน คาร์บูเรเตอร์ที่ดีก็มีความส�าคัญ เพราะถ้ามีเศษสิ่งสกปรกไปอุดตันก็จะท�าให้มันท�างานได้ไม่เต็มที่ เพราะงั้นพี่ช่างจึงจับถอดคาร์บูเรเตอร์เพื่อเช็คล้างทุกส่วน พี่เค้าถอดตั้งแต่ลูกชักยันระบบไฟฟ้าเลยทีเดียว โชคดีที่ตัวคาร์บูเรเตอร์และชิ้นส่วนภายในไม่มีการเสียหาย มีแค่ความสกปรกเท่านั้น เมื่อจัดการกับชุดจ่ายเชื้อเพลิงก็ต้องดูแลชุดดูดอากาศด้วย แน่นอนครับถอดกันมาขนาดนี้แล้วก็ต้องเปลี่ยนกรองอากาศไปด้วยเลยทีเดียวครับ ราคาไส้กรองอากาศ 107 บาท (ไม่รวมภาษี)

Bike Meet Doc [B.M.D]

น้าฝนแบบนี้!! สิ่งแรกที่เราควรค�านึงถึงส�าหรับชาว 2 ล้อก็คือ “ยาง” และยิ่งถ้า

จะต้องเดินทางไกลอย่างเช่น สิ้นเดือนนี้ (23-27 พค.) เราจะเดินทางไปร่วมงาน

Langkawi Bigbike Fiesta ที่เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย การเดินทางไกลข้ามประเทศแบบ

นี้ท�าให้เราต้องตรวจเช็ครถให้ดีเป็นพิเศษ...พารถสุดรักเข้าศูนย์บริการใหญ่ ณ บริษัท

ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จ�ากัด แล้วให้ “คุณหมอ” เช็คดูกันดีกว่าว่าต้องท�าอะไรบ้าง!

Bike Meet Doc

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201340 41

Page 41: FRM issue 8 (June 2013)

Rainy season & Long distance trip service: Staff Bike

เตรยีมรถรบัหน้าฝนและเดนิทางไกลตอน: รถกองบก.

�Doc say no! – คุณหมอบอกไม่....ไม่รอดทันทีที่เจ้าหน้าที่ (หัวหน้าช่าง) รับรถของทีมงาน FRM ก็ถึงกับส่ายหัว มัน

เป็น Yamaha Nouvo Elegance ปี 2010 ที่รับใช้เรามานานถึงเกือบ 3 ปี แถมวิ่งไป 27,xxx กม. แต่ที่คุณหมอบอกว่าน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะถ้าต้องเดินทางไกล นั่นก็คือ ยาง...ยางที่เราใช้คือ Dunlop TT900 ซึ่งมันก็ยังคงเกาะถนนได้ดีแม้ว่าจะใช้มันมานานกว่า 12,000 กม. แล้วก็ตาม แต่ว่า TT900 เหมือนจะแพ้น�้าอย่างแรงโดยเฉพาะเมื่อมันเก่าขนาดนี้ ต่อมาคือชุดขับเคลื่อนที่เริ่มออกอาการสั่นและดังเวลาออกตัว อาการอื่นๆ เท่าที่พบก็มี เสียงเครื่องยนต์ดังเหมือนน�้ามันเครื่องจะขาด สายคันเร่งฝืดเหมือนจะขาด สายเบรกหลังฝืด ปลอกแฮนด์ลื่น ฯลฯ แม้อาการจะไม่เยอะมาก แต่ก็น่าจะเป็นภาระให้พาช่างปวดหัวได้ 1 วันเต็มๆ หลังจากรับรถแล้วคุณหมอบอก...”ไม่รอดแน่แบบนี้” เปลี่ยนยางแล้วยกชุดอะไหล่ใหม่ด่วน

�New Old Tyres – ยางเก่าใหม่

หลังจากใช้บริการความหนึบและความนุ่มของ Dunlop TT900 ได้พักใหญ่ แต่ด้วยเวลา (และงบ) ที่มีจ�ากัดท�าให้เราเลือกใช้บริการยางรุ่นเก่าที่เคยใช้แต่เป็นยางใหม่ปี 2013 นั่นก็คือ IRC แบบ Tubeless (ทู๊ป-เลส หรือ ทิ๊วป์-เลส) ข้อดีของยาง Dunlop TT900 ที่เราชื่นชอบก็คือ หน้ายางมันใหญ่มากโดยเฉพาะด้านหน้า เพราะเค้าไม่ผลิตยางหน้าออกมาเราจึงต้องใช้ยางหน้าไซส์ 80/90-16 ซึ่งมันก็สงผลดีต่อการขับขี่และการเบรก แต่ข้อดีของการเปลี่ยนมาใช้ IRC สเป็คโรงงานก็คือ “ความกลม” ของหน้ายางที่จะเพิ่มความเร็วในการพลิกรถและความคล่องตัวส�าหรับขับขี่ในเมือง ราคาค่าตัวยางหน้า 719 บาท ยางหลัง 781 บาท (ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

�New Fuel System Clean Up – ล้างระบบเชื้อเพลิงใหม่

ในช่วงอายุประมาณสองหมื่นกิโลเมตรแรก...เราลืมบอกให้ช่างล้างคาร์บูเรเตอร์ และท�าให้คาร์บูเรเตอร์ไม่เคยถูกล้างมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อบวกความขี้ลืมเข้ากับการเติมน�้ามันแก๊สโซฮอล์เป็นชีวิตจิตใจแล้วยิ่งให้คาร์บูเรเตอร์สกปรกเร็วกว่าปกติ พี่ช่างยังบอกอีกว่าส�าหรับการเดินทางไกลและการเจอกับสายฝน คาร์บูเรเตอร์ที่ดีก็มีความส�าคัญ เพราะถ้ามีเศษสิ่งสกปรกไปอุดตันก็จะท�าให้มันท�างานได้ไม่เต็มที่ เพราะงั้นพี่ช่างจึงจับถอดคาร์บูเรเตอร์เพื่อเช็คล้างทุกส่วน พี่เค้าถอดตั้งแต่ลูกชักยันระบบไฟฟ้าเลยทีเดียว โชคดีที่ตัวคาร์บูเรเตอร์และชิ้นส่วนภายในไม่มีการเสียหาย มีแค่ความสกปรกเท่านั้น เมื่อจัดการกับชุดจ่ายเชื้อเพลิงก็ต้องดูแลชุดดูดอากาศด้วย แน่นอนครับถอดกันมาขนาดนี้แล้วก็ต้องเปลี่ยนกรองอากาศไปด้วยเลยทีเดียวครับ ราคาไส้กรองอากาศ 107 บาท (ไม่รวมภาษี)

Bike Meet Doc [B.M.D]

น้าฝนแบบนี้!! สิ่งแรกที่เราควรค�านึงถึงส�าหรับชาว 2 ล้อก็คือ “ยาง” และยิ่งถ้า

จะต้องเดินทางไกลอย่างเช่น สิ้นเดือนนี้ (23-27 พค.) เราจะเดินทางไปร่วมงาน

Langkawi Bigbike Fiesta ที่เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย การเดินทางไกลข้ามประเทศแบบ

นี้ท�าให้เราต้องตรวจเช็ครถให้ดีเป็นพิเศษ...พารถสุดรักเข้าศูนย์บริการใหญ่ ณ บริษัท

ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จ�ากัด แล้วให้ “คุณหมอ” เช็คดูกันดีกว่าว่าต้องท�าอะไรบ้าง!

Bike Meet Doc

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201340 41

Page 42: FRM issue 8 (June 2013)

�Valve checking plus ignition system check. – เช็ควาล์วและระบบจุดระเบิด

คุณหมอบอกกับเราว่าถ้ารถวิ่งมาจนเกือบถึง 3 หมื่นกิโลเมตรแบบนี้แถมยังต้องวิ่งไปไกลถึงต่างประเทศ...เราควรต้องเช็ควาล์วดูหน่อย เพราะถ้าวาล์วห่างเกินไปนอกจากท�าให้เกิดเสียงดังแล้วยังท�าให้การท�างานของเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์ด้วย....แต่เมื่อคุณหมอลองเช็ควาล์วด้วยฟีลเลอร์เกจก็พบว่า “วาล์วยังชิดสนิทดี” คงเป็นเพราะวาล์วแบบโรลเลอร์ที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของตัวมันเองออกไปอีก ต่อมาที่ระบบจุดระเบิด ดูจากสภาพภายนอกแล้วพวกคอยล์หัวเทียนยังดีอยู่ ที่น่าเปลี่ยนก็มีแค่หัวเทียน...ราคาหัวเทียนใหม่เอี่ยมแกะกล่องจากศูนย์ยามาฮ่าอยู่ที่ 73 บาท พี่ช่างบอกกับเราก่อนจะยัดหัวเทียนใหม่เข้าไปว่า “ใช้แก๊สโซฮอล์แบบนี้เปลี่ยนบ่อยกว่าปกติก็ดีนะครับ จะได้จุดระเบิดเต็มสูบตลอดเวลา”

�V-Belt and transmission checked – ตรวจให้เม็ด V-Belt และชุดขับเคลื่อน

ต่อมากับส่วนที่ส�าคัญที่สุดของที่สุดก็ว่าได้ มันคือห้องสายพานและระบบขับเคลื่อน...คุณคงไม่อยากไปสายพานขาดอยู่แถวๆ ที่โล่งที่ไม่มีร้านซ่อมรถหรอกนะครับ การตรวจสอบชุดสายพานเป็นเรื่องที่ควรท�าเพราะเราไม่สามารถเห็นหน้าตาของสายพานได้เหมือนกับการตรวจสอบโซ่ และเมื่อถอดชุดสายพานออกมาดูแล้ว...พี่ช่างก็พยายามหาที่มาของอาการ "สั่น" และเสียงดังเวลาออกตัวหรือวิ่งรอบต�่า หลังจากใช้เวลาแกะงัดแงะอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ได้ค�าตอบ นั่นก็คือเจ้าตัวรองสปริงชุดคลัทช์แรงเหวี่ยงที่เกิดการสึกหรอ ที่มาของอาการสึกหรอนี้ก็คือการ “ไม่ได้อัดจารบี” เมื่อครบระยะที่ก�าหนด เห็นมั้ยครับ แค่การอัดจารบีตามระยะก�าหนดก็ส่งผลให้ขับขี่ได้

ไม่สมบูรณ์เหมือนกัน....ว่าแล้วก็จัดไป! เปลี่ยนชุดแหวนรองสปริงใหม่พร้อมซีลและอะไหล่จุกจิกใหม่ทุกชิ้น ไม่มีการซ่อมไม่มีการ “ใช้ต่อไป” FRM จับเปลี่ยนใหม่หมดครับ!

หลังจากตรวจเช็คเม็ดและสายพานแล้วก็พบว่าสภาพยังดีอยู่มาก (เปลี่ยนตอน 20,000 กม.) พี่ช่างนอกจากเช็คตามอาการแล้วยังเช็คนอกเหนือจากอาการให้ด้วย อย่างเช่น ชุดคลัทช์แรงเหวี่ยงทั้งชุดและทุกชิ้นส่วนให้ห้องสายพาน...ไม่แน่ใจว่าช่างศูนย์อื่นบริการแบบนี้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ พี่ช่างที่ศูนย์ใหญ่ของยามาฮ่าบริการแบบจัดเต็มจริงๆ ครับ

�New Cables – สายเคเบิ้ลใหม่หมด

ต่อมาที่ดูไม่ค่อยส�าคัญแต่ก็ส�าคัญ เพราะสีหน้าคุณคงดูไม่ดีแน่ๆ ถ้าสายคันเร่งไปขาดกลางทางตรงที่รกร้างว่างเปล่าที่ไม่มีใครช่วยท่านได้ ส�าหรับใครที่ชอบเดินทางบ่อยๆ โดยใช้รถออโตเมติก เราแนะน�าให้เช็คสายคันเร่งดูก่อนเดินทางด้วยนะครับ บางครั้งการที่สายคันเร่งไปขาดกลางทางแล้วมีอะไหล่ไปเปลี่ยนมันก็ไม่ได้ง่ายเลยหละครับ เพราะการเปลี่ยนสายคันเร่งและสายเบรกนั้น “ต้องรื้อแทบทั้งคัน” เพราะสายเคเบิ้ลเหล่านี้จะเดินลัดเลาะไปตามเฟรมรถที่ซ่อนอยู่ใต้แฟริ่งอย่างแนบเนียน สายคันเร่งใหม่แม้ราคาจะไม่ค่อยน่ายิ้มเท่าไหร่ แต่ถ้าคิดว่าได้ของแท้แถมบริการเปลี่ยนให้ด้วยแบบนี้ ราคา 555 บาท ส่วนสายเบรกหลังอยู่ที่ 389 บาท...ไหนๆ ก็เปลี่ยนทั้งทีเราจึงเปลี่ยนปลอกแฮนด์และปลอกคันเร่งไปด้วยเลยทีเดียว ค่าตัวปลอกแฮนด์ใหม่ 24 บาท ปลอกคันเร่ง 47 บาท

�New Lubricant for new trip – เปลี่ยนของเหลวใหม่รับทริปใหม่ส�าหรับนักออกทริปคงรู้ดีว่า...ไม่ว่ารถจะวิ่งมาแค่ไหนหรือจะเหลืออีกเท่าไหร่ถึงจะต้องเปลี่ยนน�้ามันเครื่อง แต่เพื่อรถ

สุดรักแล้ว การเปลี่ยนน�้ามันเครื่อง, น�้ามันเฟืองท้าย, น�้ามันเบรก, น�้ายาหม้อน�้า เป็นอะไรที่ไม่เสียหายแต่กลับเป็นผลดีกับเครื่องยนต์ซะอีก...เราไม่ลังเลสั่งน�้าเขียว 1 ขวด...เฮ้ย!! ไม่ใช่ สั่ง Yamalube Eco Plus น�้ามันเครื่องยนต์ส�าหรับรถออโตเมติกแบบกึ่งสังเคราะห์ 1 ขวด ตามด้วยน�้ามันเฟือง 2 น�้ามันเบรกหน้าเช็คแล้วยังโอเค น�้ายาหม้อน�้ายังใหม่...ส�าหรับคนที่เดินทางเยอะอย่างเราจะเลือกใช้น�้ามันที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ ถึงแม้จะมีน�้ามันเครื่องตามท้องตลาดมากมายแต่เราคิดว่าน�้ามันจากค่ายผู้ผลิตเนี่ยแหละชัวร์ที่สุด...ท�าไมต้อง Yamalube Eco Plus ? เพราะเราเคยไปทดสอบวิ่งใช้งานแบบโหดๆ บนเส้นทางกว่า 1,500 กม. จากประเทศไทยไปสู่มาเลเซียมาแล้ว น�้ามันเครื่องที่ดีนอกจากช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์แล้ว มันยังช่วยให้เครื่องยนต์ท�างานเรียบไม่มีสะดุดไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นยังไงเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อนแค่ไหนก็ตาม ที่ส�าคัญ น�้ามันเครื่อง Yamalube Eco Plus สีเขียวแพงกว่า Yamalube สีแดงสูตรธรรมดาแค่ 40 บาทเท่านั้น รถเราเราเลือกแล้ว...แล้วคุณล่ะรักรถแค่ไหน?

สรุปรายการเซอร์วิสทั้งหมด1. เปลี่ยนสายคันเร่ง2. เปลี่ยนสายเบรกหลัง3. เปลี่ยนตัวรองสปริงคลัทช์แรงเหวี่ยง4. เปลี่ยนหัวเทียน-กรองอากาศ5. เปลี่ยนยางหน้า-หลัง6. เปลี่ยนปลอกแฮนด์ซ้าย-ขวา7. เปลี่ยนน�้ามันเครื่อง น�้ามันเฟือง8. เช็คระบบสายพาน9. ล้างคาร์บูเรเตอร์10. เช็คระบบไฟ11. เช็ค-ตั้งวาล์ว12. เช็คระบบเบรก13. เช็คหมดทั้งคันทั้งหมดนี่ใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?....ค่าอะไหล่รวม

2,965 บาท ส่วนค่าแรงจ�าไม่ได้ครับ

ส�าหรับผู้ที่ต้องการใช้บริการศูนย์บริการอย่างเป็นทางการของยามาฮ่าเพื่อรับบริการที่ได้มาตรฐานสามารถโทรเช็ค Call Center เพื่อถามหาพิกัดศูนย์บริการใกล้บ้านได้ครับ ติดต่อ 02-263-9999 ส�าหรับใครที่ต้องการเช็คราคาอะไหล่แต่ละชิ้นก็สามารถเข้าไปดู “สมุดภาพอะไหล่” ได้ที่ www.yamaha-motor.co.th ครับ...

Bike Meet Doc

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201342 43

Page 43: FRM issue 8 (June 2013)

�Valve checking plus ignition system check. – เช็ควาล์วและระบบจุดระเบิด

คุณหมอบอกกับเราว่าถ้ารถวิ่งมาจนเกือบถึง 3 หมื่นกิโลเมตรแบบนี้แถมยังต้องวิ่งไปไกลถึงต่างประเทศ...เราควรต้องเช็ควาล์วดูหน่อย เพราะถ้าวาล์วห่างเกินไปนอกจากท�าให้เกิดเสียงดังแล้วยังท�าให้การท�างานของเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์ด้วย....แต่เมื่อคุณหมอลองเช็ควาล์วด้วยฟีลเลอร์เกจก็พบว่า “วาล์วยังชิดสนิทดี” คงเป็นเพราะวาล์วแบบโรลเลอร์ที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของตัวมันเองออกไปอีก ต่อมาที่ระบบจุดระเบิด ดูจากสภาพภายนอกแล้วพวกคอยล์หัวเทียนยังดีอยู่ ที่น่าเปลี่ยนก็มีแค่หัวเทียน...ราคาหัวเทียนใหม่เอี่ยมแกะกล่องจากศูนย์ยามาฮ่าอยู่ที่ 73 บาท พี่ช่างบอกกับเราก่อนจะยัดหัวเทียนใหม่เข้าไปว่า “ใช้แก๊สโซฮอล์แบบนี้เปลี่ยนบ่อยกว่าปกติก็ดีนะครับ จะได้จุดระเบิดเต็มสูบตลอดเวลา”

�V-Belt and transmission checked – ตรวจให้เม็ด V-Belt และชุดขับเคลื่อน

ต่อมากับส่วนที่ส�าคัญที่สุดของที่สุดก็ว่าได้ มันคือห้องสายพานและระบบขับเคลื่อน...คุณคงไม่อยากไปสายพานขาดอยู่แถวๆ ที่โล่งที่ไม่มีร้านซ่อมรถหรอกนะครับ การตรวจสอบชุดสายพานเป็นเรื่องที่ควรท�าเพราะเราไม่สามารถเห็นหน้าตาของสายพานได้เหมือนกับการตรวจสอบโซ่ และเมื่อถอดชุดสายพานออกมาดูแล้ว...พี่ช่างก็พยายามหาที่มาของอาการ "สั่น" และเสียงดังเวลาออกตัวหรือวิ่งรอบต�่า หลังจากใช้เวลาแกะงัดแงะอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ได้ค�าตอบ นั่นก็คือเจ้าตัวรองสปริงชุดคลัทช์แรงเหวี่ยงที่เกิดการสึกหรอ ที่มาของอาการสึกหรอนี้ก็คือการ “ไม่ได้อัดจารบี” เมื่อครบระยะที่ก�าหนด เห็นมั้ยครับ แค่การอัดจารบีตามระยะก�าหนดก็ส่งผลให้ขับขี่ได้

ไม่สมบูรณ์เหมือนกัน....ว่าแล้วก็จัดไป! เปลี่ยนชุดแหวนรองสปริงใหม่พร้อมซีลและอะไหล่จุกจิกใหม่ทุกชิ้น ไม่มีการซ่อมไม่มีการ “ใช้ต่อไป” FRM จับเปลี่ยนใหม่หมดครับ!

หลังจากตรวจเช็คเม็ดและสายพานแล้วก็พบว่าสภาพยังดีอยู่มาก (เปลี่ยนตอน 20,000 กม.) พี่ช่างนอกจากเช็คตามอาการแล้วยังเช็คนอกเหนือจากอาการให้ด้วย อย่างเช่น ชุดคลัทช์แรงเหวี่ยงทั้งชุดและทุกชิ้นส่วนให้ห้องสายพาน...ไม่แน่ใจว่าช่างศูนย์อื่นบริการแบบนี้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ พี่ช่างที่ศูนย์ใหญ่ของยามาฮ่าบริการแบบจัดเต็มจริงๆ ครับ

�New Cables – สายเคเบิ้ลใหม่หมด

ต่อมาที่ดูไม่ค่อยส�าคัญแต่ก็ส�าคัญ เพราะสีหน้าคุณคงดูไม่ดีแน่ๆ ถ้าสายคันเร่งไปขาดกลางทางตรงที่รกร้างว่างเปล่าที่ไม่มีใครช่วยท่านได้ ส�าหรับใครที่ชอบเดินทางบ่อยๆ โดยใช้รถออโตเมติก เราแนะน�าให้เช็คสายคันเร่งดูก่อนเดินทางด้วยนะครับ บางครั้งการที่สายคันเร่งไปขาดกลางทางแล้วมีอะไหล่ไปเปลี่ยนมันก็ไม่ได้ง่ายเลยหละครับ เพราะการเปลี่ยนสายคันเร่งและสายเบรกนั้น “ต้องรื้อแทบทั้งคัน” เพราะสายเคเบิ้ลเหล่านี้จะเดินลัดเลาะไปตามเฟรมรถที่ซ่อนอยู่ใต้แฟริ่งอย่างแนบเนียน สายคันเร่งใหม่แม้ราคาจะไม่ค่อยน่ายิ้มเท่าไหร่ แต่ถ้าคิดว่าได้ของแท้แถมบริการเปลี่ยนให้ด้วยแบบนี้ ราคา 555 บาท ส่วนสายเบรกหลังอยู่ที่ 389 บาท...ไหนๆ ก็เปลี่ยนทั้งทีเราจึงเปลี่ยนปลอกแฮนด์และปลอกคันเร่งไปด้วยเลยทีเดียว ค่าตัวปลอกแฮนด์ใหม่ 24 บาท ปลอกคันเร่ง 47 บาท

�New Lubricant for new trip – เปลี่ยนของเหลวใหม่รับทริปใหม่ส�าหรับนักออกทริปคงรู้ดีว่า...ไม่ว่ารถจะวิ่งมาแค่ไหนหรือจะเหลืออีกเท่าไหร่ถึงจะต้องเปลี่ยนน�้ามันเครื่อง แต่เพื่อรถ

สุดรักแล้ว การเปลี่ยนน�้ามันเครื่อง, น�้ามันเฟืองท้าย, น�้ามันเบรก, น�้ายาหม้อน�้า เป็นอะไรที่ไม่เสียหายแต่กลับเป็นผลดีกับเครื่องยนต์ซะอีก...เราไม่ลังเลสั่งน�้าเขียว 1 ขวด...เฮ้ย!! ไม่ใช่ สั่ง Yamalube Eco Plus น�้ามันเครื่องยนต์ส�าหรับรถออโตเมติกแบบกึ่งสังเคราะห์ 1 ขวด ตามด้วยน�้ามันเฟือง 2 น�้ามันเบรกหน้าเช็คแล้วยังโอเค น�้ายาหม้อน�้ายังใหม่...ส�าหรับคนที่เดินทางเยอะอย่างเราจะเลือกใช้น�้ามันที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ ถึงแม้จะมีน�้ามันเครื่องตามท้องตลาดมากมายแต่เราคิดว่าน�้ามันจากค่ายผู้ผลิตเนี่ยแหละชัวร์ที่สุด...ท�าไมต้อง Yamalube Eco Plus ? เพราะเราเคยไปทดสอบวิ่งใช้งานแบบโหดๆ บนเส้นทางกว่า 1,500 กม. จากประเทศไทยไปสู่มาเลเซียมาแล้ว น�้ามันเครื่องที่ดีนอกจากช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์แล้ว มันยังช่วยให้เครื่องยนต์ท�างานเรียบไม่มีสะดุดไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นยังไงเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อนแค่ไหนก็ตาม ที่ส�าคัญ น�้ามันเครื่อง Yamalube Eco Plus สีเขียวแพงกว่า Yamalube สีแดงสูตรธรรมดาแค่ 40 บาทเท่านั้น รถเราเราเลือกแล้ว...แล้วคุณล่ะรักรถแค่ไหน?

สรุปรายการเซอร์วิสทั้งหมด1. เปลี่ยนสายคันเร่ง2. เปลี่ยนสายเบรกหลัง3. เปลี่ยนตัวรองสปริงคลัทช์แรงเหวี่ยง4. เปลี่ยนหัวเทียน-กรองอากาศ5. เปลี่ยนยางหน้า-หลัง6. เปลี่ยนปลอกแฮนด์ซ้าย-ขวา7. เปลี่ยนน�้ามันเครื่อง น�้ามันเฟือง8. เช็คระบบสายพาน9. ล้างคาร์บูเรเตอร์10. เช็คระบบไฟ11. เช็ค-ตั้งวาล์ว12. เช็คระบบเบรก13. เช็คหมดทั้งคันทั้งหมดนี่ใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?....ค่าอะไหล่รวม

2,965 บาท ส่วนค่าแรงจ�าไม่ได้ครับ

ส�าหรับผู้ที่ต้องการใช้บริการศูนย์บริการอย่างเป็นทางการของยามาฮ่าเพื่อรับบริการที่ได้มาตรฐานสามารถโทรเช็ค Call Center เพื่อถามหาพิกัดศูนย์บริการใกล้บ้านได้ครับ ติดต่อ 02-263-9999 ส�าหรับใครที่ต้องการเช็คราคาอะไหล่แต่ละชิ้นก็สามารถเข้าไปดู “สมุดภาพอะไหล่” ได้ที่ www.yamaha-motor.co.th ครับ...

Bike Meet Doc

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201342 43

Page 44: FRM issue 8 (June 2013)

Circuito de Jerezบกุแดนกระทงิดเุจาะสนาม “เฮเรซ”

นามที่ 3 กับการแข่งขัน MotoGP ฤดูกาล 2013 บินมาแข่งกันที่

ประเทศสเปน อาณาจักรที่ปัจจุบันส่งออกนักกีฬาเจ๋งๆ ไปคว้าชัยชนะจากกีฬาประเภทต่างๆ ทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่นักแข่งความเร็วทางเรียบที่เกินครึ่งเป็นชาวสเปน...ว่าแล้วก็มาเริ่มที่ประวัติของสนามกันก่อนดีกว่า

•CircuitodeJerez

ชื่อสนามเต็มๆ ฟังดูแล้วอาจรู้สึกแปลกๆ แต่มัน

อ่านออกเสียงว่า “เซอร์-กู-อิต-โต้ เด เฮ-เรซ” แต่

สนามนี้ถูกเรียกสั้นๆว่า "เฮเรซ" ว่าแต่ท�าไมเขียนว่า

Jerez แล้วอ่านว่าเฮเรซล่ะ....ก็เพราะว่าตัว J นั้นไม่มี

อยู่ในภาษาของสเปน เวลาที่ออกเสียงจึงต้องออก

เป็น H ยกตัวอย่างเช่น Jorge Lorenzo อ่านว่า ฮอร์

เฮ่ ลอเรนโซ่ หรือ Julian Simon ก็อ่านเป็น ฮูเลี่ยน

ซิมง เช่นเดียวกับชื่อเมืองก็อ่านออกเสียงเป็นเฮเรซ...

บางครั้งเราอาจได้ยินชื่อเรียกสนามเฮเรซที่ต่างออกไป

โดยเฉพาะถ้าเป็นคนอิตาเลี่ยน...เค้าจะเรียกว่า “เยเรซ”

เพราะตัว J ของอิตาเลี่ยนจะกลายเป็น Y ยกตัวอย่าง

เช่น Jorge ก็จะอ่านว่า “ยอร์เก้” Jerez ก็อ่านว่าเยเรซ

เป็นต้น....หมดเวลาเรียนภาษาได้เวลาท�าความรู้จัก

สนามให้มากยิ่งขึ้นแล้วหละครับ

สนามเฮเรซมีความยาวประมาณ 4.4 กม. ถูก

สร้างขึ้นโดยเจ้าของโปรเจ็คที่มีชื่อว่า Manuel

Medina Lara (มานูเอล มาเดน่า ลาร่า) อันที่จริงแล้ว

ก่อนจะเกิดเป็นสนามแข่งเฮเรซนั้น เมืองเฮเรซก็เคยเป็น

•ปรับปรุงใหม่ในปี1992เอา“ชิเคน”ออก

ในปี 1992 หลังจากรับศึกหนักมานานสนามเฮเรซก็ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่โดยการน�าเอา Chicane (ชิเคน) ออกไป...ชิเคนที่ว่านี้ก็คือโค้งรูปตัว S ที่มีช่วงห่างระหว่างโค้งน้อยมาก แรกเริ่มเดิมทีเจ้าชิเคนที่ว่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อ “ชะลอความเร็ว” ซึ่งสนามแข่งเฮเรซได้เปลี่ยนจากชิเคนกลายเป็นโค้งกว้างๆ แทน นอกจากพื้นสนามแล้วก็ยังมีอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยอย่างเช่น “รั้วลม” หรือ Air Fence ซึ่งนับเป็นเจ้าแรกที่ติดตั้งระบบนี้ รั้วลมที่ว่าเป็นเหมือนถุงผ้าอัดลมเข้าไปแทนที่การใช้รั้วเหล็กแบบเดิม นอกจากนี้ยังมีการสร้างสนาม Motocross ไว้ภายในสนามบริเวณโค้ง 7-10 ซึ่งก็เป็นสนามแข่งแรกที่อยู่ภายในสนามแข่งอีกที เป็นสนามโมโตครอสที่มีไว้จัดแข่งตั้งแต่ 125-250 ซีซี.

ในปี 1994 หลังจากแอย์ตัน เซนน่าเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในการแข่ง F1 ที่อิตาลี่ท�าให้มาตรการความปลอดภัยของสนามถูกยกระดับขึ้นอีกขั้น...ส�าหรับการแข่งขันอย่าง F1 ที่ความเร็วนั้นมาเป็นพิเศษจนต้องมีชิเคนเพิ่มเข้าไปในช่วงโค้ง 11 โดยให้ชื่อโค้งนี้ว่า Chicane Ayrton Senna แต่จะเปิดใช้เมื่อแข่งรถยนต์เท่านั้น

ที่นิยมในเรื่องของการแข่งขันความเร็วมาตั้งแต่ช่วงยุค 60 แต่ที่ท�าให้เมืองเฮเรซเป็นที่รู้จักและเลื่องชื่อในด้านสนามแข่ง F1, MotoGP และ Sport Prototype ก็คือสนามแข่งเซอร์กูอิตโต้ เด เฮเรซซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 1985 ที่เจ๋งกว่านั้นก็คือแม้จะสร้างสนามไม่เสร็จดี (ไม่มีพิท, อาคารต่างๆ และหอควบคุม) แต่ทางผู้จัดก็จัดการแข่งขัน Spanish Touring Racing Car ขึ้นในวันที่ 8 ธันวาคม 1985 ผลก็คือการแข่งขันเป็นไปด้วยดีจนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1986 สนามเฮเรซก็ได้ฉลองกับการแข่งขัน Spanish F1 เป็นครั้งแรก และผู้คว้าชัยชนะให้เป็นที่จดจ�าของการแข่งขัน F1 ครั้งแรกนี้ก็คือ Ayrton Senna กับรถ Lotus Renault….และช่วงเวลาที่ชาว 2 ล้อรอคอยก็มาถึงนั่นก็คือปี 1987 ที่ MotoGP เดินทางมาจัดการแข่งขันที่นี่ซึ่งนับจากนั้นเป็นต้นมาสนามแข่งเฮเรซก็ถูกปักหมุดว่าเป็นสนามที่ทุกคน “ต้อง” บินมาดูให้ได้

MotoGP Report

For Ride Magazine June 201344

•สนามแข่งยุคใหม่เอาชิเคนกลับมา

หลังจากต้อนรับการแข่งขัน Motorcycle World Championship มานานจนกระทั่งรุ่น 500 ซีซี. ถูกยกเลิกและเปลี่ยนมาเป็นรถ 4 จังหวะพร้อมเปลี่ยนชื่อการแข่งขันมาเป็น MotoGP สนามเฮเรซก็ได้ถูกพัฒนาระบบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นพิทเลน, แพ็ดด็อก, run-off area หรือเซฟตี้โซนด้านนอกโค้ง ในปี 2008 สนามเฮเรซได้ปูพื้นสนามใหม่หมดจดรวมถึงโซนรัน-ออฟก็ถูกเพิ่มพื้นยางมะตอยเข้าไป...เรียกได้ว่าสนามเฮเรซเป็นสนามที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาทั้งด้านความปลอดภัยและมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกจนสามารถรองรับการแข่งขันความเร็วได้ทุกรูปแบบจากทั่วโลก!

สนามเฮเรซเป็นสนามที่วิ่งตามเข็มนาฬิกา (Clock Wise) มีโค้งซ้าย 5 โค้ง ประกอบด้วยโค้งหักศอกสุดโหดที่โค้ง 13 และโค้ง Double-Apex อีก 2 โค้ง โค้งขวามี 8 โค้ง ทางตรงยาวที่สุดยาว 607 เมตร แชมป์ปีก่อนคือเคซี่ สโตเนอร์ และล่าสุดเพื่อเป็นการฉลองวันเกิดของฮอร์เฮ่ ลอเรนโซ่ทางเจ้าของสนามจึงตั้งชื่อโค้ง 13 ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายก่อนจะเข้าเส้นชัยว่า “โค้งลอเรนโซ่”…เมื่อปี 2012 นั้นสนามแข่งเจอกับฝนตกจนท�าให้สนามเปียกและการแข่งขันเป็นไปอย่างทุลักทุเล...ปีนี้อากาศจะเป็นยังไงนะกับสนามเฮเรซ....สนามแรกของทวีปยุโรปกับฤดูกาล 2013!

•TodaywithJerez

Pedrosa คว้าชยัMaquez เสียบในไร้ปราณีLorenzo ปิดท้ายโพเดีย้มสนาม Jerez

จากรัฐเท็กซัสประเทศสหรัฐอเมริกาสู่เมือง “เฮเรซ” (Jerez) ประเทศสเปนเพื่อการแข่งขันหนึ่งเดียวที่ชาวสเปนรอคอย MotoGP 2013 หลังจากทีม Yamaha และ Honda สลับกันขึ้นเหยียบโพเดี้ยมแบบแพ็คคู่ไปแล้ว...มาดูกันว่าสนามที่ 3 นี้ชาวสเปนจะได้เฮให้กับใคร

ดูเหมือนการแข่งขันรอบที่ 3 นี้นักแข่งจะเจอกับสภาพอากาศที่ร้อนกว่าในรอบซ้อมท�าให้ต้อง “บริหาร” หน้ายางกันให้ดี โดยเฉพาะการเลือกเนื้อยาง โชคร้ายที่ Bridgestone ผู้สนับสนุนยางหลักของการแข่งขันคาดการณ์ไว้ผิดพลาด เพราะหลังจาก 2 สนามแรกที่ไม่เจอกับฝนจนทางบริดจ์สโตนเกรงว่าฝนอาจดักรอตกที่สเปน ท�าให้ทางผู้ผลิตยางเตรียมยาง Wet Tyre (ยางเปียก) แบบพิเศษไว้ให้นักแข่ง...ซึ่งก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ในสนามนี้ ระดับความยากของสนามถือว่าไม่ง่ายไม่ยากเพราะไม่มีโค้งต่างระดับเหมือนที่ COTA แต่ก็มีโค้งหักศอกดักรอเหล่านักแข่งอยู่เยอะพอสมควร ในรอบซ้อมมีนักแข่งมากมายต้องยอมแพ้ให้กับโค้งโหดๆ ที่เฮเรซนี้... โพลโพซิชั่นของสนามนี้ตกเป็นของฮอร์เฮ่ ลอเรนโซ่ซึ่งท�าเวลาได้ดีที่สุดในรอบควอลิฟายนับเป็นของขวัญวันเกิดชั้นเยี่ยมให้กับตัวเค้า (เกิด 4 พค 1987) ตามมาด้วยต�าแหน่งที่ 2 ดานี่ เพโดรซ่าและมาร์ค มาเคซ แถวถัดมามี คาล ครัทช์โลว, วาเลนติโน่ รอสซี่และอัลวาโร่ เบาทิสต้า อุณหภูมิพื้นสนาม 47 องศา,..แฟนๆ นับหมื่นและสัญญาณไฟที่ดับลง...ในที่สุดการแข่งขันก็เริ่มขึ้น เพโดรซ่าออกตัวได้ดีในขณะที่ลอเรนโซ่ไล่ตามปิดไลน์ด้านในโค้งแรกก่อนจะแซงขึ้นน�าในโค้งที่ 2 ปล่อยให้ 2 คู่หู Repsol Honda จับคู่กันอีกครั้ง ไม่นานนักรอสซี่ก็ขยับขึ้นมาจากที่ 4 เพื่อแยกคู่หูไอ้หนูมาเคซออกจากกันท�าให้รูปแบบการแข่งขันเรียงล�าดับเป็น ยามาฮ่าและฮอนด้าสลับกัน แต่ในที่สุดรอสซี่ก็ถูกมาเคซ

For Ride Magazine June 2013 45

Page 45: FRM issue 8 (June 2013)

Circuito de Jerezบกุแดนกระทงิดเุจาะสนาม “เฮเรซ”

นามที่ 3 กับการแข่งขัน MotoGP ฤดูกาล 2013 บินมาแข่งกันที่

ประเทศสเปน อาณาจักรที่ปัจจุบันส่งออกนักกีฬาเจ๋งๆ ไปคว้าชัยชนะจากกีฬาประเภทต่างๆ ทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่นักแข่งความเร็วทางเรียบที่เกินครึ่งเป็นชาวสเปน...ว่าแล้วก็มาเริ่มที่ประวัติของสนามกันก่อนดีกว่า

•CircuitodeJerez

ชื่อสนามเต็มๆ ฟังดูแล้วอาจรู้สึกแปลกๆ แต่มัน

อ่านออกเสียงว่า “เซอร์-กู-อิต-โต้ เด เฮ-เรซ” แต่

สนามนี้ถูกเรียกสั้นๆว่า "เฮเรซ" ว่าแต่ท�าไมเขียนว่า

Jerez แล้วอ่านว่าเฮเรซล่ะ....ก็เพราะว่าตัว J นั้นไม่มี

อยู่ในภาษาของสเปน เวลาที่ออกเสียงจึงต้องออก

เป็น H ยกตัวอย่างเช่น Jorge Lorenzo อ่านว่า ฮอร์

เฮ่ ลอเรนโซ่ หรือ Julian Simon ก็อ่านเป็น ฮูเลี่ยน

ซิมง เช่นเดียวกับชื่อเมืองก็อ่านออกเสียงเป็นเฮเรซ...

บางครั้งเราอาจได้ยินชื่อเรียกสนามเฮเรซที่ต่างออกไป

โดยเฉพาะถ้าเป็นคนอิตาเลี่ยน...เค้าจะเรียกว่า “เยเรซ”

เพราะตัว J ของอิตาเลี่ยนจะกลายเป็น Y ยกตัวอย่าง

เช่น Jorge ก็จะอ่านว่า “ยอร์เก้” Jerez ก็อ่านว่าเยเรซ

เป็นต้น....หมดเวลาเรียนภาษาได้เวลาท�าความรู้จัก

สนามให้มากยิ่งขึ้นแล้วหละครับ

สนามเฮเรซมีความยาวประมาณ 4.4 กม. ถูก

สร้างขึ้นโดยเจ้าของโปรเจ็คที่มีชื่อว่า Manuel

Medina Lara (มานูเอล มาเดน่า ลาร่า) อันที่จริงแล้ว

ก่อนจะเกิดเป็นสนามแข่งเฮเรซนั้น เมืองเฮเรซก็เคยเป็น

•ปรับปรุงใหม่ในปี1992เอา“ชิเคน”ออก

ในปี 1992 หลังจากรับศึกหนักมานานสนามเฮเรซก็ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่โดยการน�าเอา Chicane (ชิเคน) ออกไป...ชิเคนที่ว่านี้ก็คือโค้งรูปตัว S ที่มีช่วงห่างระหว่างโค้งน้อยมาก แรกเริ่มเดิมทีเจ้าชิเคนที่ว่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อ “ชะลอความเร็ว” ซึ่งสนามแข่งเฮเรซได้เปลี่ยนจากชิเคนกลายเป็นโค้งกว้างๆ แทน นอกจากพื้นสนามแล้วก็ยังมีอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยอย่างเช่น “รั้วลม” หรือ Air Fence ซึ่งนับเป็นเจ้าแรกที่ติดตั้งระบบนี้ รั้วลมที่ว่าเป็นเหมือนถุงผ้าอัดลมเข้าไปแทนที่การใช้รั้วเหล็กแบบเดิม นอกจากนี้ยังมีการสร้างสนาม Motocross ไว้ภายในสนามบริเวณโค้ง 7-10 ซึ่งก็เป็นสนามแข่งแรกที่อยู่ภายในสนามแข่งอีกที เป็นสนามโมโตครอสที่มีไว้จัดแข่งตั้งแต่ 125-250 ซีซี.

ในปี 1994 หลังจากแอย์ตัน เซนน่าเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในการแข่ง F1 ที่อิตาลี่ท�าให้มาตรการความปลอดภัยของสนามถูกยกระดับขึ้นอีกขั้น...ส�าหรับการแข่งขันอย่าง F1 ที่ความเร็วนั้นมาเป็นพิเศษจนต้องมีชิเคนเพิ่มเข้าไปในช่วงโค้ง 11 โดยให้ชื่อโค้งนี้ว่า Chicane Ayrton Senna แต่จะเปิดใช้เมื่อแข่งรถยนต์เท่านั้น

ที่นิยมในเรื่องของการแข่งขันความเร็วมาตั้งแต่ช่วงยุค 60 แต่ที่ท�าให้เมืองเฮเรซเป็นที่รู้จักและเลื่องชื่อในด้านสนามแข่ง F1, MotoGP และ Sport Prototype ก็คือสนามแข่งเซอร์กูอิตโต้ เด เฮเรซซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 1985 ที่เจ๋งกว่านั้นก็คือแม้จะสร้างสนามไม่เสร็จดี (ไม่มีพิท, อาคารต่างๆ และหอควบคุม) แต่ทางผู้จัดก็จัดการแข่งขัน Spanish Touring Racing Car ขึ้นในวันที่ 8 ธันวาคม 1985 ผลก็คือการแข่งขันเป็นไปด้วยดีจนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1986 สนามเฮเรซก็ได้ฉลองกับการแข่งขัน Spanish F1 เป็นครั้งแรก และผู้คว้าชัยชนะให้เป็นที่จดจ�าของการแข่งขัน F1 ครั้งแรกนี้ก็คือ Ayrton Senna กับรถ Lotus Renault….และช่วงเวลาที่ชาว 2 ล้อรอคอยก็มาถึงนั่นก็คือปี 1987 ที่ MotoGP เดินทางมาจัดการแข่งขันที่นี่ซึ่งนับจากนั้นเป็นต้นมาสนามแข่งเฮเรซก็ถูกปักหมุดว่าเป็นสนามที่ทุกคน “ต้อง” บินมาดูให้ได้

MotoGP Report

For Ride Magazine June 201344

•สนามแข่งยุคใหม่เอาชิเคนกลับมา

หลังจากต้อนรับการแข่งขัน Motorcycle World Championship มานานจนกระทั่งรุ่น 500 ซีซี. ถูกยกเลิกและเปลี่ยนมาเป็นรถ 4 จังหวะพร้อมเปลี่ยนชื่อการแข่งขันมาเป็น MotoGP สนามเฮเรซก็ได้ถูกพัฒนาระบบความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นพิทเลน, แพ็ดด็อก, run-off area หรือเซฟตี้โซนด้านนอกโค้ง ในปี 2008 สนามเฮเรซได้ปูพื้นสนามใหม่หมดจดรวมถึงโซนรัน-ออฟก็ถูกเพิ่มพื้นยางมะตอยเข้าไป...เรียกได้ว่าสนามเฮเรซเป็นสนามที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาทั้งด้านความปลอดภัยและมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกจนสามารถรองรับการแข่งขันความเร็วได้ทุกรูปแบบจากทั่วโลก!

สนามเฮเรซเป็นสนามที่วิ่งตามเข็มนาฬิกา (Clock Wise) มีโค้งซ้าย 5 โค้ง ประกอบด้วยโค้งหักศอกสุดโหดที่โค้ง 13 และโค้ง Double-Apex อีก 2 โค้ง โค้งขวามี 8 โค้ง ทางตรงยาวที่สุดยาว 607 เมตร แชมป์ปีก่อนคือเคซี่ สโตเนอร์ และล่าสุดเพื่อเป็นการฉลองวันเกิดของฮอร์เฮ่ ลอเรนโซ่ทางเจ้าของสนามจึงตั้งชื่อโค้ง 13 ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายก่อนจะเข้าเส้นชัยว่า “โค้งลอเรนโซ่”…เมื่อปี 2012 นั้นสนามแข่งเจอกับฝนตกจนท�าให้สนามเปียกและการแข่งขันเป็นไปอย่างทุลักทุเล...ปีนี้อากาศจะเป็นยังไงนะกับสนามเฮเรซ....สนามแรกของทวีปยุโรปกับฤดูกาล 2013!

•TodaywithJerez

Pedrosa คว้าชัยMaquez เสยีบในไร้ปราณีLorenzo ปิดท้ายโพเดีย้มสนาม Jerez

จากรัฐเท็กซัสประเทศสหรัฐอเมริกาสู่เมือง “เฮเรซ” (Jerez) ประเทศสเปนเพื่อการแข่งขันหนึ่งเดียวที่ชาวสเปนรอคอย MotoGP 2013 หลังจากทีม Yamaha และ Honda สลับกันขึ้นเหยียบโพเดี้ยมแบบแพ็คคู่ไปแล้ว...มาดูกันว่าสนามที่ 3 นี้ชาวสเปนจะได้เฮให้กับใคร

ดูเหมือนการแข่งขันรอบที่ 3 นี้นักแข่งจะเจอกับสภาพอากาศที่ร้อนกว่าในรอบซ้อมท�าให้ต้อง “บริหาร” หน้ายางกันให้ดี โดยเฉพาะการเลือกเนื้อยาง โชคร้ายที่ Bridgestone ผู้สนับสนุนยางหลักของการแข่งขันคาดการณ์ไว้ผิดพลาด เพราะหลังจาก 2 สนามแรกที่ไม่เจอกับฝนจนทางบริดจ์สโตนเกรงว่าฝนอาจดักรอตกที่สเปน ท�าให้ทางผู้ผลิตยางเตรียมยาง Wet Tyre (ยางเปียก) แบบพิเศษไว้ให้นักแข่ง...ซึ่งก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ในสนามนี้ ระดับความยากของสนามถือว่าไม่ง่ายไม่ยากเพราะไม่มีโค้งต่างระดับเหมือนที่ COTA แต่ก็มีโค้งหักศอกดักรอเหล่านักแข่งอยู่เยอะพอสมควร ในรอบซ้อมมีนักแข่งมากมายต้องยอมแพ้ให้กับโค้งโหดๆ ที่เฮเรซนี้... โพลโพซิชั่นของสนามนี้ตกเป็นของฮอร์เฮ่ ลอเรนโซ่ซึ่งท�าเวลาได้ดีที่สุดในรอบควอลิฟายนับเป็นของขวัญวันเกิดชั้นเยี่ยมให้กับตัวเค้า (เกิด 4 พค 1987) ตามมาด้วยต�าแหน่งที่ 2 ดานี่ เพโดรซ่าและมาร์ค มาเคซ แถวถัดมามี คาล ครัทช์โลว, วาเลนติโน่ รอสซี่และอัลวาโร่ เบาทิสต้า อุณหภูมิพื้นสนาม 47 องศา,..แฟนๆ นับหมื่นและสัญญาณไฟที่ดับลง...ในที่สุดการแข่งขันก็เริ่มขึ้น เพโดรซ่าออกตัวได้ดีในขณะที่ลอเรนโซ่ไล่ตามปิดไลน์ด้านในโค้งแรกก่อนจะแซงขึ้นน�าในโค้งที่ 2 ปล่อยให้ 2 คู่หู Repsol Honda จับคู่กันอีกครั้ง ไม่นานนักรอสซี่ก็ขยับขึ้นมาจากที่ 4 เพื่อแยกคู่หูไอ้หนูมาเคซออกจากกันท�าให้รูปแบบการแข่งขันเรียงล�าดับเป็น ยามาฮ่าและฮอนด้าสลับกัน แต่ในที่สุดรอสซี่ก็ถูกมาเคซ

For Ride Magazine June 2013 45

Page 46: FRM issue 8 (June 2013)

แซงจากด้านในด้วยไลน์ที่สวยกว่า ผู้โชคร้ายคนแรกของสนามนี้คือสเตฟาน แบรดดอลที่หลุดโค้งออกไปอย่างน่าเสียดาย ต่อมาอังเดร เอียนโน่แน่, ลูคัส เพเซค, แรนดี้ เดพุนิเย่และยอนนี่ เฮอร์นันเดซก็ทยอยกันหลุดโค้งเป็นเหตุให้ต้องออกจากการแข่งขันในที่สุด ยังไม่ทันถึงครึ่งเกมเพโดรซ่าก็อาศัยจังหวะที่ดีกว่าหวดไลน์ในแซงลอเรนโซ่ขึ้นน�าเป็นจ่าฝูง ไม่นานนักการแข่งขันก็แบ่งออกเป็นกลุ่มผู้น�าที่มีเพโดรซ่า, ลอเรนโซและมาเคซไล่หวดกันอย่างเมามันส์ ตามมาด้วยกลุ่มของรอสซี่, ครัทช์โลวและเบาทิสต้าที่ผลัดกันแซงแบบไม่มีใครยอมใคร หลังจากไอ้หนูมาเคซพยายามหาจังหวะแซงลอเรนโซ่ครั้งแล้วครั้งเล่าจนดูเหมือนมาเคซจะเว้นระยะห่างจากลอเรนโซ่ที่รั้งต�าแหน่งที่ 2 อยู่ซักพัก จนในที่สุดมาเคซก็พยายามแซงอีกครั้งในโค้งสุดท้ายของรอบสุดท้ายซึ่งการแซงครั้งนี้ส่งผลให้ลอเรนโซ่เกือบถูกกระแทกจนล้มแต่ในที่สุดก็สามารถควบคุมรถให้ขี่เข้าเส้นชัยเป็นที่ 3 ได้แบบเซ็งๆ ดูเหมือนการแข่งขันจะเริ่มดุเดือดขึ้นเมื่อ 2 คู่หู Repsol Honda ขึ้นยืนโพเดี้ยมที่ 1 และ 2 ส่วนทีม Yamaha Factory เหยียบโพเดี้ยมต�าแหน่งสุดท้ายท่ามกลางความสงสัยของแฟนๆ กับนาทีการเสียบแซงและกระแทกแบบไร้ความปราณีของน้องใหม่มาเคซ....สนามหน้า Le Mans ประเทศฝรั่งเศส อุณภูมิอากาศเป็นยังไงไม่รู้ แต่อุณหภูมิสนามเดือดแน่ๆ !!

•วาเลนติโน่รอสซี่ทีมYamahaFactoryRacing

“ผมว่าการแข่งวันนี้ไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ เพราะผมหาบาลานซ์ไม่ได้โดยเฉพาะกับช่วงหน้าของรถ มีช่วงนึงที่ผมรู้สึกว่ารถมันไปได้ดีพอๆ กับของลอเรนโซ่ แต่มันก็เป็นแค่ข่วงเดียวเท่านั้น ตอนแรกทีมเราคิดว่าสามารถสู้กับฮอนด้าได้ แต่เมื่อจบการแข่งขันเรากลับตามหลัง 2 คนนั้นอยู่ท�าให้เราต้องพัฒนากันอีกเยอะ โดยเฉพาะสนามหน้าเลอมังที่มักจะเจอกับสภาพอากาศเลวร้าย...นั่นท�าให้เราต้องปรับแต่งแล้วบู๊กันใหม่สนามหน้า”

Race Result - ผลการแข่งขัน

1. ดานี่ เดโดรซ่า ทีม Repsol Honda 25 คะแนน2. มาร์ค มาเคซ ทีม Repsol Honda 20 คะแนน3. ฮอร์เฮ่ ลอเรนโซ่ ทีม Yamaha Factory Racing 16 คะแนน4. วาเลนติโน่ รอสซี่ ทีม Yamaha Factory Racing 13 คะแนน5. คาล ครัททช์โลว ทีม Monster Yamaha Tech 3 11 คะแนน

How was it?

•ดานี่เพโดรซ่าทีมRepsolHonda

“ผมโล่งใจจากแรงกดดันมากทันทีที่รู้ว่าผมชนะ เพราะเราเจอกับสัปดาห์สุดหินโดยเฉพาะเรื่องยางที่มันไม่ค่อยจะเวิร์ค วันนี้เป็นการแข่งที่เยี่ยมเพราะผมค่อยๆ กดเวลาลงทีละนิดในขณะที่ต้องคอยระวังเรื่องยาง ซึ่งผมคิดว่าทุกคนคงมีปัญหากับยางเช่นเดียวกับผม ยังไงซะรถผมก็เซ็ตมาอย่างลงตัว ทีมท�างานได้ยอดเยี่ยมและผมก็ดีใจกับแม่ผมด้วย พรุ่งนี้เรายังมีเทสกันอีกเพราะงั้นเราต้องพยายามต่อไป”

•มาร์คมาเคซทีมRepsolHonda

“ผมลุยเต็ม 100 เลยฮะและผมก็ดีใจกับมัน ผมขี่อย่างสุดก�าลังและในรอบสุดท้ายผมเห็นฮอร์เฮ่เปิดช่องว่างซึ่งผมดูเทปการแข่งขันมาหลายม้วนแล้วจุดนั้นแหละที่เป็นจุดที่แซงได้ซึ่งผมก็ท�าดีที่สุดแล้ว...ผมต้องขอโทษฮอร์เฮ่ไว้ที่นี้ด้วย”

•ฮอร์เฮ่ลอเรนโซ่ทีมYamahaFactoryRacing

“เอิ่ม....ผมว่าเราท�าได้ดีนะวันนี้ ทั้งสภาพสนามทั้งการเซ็ตรถ ผมท�าดีที่สุดในทุกรอบทุกโค้งและผมก็ใส่ไปแบบเต็ม 100% ซึ่งผมก็คิดว่าเรามีสิทธิ์ชนะเพราะรถเราก็พร้อมเต็มที่ แต่ยังไงซะผมก็พลาดเองในช่วงออกตัวและโค้งสุดท้ายซึ่งผมเปิดโอกาสให้เค้าแซงได้เอง...ยังไงซะผมก็ดีใจผลการแข่งวันนี้ครับเพราะผมตั้งใจท�าดีที่สุดแล้วครับ”

MotoGP Report

For Ride Magazine June 201346

MotoGP Circuit 4

Bugatti “Le Mans” track in trackสนามบูกัตติ “เลอมัง” สนามที่อยู่ในสนามอีกที

ต้องสงสัยว่าเราพิมพ์ผิดรึเปล่า เพราะสนาม Le Mans หรือที่ชาวโลกเค้าเรียกว่า เลอมอง หรือที่บ้านเราเรียกว่า เลอมัง เป็นสนามที่ถูกสร้างขึ้นภายในสนามอีกทีครับ

สนามที่ใช้แข่ง MotoGP นั้นมีชื่อว่า Bugatti ถูกสร้างภายในบริเวณของสนามแข่ง Circuit de la Sarthe ที่ใช้แข่งขัน 24 Hours of Le Mans อีกที...อยากรู้แล้วล่ะสิว่ามันมีที่มาที่ไปยังไง?

•HistoryofLeMansชื่อเลอมังมาจากชื่อเมืองของฝรั่งเศส แต่ที่เราไม่รู้ก็คือ สนามขนาดใหญ่

ที่เป็นสนามกึ่งชั่วคราวที่ชื่อว่า Circuit de la Sarthe (เซอร์กิต เด ลา ซาร์เต้) หรืออีกชื่อคือ Circuit des 24 Heures ถูกสร้างโดยกลุ่มสมาพันธ์นักซิ่งของฝรั่งเศสนามว่า Automobile Club de I’Oeust (ACO) เริ่มเปิดให้ใช้แข่งขันในปี 1923 โดยส่วนมากนิยมใช้แข่งขัน 24 Hours of Le Mans ซึ่งเป็นการแข่งขันรถยนต์แบบเอ็นดูร๊านซ์ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานมาก ความยาวของสนาม Circuit de la Sarthe อยู่ที่ 13.6 กม. มีโค้งทั้งหมด 38 โค้ง เคยรองรับการแข่งขัน ACO/ FIA WEC, 24 Hours of Le Mans, FIM MotoGP, French Grand Prix, 24 Hours of Le Mans Moto แต่ที่เราสนใจอยู่ที่สนามขนาดเล็กกว่าที่ถูกสร้างอยู่ภายในบริเวณของสนามใหญ่ มันคือ “Bugatti Circuit” (บู-กั๊ต-ติ) สนามแข่งแบบถาวรก่อนตั้งขึ้นโดยให้ชื่อตามวิศวกรยานยนต์คนส�าคัญ “Ettore Bugatti” (เอ็ต-ตอ-เร่ บู-กั๊ต-ติ) ตัวสนามถูกสร้างเยื้องมาทางใต้ของเมืองเลอมัง ห่างจากกรุงปารีส 200 กม. อย่างที่บอกว่าสนามนี้ถูกสร้างขึ้นภายในพื้นที่เดียวกันกับตัวสนามใหญ่ที่ใช้แข่ง 24 ชั่วโมง ท�าให้พื้นที่บางส่วนถูกแชร์ใช้ด้วยกันในการแข่งขัน ส่วนที่เชื่อมกันได้แก่ Ford Chicane, ทางตรงจากหน้าจุดสตาร์ทที่มีสะพาน Dunlop

For Ride Magazine June 2013 47

Page 47: FRM issue 8 (June 2013)

แซงจากด้านในด้วยไลน์ที่สวยกว่า ผู้โชคร้ายคนแรกของสนามนี้คือสเตฟาน แบรดดอลที่หลุดโค้งออกไปอย่างน่าเสียดาย ต่อมาอังเดร เอียนโน่แน่, ลูคัส เพเซค, แรนดี้ เดพุนิเย่และยอนนี่ เฮอร์นันเดซก็ทยอยกันหลุดโค้งเป็นเหตุให้ต้องออกจากการแข่งขันในที่สุด ยังไม่ทันถึงครึ่งเกมเพโดรซ่าก็อาศัยจังหวะที่ดีกว่าหวดไลน์ในแซงลอเรนโซ่ขึ้นน�าเป็นจ่าฝูง ไม่นานนักการแข่งขันก็แบ่งออกเป็นกลุ่มผู้น�าที่มีเพโดรซ่า, ลอเรนโซและมาเคซไล่หวดกันอย่างเมามันส์ ตามมาด้วยกลุ่มของรอสซี่, ครัทช์โลวและเบาทิสต้าที่ผลัดกันแซงแบบไม่มีใครยอมใคร หลังจากไอ้หนูมาเคซพยายามหาจังหวะแซงลอเรนโซ่ครั้งแล้วครั้งเล่าจนดูเหมือนมาเคซจะเว้นระยะห่างจากลอเรนโซ่ที่รั้งต�าแหน่งที่ 2 อยู่ซักพัก จนในที่สุดมาเคซก็พยายามแซงอีกครั้งในโค้งสุดท้ายของรอบสุดท้ายซึ่งการแซงครั้งนี้ส่งผลให้ลอเรนโซ่เกือบถูกกระแทกจนล้มแต่ในที่สุดก็สามารถควบคุมรถให้ขี่เข้าเส้นชัยเป็นที่ 3 ได้แบบเซ็งๆ ดูเหมือนการแข่งขันจะเริ่มดุเดือดขึ้นเมื่อ 2 คู่หู Repsol Honda ขึ้นยืนโพเดี้ยมที่ 1 และ 2 ส่วนทีม Yamaha Factory เหยียบโพเดี้ยมต�าแหน่งสุดท้ายท่ามกลางความสงสัยของแฟนๆ กับนาทีการเสียบแซงและกระแทกแบบไร้ความปราณีของน้องใหม่มาเคซ....สนามหน้า Le Mans ประเทศฝรั่งเศส อุณภูมิอากาศเป็นยังไงไม่รู้ แต่อุณหภูมิสนามเดือดแน่ๆ !!

•วาเลนติโน่รอสซี่ทีมYamahaFactoryRacing

“ผมว่าการแข่งวันนี้ไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ เพราะผมหาบาลานซ์ไม่ได้โดยเฉพาะกับช่วงหน้าของรถ มีช่วงนึงที่ผมรู้สึกว่ารถมันไปได้ดีพอๆ กับของลอเรนโซ่ แต่มันก็เป็นแค่ข่วงเดียวเท่านั้น ตอนแรกทีมเราคิดว่าสามารถสู้กับฮอนด้าได้ แต่เมื่อจบการแข่งขันเรากลับตามหลัง 2 คนนั้นอยู่ท�าให้เราต้องพัฒนากันอีกเยอะ โดยเฉพาะสนามหน้าเลอมังที่มักจะเจอกับสภาพอากาศเลวร้าย...นั่นท�าให้เราต้องปรับแต่งแล้วบู๊กันใหม่สนามหน้า”

Race Result - ผลการแข่งขัน

1. ดานี่ เดโดรซ่า ทีม Repsol Honda 25 คะแนน2. มาร์ค มาเคซ ทีม Repsol Honda 20 คะแนน3. ฮอร์เฮ่ ลอเรนโซ่ ทีม Yamaha Factory Racing 16 คะแนน4. วาเลนติโน่ รอสซี่ ทีม Yamaha Factory Racing 13 คะแนน5. คาล ครัททช์โลว ทีม Monster Yamaha Tech 3 11 คะแนน

How was it?

•ดานี่เพโดรซ่าทีมRepsolHonda

“ผมโล่งใจจากแรงกดดันมากทันทีที่รู้ว่าผมชนะ เพราะเราเจอกับสัปดาห์สุดหินโดยเฉพาะเรื่องยางที่มันไม่ค่อยจะเวิร์ค วันนี้เป็นการแข่งที่เยี่ยมเพราะผมค่อยๆ กดเวลาลงทีละนิดในขณะที่ต้องคอยระวังเรื่องยาง ซึ่งผมคิดว่าทุกคนคงมีปัญหากับยางเช่นเดียวกับผม ยังไงซะรถผมก็เซ็ตมาอย่างลงตัว ทีมท�างานได้ยอดเยี่ยมและผมก็ดีใจกับแม่ผมด้วย พรุ่งนี้เรายังมีเทสกันอีกเพราะงั้นเราต้องพยายามต่อไป”

•มาร์คมาเคซทีมRepsolHonda

“ผมลุยเต็ม 100 เลยฮะและผมก็ดีใจกับมัน ผมขี่อย่างสุดก�าลังและในรอบสุดท้ายผมเห็นฮอร์เฮ่เปิดช่องว่างซึ่งผมดูเทปการแข่งขันมาหลายม้วนแล้วจุดนั้นแหละที่เป็นจุดที่แซงได้ซึ่งผมก็ท�าดีที่สุดแล้ว...ผมต้องขอโทษฮอร์เฮ่ไว้ที่นี้ด้วย”

•ฮอร์เฮ่ลอเรนโซ่ทีมYamahaFactoryRacing

“เอิ่ม....ผมว่าเราท�าได้ดีนะวันนี้ ทั้งสภาพสนามทั้งการเซ็ตรถ ผมท�าดีที่สุดในทุกรอบทุกโค้งและผมก็ใส่ไปแบบเต็ม 100% ซึ่งผมก็คิดว่าเรามีสิทธิ์ชนะเพราะรถเราก็พร้อมเต็มที่ แต่ยังไงซะผมก็พลาดเองในช่วงออกตัวและโค้งสุดท้ายซึ่งผมเปิดโอกาสให้เค้าแซงได้เอง...ยังไงซะผมก็ดีใจผลการแข่งวันนี้ครับเพราะผมตั้งใจท�าดีที่สุดแล้วครับ”

MotoGP Report

For Ride Magazine June 201346

MotoGP Circuit 4

Bugatti “Le Mans” track in trackสนามบูกัตติ “เลอมัง” สนามที่อยู่ในสนามอีกที

ต้องสงสัยว่าเราพิมพ์ผิดรึเปล่า เพราะสนาม Le Mans หรือที่ชาวโลกเค้าเรียกว่า เลอมอง หรือที่บ้านเราเรียกว่า เลอมัง เป็นสนามที่ถูกสร้างขึ้นภายในสนามอีกทีครับ

สนามที่ใช้แข่ง MotoGP นั้นมีชื่อว่า Bugatti ถูกสร้างภายในบริเวณของสนามแข่ง Circuit de la Sarthe ที่ใช้แข่งขัน 24 Hours of Le Mans อีกที...อยากรู้แล้วล่ะสิว่ามันมีที่มาที่ไปยังไง?

•HistoryofLeMansชื่อเลอมังมาจากชื่อเมืองของฝรั่งเศส แต่ที่เราไม่รู้ก็คือ สนามขนาดใหญ่

ที่เป็นสนามกึ่งชั่วคราวที่ชื่อว่า Circuit de la Sarthe (เซอร์กิต เด ลา ซาร์เต้) หรืออีกชื่อคือ Circuit des 24 Heures ถูกสร้างโดยกลุ่มสมาพันธ์นักซิ่งของฝรั่งเศสนามว่า Automobile Club de I’Oeust (ACO) เริ่มเปิดให้ใช้แข่งขันในปี 1923 โดยส่วนมากนิยมใช้แข่งขัน 24 Hours of Le Mans ซึ่งเป็นการแข่งขันรถยนต์แบบเอ็นดูร๊านซ์ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานมาก ความยาวของสนาม Circuit de la Sarthe อยู่ที่ 13.6 กม. มีโค้งทั้งหมด 38 โค้ง เคยรองรับการแข่งขัน ACO/ FIA WEC, 24 Hours of Le Mans, FIM MotoGP, French Grand Prix, 24 Hours of Le Mans Moto แต่ที่เราสนใจอยู่ที่สนามขนาดเล็กกว่าที่ถูกสร้างอยู่ภายในบริเวณของสนามใหญ่ มันคือ “Bugatti Circuit” (บู-กั๊ต-ติ) สนามแข่งแบบถาวรก่อนตั้งขึ้นโดยให้ชื่อตามวิศวกรยานยนต์คนส�าคัญ “Ettore Bugatti” (เอ็ต-ตอ-เร่ บู-กั๊ต-ติ) ตัวสนามถูกสร้างเยื้องมาทางใต้ของเมืองเลอมัง ห่างจากกรุงปารีส 200 กม. อย่างที่บอกว่าสนามนี้ถูกสร้างขึ้นภายในพื้นที่เดียวกันกับตัวสนามใหญ่ที่ใช้แข่ง 24 ชั่วโมง ท�าให้พื้นที่บางส่วนถูกแชร์ใช้ด้วยกันในการแข่งขัน ส่วนที่เชื่อมกันได้แก่ Ford Chicane, ทางตรงจากหน้าจุดสตาร์ทที่มีสะพาน Dunlop

For Ride Magazine June 2013 47

Page 48: FRM issue 8 (June 2013)

ในส่วนของสนามบูกั๊ตติเองนอกจากจะถูกใช้จัดแข่ง MotoGP แล้วก็ยังมีรายการแข่งขัน 24 ชั่วโมงของรถสูตรด้วยเช่นกัน ช่วงแรกสนามเป็นที่นิยมมากจนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุใหญ่ในปี 1995 ท�าให้สนามถูกถอดออกจากการจัดแข่งจนถึงปี 2000 และเมื่อมาตรฐานความปลอดภัยถูกยกระดับจนผู้จัดแข่งทั่วโลกเห็นว่าน่าไว้ใจจึงกลับมาแข่งกันใหม่อีกครั้ง ตัวสนามถูกพัฒนาเรื่อยจนกระทั่งปี 2008 สนามเลอมังถูกอัพเกรดครั้งใหญ่ให้แจ๋วมาจนถึงทุกวันนี้

•ลักษณะของสนามLeMans

สนามที่มีโค้งดุๆ หลายโค้งอย่างเช่นชิเคนแรกที่ต้องตบเกียร์ลงต�่าสุดๆ แถมต้องบริหารเบรกและกระแทกคันเร่งออกให้สวย สนามนี้ความยึดเกาะที่ดีของล้อหลังคือหัวใจส�าคัญ ระยะทางทั้งหมดของสนามคือ 4.1 กม. ลักษณะการวิ่งตามเข็มนาฬิกา มีโค้งซ้าย 4 โค้งและโค้งขวาสุดโหดอีก 9 โค้ง โค้งที่น่าจับตามองคือ Chicane, Double Apex และ Hair Pin ซึ่งมักจะมีคนหลุดโค้งเป็นกระจ�า ทางตรงยาวที่สุดอยู่ที่ 647 เมตร Top Speed เร็วที่สุดที่ เฮ็คเตอร์ บาร์เบร่า ทีม Ducati ท�าไว้เมื่อปี 2012 อยู่ที่ 309.1 กม/ชม. Circuit Record ยังคงเป็นของ ดานี่ เพโดรซ่า ที่ท�าเวลาไว้ดีสุดที่ 1 นาที 33.617 วินาที...ธรรมชาติของสนามเลอมังมักเจอกับฝนบ้างเป็นบางครั้ง..ว่าแต่การแข่งขัน MotoGP สนามนี้จะรอดจากสายฝนมั้ยนะ?

Pedrosaคว้าชัยอีกครั้งท่ามกลางสายฝนของสนาม

Le Mans

สนามที่ 4 ของการแข่งขัน MotoGP สนามเลอมัง (Le Mans) ประเทศฝรั่งเศส ดูเหมือนการแข่งขัน MotoGP ฤดูกาล 2013 เริ่มดุเดือดตั้งแต่เปิดฤดูกาล เมื่อแชมป์เก่าอย่าง ลอเรนโซ่ ที่ถูกน้องใหม่ มาร์ค มาเคซ มาท้าทายความเก๋า งานนี้แฟนๆ ได้ลุ้นกันตัวเกร็งแน่นอนกับสนามนี้ เลอมัง...สภาพอากาศที่ดูไม่น่าไว้ใจเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของที่นี่ท�าให้แต่ละทีมต่างปวดหัวกับการเซ็ตรถและเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาด

ในช่วงแรกของการแข่งขัน ฝนโปรยปรายลงมาทั่วสนามท�าให้ Moto3 ต้องแข่งกันแบบ Wet Race ต่อมารุ่น Moto2 สนามเริ่มแห้งท�าให้แต่ละทีมต้องเปลี่ยนมาใช้ยางแบบแห้ง และในที่สุดการแข่งขันรุ่นสุดท้าย MotoGP

ซึ่งสายฝนก็ดูท่าว่าจะไร้ความปราณีส่งเม็ดฝนกระหน�่าทั่วสนามอีกครั้งจนท�าให้การแข่งขันครั้งนี้กลายเป็น Wet Race ต�าแหน่ง

โพลโพสิชั่นของกริดสตาร์ทเป็นของ มาร์ค มาเคซ ซึ่งครั้งนี้นับเป็นโพล (ต�าแหน่งผู้น�าสตาร์ท) ครั้งที่ 2 ของฤดูกาลนี้ ตามด้วย ฮอร์เฮ่ ลอเรนโซ่ และ อังเดร โดวิสิโอโซ่ แถวที่ 2 ได้แก่ คาล ครัทช์โลว, สเตฟาน แบรดดอล และ ดานี่ เพโดรซ่า แถวที่ 3 มี

อัลวาโร่ เบาทิสต้า, วาเลนติโน่ รอสซี่ และ แบรดลี่ สมิธ...

MotoGP Report

For Ride Magazine June 201348

เมื่อสัญญาณไฟดับลง มาร์ค มาเคซ ก็พุ่งออกก่อนจะถูก ลอเรนโซ่ และ โดวิสิโอโซ่ขึ้นน�า ช่วงแรก โดวิสิโอโซ่เดินคันเร่งได้ดีขึ้นรั้งต�าแหน่งผู้น�าตามด้วย ลอเรนโซ่ และ เพโดรซ่า ที่ดีดตัวเองขึ้นมาจากแถวที่ 2 ได้ส�าเร็จ ไอ้หนูมาเคซที่แม้จะได้ต�าแหน่งโพลแต่กลับตกไปอยู่อันดับที่ 9 สนามนี้ดูเหมือน ลอเรนโซ่ จะฟอร์มไม่ดีปล่อยให้ เพโดรซ่า แซงได้อย่างง่ายดาย ส่วน รอสซี่ ที่ไล่ตามมาจากด้านหลังก็อาศัยจังหวะที่ดีกว่าแซงเพื่อนร่วมทีมขึ้นรั้งอันดับที่ 3 ได้ส�าเร็จ ต่อมา ครัทช์โลว ที่ดูเหมือนจะไม่กลัวน�้าฝนแม้แต่น้อยก็แซง ลอเรนโซ่ ขึ้นไปบู๊กับ รอสซี่ อย่างเมามัน ด้านหน้ามีลุ้นไปกับ โดวิสิโอโซ่และ เพโดรซ่า ซึ่งในที่สุด เพโดรซ่า ก็เป็นฝ่ายแซงขึ้นเป็นผู้น�าได้ส�าเร็จ การแข่งขันเดินทางยังไม่ทันถึงครึ่งทางก็มีการสไลด์ออกนอกสนามเพราะแพ้พิษฝนหนึ่งในนั้นคือ รอสซี่ และ แบรดดอล แต่โชคดีที่ 2 คนนี้สามารถกลับลงแข่งต่อได้ ด้านหน้า โดวิสิโอโซ่ พยายามรักษาต�าแหน่งที่ 3 ไว้จากการแย่งชิงของ มาเคซ แต่ในที่สุดก็ไม่ส�าเร็จปล่อยให้ เพโดรซ่า ที่แซงไปก่อนเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 ตามด้วย ครัทช์โลว ที่ 2 และ มาเคซ ปิดท้ายโพเดี้ยมสนามที่ 4 อย่างน่าเสียดาย ถึงจะไม่ได้ยืนโพเดี้ยมแต่ก็นับว่าทีม Ducati ท�าผลงานได้ยอดเยี่ยมในสนามนี้ครับ แต่เอ...อดีตแชมป์จะว่ายังไงกับผลงานสนามนี้นะ มาดูคอมเมนต์กันครับ

Race Result - ผลการแข่งขัน

1. ดานี่ เดโดรซ่า ทีม Repsol Honda 25 คะแนน2. คาล ครัททช์โลว ทีม Monster Yamaha Tech 3 20 คะแนน3. มาร์ค มาเคซ ทีม Repsol Honda 16 คะแนน4. อังเดร โดวิสิโอโซ่ ทีม Ducati 13 คะแนน5. นิกกี้ เฮย์เด้น ทีม Ducati 11 คะแนน

World Standing – คะแนนสะสม

1. ดานี่ เดโดรซ่า ทีม Repsol Honda 83 คะแนน2. มาร์ค มาเคซ ทีม Repsol Honda 77 คะแนน3. ฮอร์เฮ่ ลอเรนโซ่ ทีม Yamaha Factory Racing 66 คะแนน4. คาล ครัทช์โลว ทีม Monster Yamaha Tech 3 55 คะแนน5. วาเลนติโน่ รอสซี่ ทีม Yamaha Factory Racing 47 คะแนน

How was the race?

•วาเลนติโน่รอสซี่ทีมYamahaFactoryRacing

“น่าเสียดายที่ผมพลาดโอกาสในวันนี้ ตอนแรกผมว่าเรามีลุ้นโพเดี้ยมแน่ๆ เพราะผมเร็วและไล่แซงคนอื่นได้สบาย ในโค้งที่ผมล้ม ผมไม่ได้เข้าเร็วหรือแรงและผมก็ไม่ได้เบรกแรงด้วย แต่ผมรู้สึกได้ถึงอาการกระเด้งของช่วงหน้าแล้วก็...ฟุ่บ…ไปเลย น่าเสียดายที่เราพลาดโอกาสขึ้นโพเดี้ยมในสนามนี้...ทั้งๆ ที่เรามีโอกาสแล้วแท้ๆ”

•ดานี่เพโดรซ่าทีมRepsolHonda

“ผมพอใจกับผลการแข่งขันของสนามนี้นะ แม้ช่วยแรกตอนออกตัวผมจะสไลด์บ้างท�าให้ออกตัวไม่ดีแต่ก็กู้สถานการณ์คืนได้ในโค้งแรก ช่วงแรกผมว่าขี่ยากเพราะยางหลังไม่ค่อยเกาะ ผมจึงพยายามเกาะกลุ่มไว้กับโดวิสิโอโซ่และลอเรนโซ่ ผมเจอปัญหาบ้างตลอดการแข่งแต่ผมก็รักษาเวลาและยืดระยะห่างออกไปเรื่อยๆ และสุดท้าย..ผมก็คว้าแชมป์ เป็นอะไรที่พิเศษสุดๆ เลยทีเดียว”

•คาลครัทช์โลวทีมMonsterYamahaTech3

“ถึงผมจะยังมีอาการบาดเจ็บจากรอบซ้อม...แต่ผมก็พาทีม Monster ขึ้นโพเดี้ยมในบ้านเกิดของตัวเองได้ (สนามนี้สปอนเซอร์โดย Monster) เมื่อวานนี้ในรอบซ้อมผมคิดว่าถ้าสนามมันไม่แห้งล่ะก็...มันคงเป็นอะไรที่หินสุดๆ แล้วเช้านี้ฝนก็ตกจริงๆ แต่ผมยังจ�าได้ว่าปีก่อนผมล้มก่อนจะจบการแข่ง ปีนี้ผมเลยระวังเป็นพิเศษ แต่มันมีอะไรที่คล้ายกับปีก่อนอยู่นะ ผม โดวิสิโอโซ่ และรอสซี่บู๊กันเหมือนเดิม ยินดีกับดานี่และมาร์คด้วยเพราะเค้าขี่กันได้ดีจริงๆ แต่ทีมเราก็คู่ควรกับชัยชนะครั้งนี้แล้วหละครับ เพราะเราเร็วขึ้นเร็วขึ้นทุกสนาม”

•มาร์คมาเคซทีมRepsolHonda

“นี่เป็นการแข่งแบบสนามเปียกครั้งแรกของผม แล้วมันก็ยากมากๆ โดยเฉพาะในช่วงออกตัวที่ผมท�าได้ไม่ดี ระหว่างแข่งผมก็มีสไลด์บ้าง ช่วงท้ายก็มีลื่นบ้างแต่ผมก็ได้เรียนรู้จากมัน ผมพยายามกดดันตัวเองมากเกินไปท�าให้ผมเกือบพลาดหลายครั้ง ตอนแรกผมก็ไม่กะจะขึ้นโพเดี้ยมหรอก แต่เมื่อมันไปได้ผมก็เดินหน้าต่อ และช่วงสุดท้ายผมเห็นคาลอยู่ด้านหน้าแต่ผมก็คิดว่าแค่ที่ 3 ก็หรูแล้วครับ”

•ฮอร์เฮ่ลอเรนโซ่ทีมYamahaFactoryRacing

“ดูเหมือนรถที่ผมขี่จะวิ่งได้ไม่ดีเหมือนรอบวอร์มอัพ ช่วงแรกผมยังตามโดวิสิโอโซ่และเพโดรว่าได้อยู่ แต่ต่อมาเบรกก็ไม่ค่อยเวิร์ครวมถึงยางที่ผมไม่ค่อยไว้ใจมันเท่าไหร่ ออกจากโค้งล้อหลังก็พยายามจะสไลด์อย่างเดียว นั่นท�าให้ผมเสียเวลาลงไปครึ่งวินาที ปีก่อนผมจบการแข่งขันโดยที่ท�าเวลาน�ารวมทั้งหมดกว่า 20 วินาทีเพราะรถที่ขี่เซ็ตได้ยอดเยี่ยม แต่ปีนี้มันตรงกันข้ามเลย ผมท�าได้แค่พยายามไม่ให้มันล้ม”

For Ride Magazine June 2013 49

Page 49: FRM issue 8 (June 2013)

ในส่วนของสนามบูกั๊ตติเองนอกจากจะถูกใช้จัดแข่ง MotoGP แล้วก็ยังมีรายการแข่งขัน 24 ชั่วโมงของรถสูตรด้วยเช่นกัน ช่วงแรกสนามเป็นที่นิยมมากจนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุใหญ่ในปี 1995 ท�าให้สนามถูกถอดออกจากการจัดแข่งจนถึงปี 2000 และเมื่อมาตรฐานความปลอดภัยถูกยกระดับจนผู้จัดแข่งทั่วโลกเห็นว่าน่าไว้ใจจึงกลับมาแข่งกันใหม่อีกครั้ง ตัวสนามถูกพัฒนาเรื่อยจนกระทั่งปี 2008 สนามเลอมังถูกอัพเกรดครั้งใหญ่ให้แจ๋วมาจนถึงทุกวันนี้

•ลักษณะของสนามLeMans

สนามที่มีโค้งดุๆ หลายโค้งอย่างเช่นชิเคนแรกที่ต้องตบเกียร์ลงต�่าสุดๆ แถมต้องบริหารเบรกและกระแทกคันเร่งออกให้สวย สนามนี้ความยึดเกาะที่ดีของล้อหลังคือหัวใจส�าคัญ ระยะทางทั้งหมดของสนามคือ 4.1 กม. ลักษณะการวิ่งตามเข็มนาฬิกา มีโค้งซ้าย 4 โค้งและโค้งขวาสุดโหดอีก 9 โค้ง โค้งที่น่าจับตามองคือ Chicane, Double Apex และ Hair Pin ซึ่งมักจะมีคนหลุดโค้งเป็นกระจ�า ทางตรงยาวที่สุดอยู่ที่ 647 เมตร Top Speed เร็วที่สุดที่ เฮ็คเตอร์ บาร์เบร่า ทีม Ducati ท�าไว้เมื่อปี 2012 อยู่ที่ 309.1 กม/ชม. Circuit Record ยังคงเป็นของ ดานี่ เพโดรซ่า ที่ท�าเวลาไว้ดีสุดที่ 1 นาที 33.617 วินาที...ธรรมชาติของสนามเลอมังมักเจอกับฝนบ้างเป็นบางครั้ง..ว่าแต่การแข่งขัน MotoGP สนามนี้จะรอดจากสายฝนมั้ยนะ?

Pedrosaคว้าชัยอีกครั้งท่ามกลางสายฝนของสนาม

Le Mans

สนามที่ 4 ของการแข่งขัน MotoGP สนามเลอมัง (Le Mans) ประเทศฝรั่งเศส ดูเหมือนการแข่งขัน MotoGP ฤดูกาล 2013 เริ่มดุเดือดตั้งแต่เปิดฤดูกาล เมื่อแชมป์เก่าอย่าง ลอเรนโซ่ ที่ถูกน้องใหม่ มาร์ค มาเคซ มาท้าทายความเก๋า งานนี้แฟนๆ ได้ลุ้นกันตัวเกร็งแน่นอนกับสนามนี้ เลอมัง...สภาพอากาศที่ดูไม่น่าไว้ใจเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของที่นี่ท�าให้แต่ละทีมต่างปวดหัวกับการเซ็ตรถและเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาด

ในช่วงแรกของการแข่งขัน ฝนโปรยปรายลงมาทั่วสนามท�าให้ Moto3 ต้องแข่งกันแบบ Wet Race ต่อมารุ่น Moto2 สนามเริ่มแห้งท�าให้แต่ละทีมต้องเปลี่ยนมาใช้ยางแบบแห้ง และในที่สุดการแข่งขันรุ่นสุดท้าย MotoGP

ซึ่งสายฝนก็ดูท่าว่าจะไร้ความปราณีส่งเม็ดฝนกระหน�่าทั่วสนามอีกครั้งจนท�าให้การแข่งขันครั้งนี้กลายเป็น Wet Race ต�าแหน่ง

โพลโพสิชั่นของกริดสตาร์ทเป็นของ มาร์ค มาเคซ ซึ่งครั้งนี้นับเป็นโพล (ต�าแหน่งผู้น�าสตาร์ท) ครั้งที่ 2 ของฤดูกาลนี้ ตามด้วย ฮอร์เฮ่ ลอเรนโซ่ และ อังเดร โดวิสิโอโซ่ แถวที่ 2 ได้แก่ คาล ครัทช์โลว, สเตฟาน แบรดดอล และ ดานี่ เพโดรซ่า แถวที่ 3 มี

อัลวาโร่ เบาทิสต้า, วาเลนติโน่ รอสซี่ และ แบรดลี่ สมิธ...

MotoGP Report

For Ride Magazine June 201348

เมื่อสัญญาณไฟดับลง มาร์ค มาเคซ ก็พุ่งออกก่อนจะถูก ลอเรนโซ่ และ โดวิสิโอโซ่ขึ้นน�า ช่วงแรก โดวิสิโอโซ่เดินคันเร่งได้ดีขึ้นรั้งต�าแหน่งผู้น�าตามด้วย ลอเรนโซ่ และ เพโดรซ่า ที่ดีดตัวเองขึ้นมาจากแถวที่ 2 ได้ส�าเร็จ ไอ้หนูมาเคซที่แม้จะได้ต�าแหน่งโพลแต่กลับตกไปอยู่อันดับที่ 9 สนามนี้ดูเหมือน ลอเรนโซ่ จะฟอร์มไม่ดีปล่อยให้ เพโดรซ่า แซงได้อย่างง่ายดาย ส่วน รอสซี่ ที่ไล่ตามมาจากด้านหลังก็อาศัยจังหวะที่ดีกว่าแซงเพื่อนร่วมทีมขึ้นรั้งอันดับที่ 3 ได้ส�าเร็จ ต่อมา ครัทช์โลว ที่ดูเหมือนจะไม่กลัวน�้าฝนแม้แต่น้อยก็แซง ลอเรนโซ่ ขึ้นไปบู๊กับ รอสซี่ อย่างเมามัน ด้านหน้ามีลุ้นไปกับ โดวิสิโอโซ่และ เพโดรซ่า ซึ่งในที่สุด เพโดรซ่า ก็เป็นฝ่ายแซงขึ้นเป็นผู้น�าได้ส�าเร็จ การแข่งขันเดินทางยังไม่ทันถึงครึ่งทางก็มีการสไลด์ออกนอกสนามเพราะแพ้พิษฝนหนึ่งในนั้นคือ รอสซี่ และ แบรดดอล แต่โชคดีที่ 2 คนนี้สามารถกลับลงแข่งต่อได้ ด้านหน้า โดวิสิโอโซ่ พยายามรักษาต�าแหน่งที่ 3 ไว้จากการแย่งชิงของ มาเคซ แต่ในที่สุดก็ไม่ส�าเร็จปล่อยให้ เพโดรซ่า ที่แซงไปก่อนเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 ตามด้วย ครัทช์โลว ที่ 2 และ มาเคซ ปิดท้ายโพเดี้ยมสนามที่ 4 อย่างน่าเสียดาย ถึงจะไม่ได้ยืนโพเดี้ยมแต่ก็นับว่าทีม Ducati ท�าผลงานได้ยอดเยี่ยมในสนามนี้ครับ แต่เอ...อดีตแชมป์จะว่ายังไงกับผลงานสนามนี้นะ มาดูคอมเมนต์กันครับ

Race Result - ผลการแข่งขัน

1. ดานี่ เดโดรซ่า ทีม Repsol Honda 25 คะแนน2. คาล ครัททช์โลว ทีม Monster Yamaha Tech 3 20 คะแนน3. มาร์ค มาเคซ ทีม Repsol Honda 16 คะแนน4. อังเดร โดวิสิโอโซ่ ทีม Ducati 13 คะแนน5. นิกกี้ เฮย์เด้น ทีม Ducati 11 คะแนน

World Standing – คะแนนสะสม

1. ดานี่ เดโดรซ่า ทีม Repsol Honda 83 คะแนน2. มาร์ค มาเคซ ทีม Repsol Honda 77 คะแนน3. ฮอร์เฮ่ ลอเรนโซ่ ทีม Yamaha Factory Racing 66 คะแนน4. คาล ครัทช์โลว ทีม Monster Yamaha Tech 3 55 คะแนน5. วาเลนติโน่ รอสซี่ ทีม Yamaha Factory Racing 47 คะแนน

How was the race?

•วาเลนติโน่รอสซี่ทีมYamahaFactoryRacing

“น่าเสียดายที่ผมพลาดโอกาสในวันนี้ ตอนแรกผมว่าเรามีลุ้นโพเดี้ยมแน่ๆ เพราะผมเร็วและไล่แซงคนอื่นได้สบาย ในโค้งที่ผมล้ม ผมไม่ได้เข้าเร็วหรือแรงและผมก็ไม่ได้เบรกแรงด้วย แต่ผมรู้สึกได้ถึงอาการกระเด้งของช่วงหน้าแล้วก็...ฟุ่บ…ไปเลย น่าเสียดายที่เราพลาดโอกาสขึ้นโพเดี้ยมในสนามนี้...ทั้งๆ ที่เรามีโอกาสแล้วแท้ๆ”

•ดานี่เพโดรซ่าทีมRepsolHonda

“ผมพอใจกับผลการแข่งขันของสนามนี้นะ แม้ช่วยแรกตอนออกตัวผมจะสไลด์บ้างท�าให้ออกตัวไม่ดีแต่ก็กู้สถานการณ์คืนได้ในโค้งแรก ช่วงแรกผมว่าขี่ยากเพราะยางหลังไม่ค่อยเกาะ ผมจึงพยายามเกาะกลุ่มไว้กับโดวิสิโอโซ่และลอเรนโซ่ ผมเจอปัญหาบ้างตลอดการแข่งแต่ผมก็รักษาเวลาและยืดระยะห่างออกไปเรื่อยๆ และสุดท้าย..ผมก็คว้าแชมป์ เป็นอะไรที่พิเศษสุดๆ เลยทีเดียว”

•คาลครัทช์โลวทีมMonsterYamahaTech3

“ถึงผมจะยังมีอาการบาดเจ็บจากรอบซ้อม...แต่ผมก็พาทีม Monster ขึ้นโพเดี้ยมในบ้านเกิดของตัวเองได้ (สนามนี้สปอนเซอร์โดย Monster) เมื่อวานนี้ในรอบซ้อมผมคิดว่าถ้าสนามมันไม่แห้งล่ะก็...มันคงเป็นอะไรที่หินสุดๆ แล้วเช้านี้ฝนก็ตกจริงๆ แต่ผมยังจ�าได้ว่าปีก่อนผมล้มก่อนจะจบการแข่ง ปีนี้ผมเลยระวังเป็นพิเศษ แต่มันมีอะไรที่คล้ายกับปีก่อนอยู่นะ ผม โดวิสิโอโซ่ และรอสซี่บู๊กันเหมือนเดิม ยินดีกับดานี่และมาร์คด้วยเพราะเค้าขี่กันได้ดีจริงๆ แต่ทีมเราก็คู่ควรกับชัยชนะครั้งนี้แล้วหละครับ เพราะเราเร็วขึ้นเร็วขึ้นทุกสนาม”

•มาร์คมาเคซทีมRepsolHonda

“นี่เป็นการแข่งแบบสนามเปียกครั้งแรกของผม แล้วมันก็ยากมากๆ โดยเฉพาะในช่วงออกตัวที่ผมท�าได้ไม่ดี ระหว่างแข่งผมก็มีสไลด์บ้าง ช่วงท้ายก็มีลื่นบ้างแต่ผมก็ได้เรียนรู้จากมัน ผมพยายามกดดันตัวเองมากเกินไปท�าให้ผมเกือบพลาดหลายครั้ง ตอนแรกผมก็ไม่กะจะขึ้นโพเดี้ยมหรอก แต่เมื่อมันไปได้ผมก็เดินหน้าต่อ และช่วงสุดท้ายผมเห็นคาลอยู่ด้านหน้าแต่ผมก็คิดว่าแค่ที่ 3 ก็หรูแล้วครับ”

•ฮอร์เฮ่ลอเรนโซ่ทีมYamahaFactoryRacing

“ดูเหมือนรถที่ผมขี่จะวิ่งได้ไม่ดีเหมือนรอบวอร์มอัพ ช่วงแรกผมยังตามโดวิสิโอโซ่และเพโดรว่าได้อยู่ แต่ต่อมาเบรกก็ไม่ค่อยเวิร์ครวมถึงยางที่ผมไม่ค่อยไว้ใจมันเท่าไหร่ ออกจากโค้งล้อหลังก็พยายามจะสไลด์อย่างเดียว นั่นท�าให้ผมเสียเวลาลงไปครึ่งวินาที ปีก่อนผมจบการแข่งขันโดยที่ท�าเวลาน�ารวมทั้งหมดกว่า 20 วินาทีเพราะรถที่ขี่เซ็ตได้ยอดเยี่ยม แต่ปีนี้มันตรงกันข้ามเลย ผมท�าได้แค่พยายามไม่ให้มันล้ม”

For Ride Magazine June 2013 49

Page 50: FRM issue 8 (June 2013)

Cross Over your fearwith Clover’s Crossover Airbag

ก้าวข้ามความกลวัด้วย...

CloverCrossoverAirbag

ฉบับที่แล้วเราน�าเสนอเกี่ยวกับอุปกรณ์ขับขี่มอเตอร์ไซค์ที่เพิ่มความเย็นให้กับร่างกาย แต่เนื่องจากฤดูฝนที่ก�าลังใกล้เข้ามาและอาจเริ่มโปรยปรายสายฝนลงมาเป็นอุปสรรคให้กับเหล่านักเดินทางชาว 2 ล้ออย่างเรา ฉบับนี้เราจึงขอเสนอชุดขี่มอเตอร์ไซค์สไตล์ทัวริ่งที่ไม่ได้แค่กันหนาวหรือกันฝน แต่มันยังมี “Air Bag” อีกด้วย! มาดูกันเลยดีกว่ากับ Clover Crossover Airbag

•Perfectineveryweatherยอดเยี่ยมในทุกสภาพอากาศ

เรายังคงวนเวียนอยู่กับไรดิ้งเกียร์แบรนด์อิตาลี่ Clover ผู้ซึ่งผลิตและพัฒนาชุดส�าหรับขับขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ตลอดเวลา และไรดิ้งเกียร์ชิ้นล่าสุดที่ทั้งสีสันและหน้าตามันช่างสะดุดตาเราซะเหลือเกิน จนท�าให้เราต้องหยิบมันมารีวิว มันคือ Clover Crossover (อ่าน โคล-เว่อ ครอส-โอ-เว่อ) รูปลักษณ์ภายนอกมันก็ดูเหมือนเสื้อแจ็คเก็ตใส่ขี่ทัวริ่งทั่วไป คุณสมบัติมาตรฐานของมันคือ

- ผิวชั้นนอกสุดเป็นดูราเท็ค 7 ผสมบาลิสติก สามารถกันน�้าได้ระดับหนึ่ง- ชั้นนอกสุดของเสื้อมีซิปส�าหรับระบายอากาศและมีซิปรูดขยายไซส์เสื้อจาก

แขนเสื้อมาจนถึงเอว- ชั้นในมีชั้นกันหนาว- ชั้นในสุดเป็นชั้นกันน�้า (ใส่ครบ 3 ชั้นวิ่งในเมืองไทยคงร้อนน่าดู!)- มีการ์ดไหล่และข้อศอก ส่วนการ์ดหลังสามารถซื้อเพิ่มเติมได้- แถบสีสะท้อนแสงและสีเสื้อแบบฟลูออเรซเซนต์แต่ไฮไลท์ของเสื้อ Crossover ตัวนี้อยู่ที่ระบบ Airbag (ถุงลมนิรภัย) ซึ่ง

ระบบถุงลมนิรภัยนั้นสามารถซื้อแยกจากเสื้อได้ในกรณีที่งบประมาณไม่พอ...พูดง่ายๆ ก็คือมันสามารถถอดออกจากกันได้และผู้ขายจะขายแยกส่วนกันมาเพื่อให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อระบบ Airbag เสริมได้ทีหลัง แต่ข้อดีของเจ้า Crossover รุ่นนี้ก็คือมันมีช่องที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกับถุงลมได้อย่างพอดิบพอดี ในส่วนของขั้นตอนการประกอบ Airbag นั้นก็ไม่ยาก...แค่ “ยัด” ตัว Airbag เข้าไปทางด้านหลังของเสื้อแจ็คเก็ต จากนั้นเดินสายรัดผ่านช่องที่ก�าหนด เวลาสวมใส่ก็แค่ใส่เสื้อแล้วรัดสายรัดพิเศษของ Airbag อีกชั้น ความรู้สึกมันจะคล้ายๆ กับคาดเข็มขัดนิรภัยในรถยนต์ผสมกับเหมือนใส่ร่มชูชีพไว้ตลอดเวลา (ความรู้สึกตอนแรกจะอึดอัดนิดๆ แต่ซักพักจะชินเอง)

•Thesecondchancethatcanbeboughtโอกาสที่2ที่ซื้อได้ด้วยเงิน

บางคนอาจคิดว่า Airbag เป็นอะไรที่ไม่จ�าเป็น, เกะกะ, เทอะทะ แต่เราคิดว่ามันเหมือนเป็น “โอกาสที่ 2” ที่จะช่วยให้คุณมีชีวิตรอดหรือช่วยลดทอนความเลวร้ายของอุบัติเหตุลง ยกตัวอย่างเช่น การล้มแบบ Highside (รถสะบัดตัวเราออกนอกรถ) แล้วหลังของเรากระแทกกับตัวรถหรือพื้นถนน...ถ้ามี Ariabg ซึ่งในกรณีของ Clover Crossover ที่มีสายเชื่อมระบบถุงลมกับตัวรถ...เมื่อไหร่ที่ตัวผู้ขี่หลุดออกจากรถและสายเชื่อมต่อหลุด...ระบบถุงลมจะ “ระเบิด” ออกเพื่อเตรียมรองรับการกระแทกในทันที...

ความพิเศษของถุงลมจาก Clover อยู่ที่ขนาดและการการันตีจากการทดสอบมาตรฐาน CE และ EN 1621-4 เมื่อมันท�างาน...สายเคเบิ้ลที่เชื่อมต่อกับกับเซ็นเซอร์ถูกดึงให้แยกจากกัน...ระบบจะปลดปล่อยแก๊สที่บรรจุอยู่ในกระบอกโลหะออกมา จากนั้นถุงลมที่ถูกพับว่าอย่างดีจะกางออกโดนยืดระยะการป้องกันของร่างกายช่วงบนให้ถึงส่วนหัวของผู้ขับขี่ ส่วนด้านล่างก็จะมีถุงลมยืดออกมาป้องกันหลังช่วงล่างและกระดูกก้นกบ ขั้นตอนทั้งหมดนี้ใช้เวลาแค่ 0.8 วินาทีเท่านั้น!!...หลายคนอาจคิดว่าระบบ Airbag เป็นอะไรที่สิ้นเปลืองและแพงโดยใช่เหตุ....ก็จริงอยู่ครับเพราะค่าตัวเสื้อแจ็คเก็ตอยู่ที่ 454.40 ยูโร (17,480 บาท) และค่าตัวเจ้า Airbag อยู่ที่ 330.50 ยูโร (12,714 บาท) แต่เมื่อเทียบกับการป้องกันแล้วโอกาสการมีชีวิตรอดจากอุบัติเหตุก็นับว่าคุ้มค่าครับ...มีค�าถามว่า “แล้ว Airbag เติมแก๊สแพงมั้ย” ตอบได้ว่าไม่แพงครับ ค่ากระป๋องแก๊สส�าหรับเปลี่ยนอยู่ที่ 1,000 บาท (ราคาจาก Panda Rider Station)

•CrossOveryoufear!จงก้าวข้ามความกลัวของตัวคุณเอง

เป็นยังไงล่ะครับกับเสื้อแจ็คเก็ตทัวริ่งที่ธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา...เพราะมีระบบถุงลมนิรภัยรองรับ เรียกว่าเสื้อตัวเดียวขี่เที่ยวได้ทั่วเลยครับ เพราะการเดินทางแต่ละครั้งมักจะมีอุปสรรคเป็นลมฟ้าอากาศและสิ่งที่ไม่คาดคิดมาคอยกวนใจเวลาที่เราออกทริป...เพราะงั้น จะดีแค่ไหนถ้ามีเสื้อแจ็คเก็ตเจ๋งๆ ที่มีถุงลมในตัวซักตัวเอาไว้คอย “Watch your back” (ระวังหลัง) ให้คุณ ใครที่ก�าลังเตรียมออกเดินทางท่องเที่ยวชมความงามในหน้าฝน...Clover Cross-over เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของเสื้อทัวร์ริ่งที่น่าสนใจครับ

ปล. ระวังเพื่อนแอบดึงสายเล่นนะครับ ปล.2 ก่อนลงจากรถอย่าลืมปลดสายนิรภัยก่อนนะ

ครับ ไม่งั้นเพื่อนๆ อาจหัวเราะเอาได้

ขอบคุณร้าน Panda Rider Station ส�าหรับสินค้าตัวจริงเสียงจริงในการรีวิวครั้งนี้ครับสอบถามเพิ่มเติมติดต่อ 02-940-4477 / 08-7590-4244 หรือ www.pandarider.com

Gear Hunter

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201350 51

Page 51: FRM issue 8 (June 2013)

Cross Over your fearwith Clover’s Crossover Airbag

ก้าวข้ามความกลวัด้วย...

CloverCrossoverAirbag

ฉบับที่แล้วเราน�าเสนอเกี่ยวกับอุปกรณ์ขับขี่มอเตอร์ไซค์ที่เพิ่มความเย็นให้กับร่างกาย แต่เนื่องจากฤดูฝนที่ก�าลังใกล้เข้ามาและอาจเริ่มโปรยปรายสายฝนลงมาเป็นอุปสรรคให้กับเหล่านักเดินทางชาว 2 ล้ออย่างเรา ฉบับนี้เราจึงขอเสนอชุดขี่มอเตอร์ไซค์สไตล์ทัวริ่งที่ไม่ได้แค่กันหนาวหรือกันฝน แต่มันยังมี “Air Bag” อีกด้วย! มาดูกันเลยดีกว่ากับ Clover Crossover Airbag

•Perfectineveryweatherยอดเยี่ยมในทุกสภาพอากาศ

เรายังคงวนเวียนอยู่กับไรดิ้งเกียร์แบรนด์อิตาลี่ Clover ผู้ซึ่งผลิตและพัฒนาชุดส�าหรับขับขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ตลอดเวลา และไรดิ้งเกียร์ชิ้นล่าสุดที่ทั้งสีสันและหน้าตามันช่างสะดุดตาเราซะเหลือเกิน จนท�าให้เราต้องหยิบมันมารีวิว มันคือ Clover Crossover (อ่าน โคล-เว่อ ครอส-โอ-เว่อ) รูปลักษณ์ภายนอกมันก็ดูเหมือนเสื้อแจ็คเก็ตใส่ขี่ทัวริ่งทั่วไป คุณสมบัติมาตรฐานของมันคือ

- ผิวชั้นนอกสุดเป็นดูราเท็ค 7 ผสมบาลิสติก สามารถกันน�้าได้ระดับหนึ่ง- ชั้นนอกสุดของเสื้อมีซิปส�าหรับระบายอากาศและมีซิปรูดขยายไซส์เสื้อจาก

แขนเสื้อมาจนถึงเอว- ชั้นในมีชั้นกันหนาว- ชั้นในสุดเป็นชั้นกันน�้า (ใส่ครบ 3 ชั้นวิ่งในเมืองไทยคงร้อนน่าดู!)- มีการ์ดไหล่และข้อศอก ส่วนการ์ดหลังสามารถซื้อเพิ่มเติมได้- แถบสีสะท้อนแสงและสีเสื้อแบบฟลูออเรซเซนต์แต่ไฮไลท์ของเสื้อ Crossover ตัวนี้อยู่ที่ระบบ Airbag (ถุงลมนิรภัย) ซึ่ง

ระบบถุงลมนิรภัยนั้นสามารถซื้อแยกจากเสื้อได้ในกรณีที่งบประมาณไม่พอ...พูดง่ายๆ ก็คือมันสามารถถอดออกจากกันได้และผู้ขายจะขายแยกส่วนกันมาเพื่อให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อระบบ Airbag เสริมได้ทีหลัง แต่ข้อดีของเจ้า Crossover รุ่นนี้ก็คือมันมีช่องที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกับถุงลมได้อย่างพอดิบพอดี ในส่วนของขั้นตอนการประกอบ Airbag นั้นก็ไม่ยาก...แค่ “ยัด” ตัว Airbag เข้าไปทางด้านหลังของเสื้อแจ็คเก็ต จากนั้นเดินสายรัดผ่านช่องที่ก�าหนด เวลาสวมใส่ก็แค่ใส่เสื้อแล้วรัดสายรัดพิเศษของ Airbag อีกชั้น ความรู้สึกมันจะคล้ายๆ กับคาดเข็มขัดนิรภัยในรถยนต์ผสมกับเหมือนใส่ร่มชูชีพไว้ตลอดเวลา (ความรู้สึกตอนแรกจะอึดอัดนิดๆ แต่ซักพักจะชินเอง)

•Thesecondchancethatcanbeboughtโอกาสที่2ที่ซื้อได้ด้วยเงิน

บางคนอาจคิดว่า Airbag เป็นอะไรที่ไม่จ�าเป็น, เกะกะ, เทอะทะ แต่เราคิดว่ามันเหมือนเป็น “โอกาสที่ 2” ที่จะช่วยให้คุณมีชีวิตรอดหรือช่วยลดทอนความเลวร้ายของอุบัติเหตุลง ยกตัวอย่างเช่น การล้มแบบ Highside (รถสะบัดตัวเราออกนอกรถ) แล้วหลังของเรากระแทกกับตัวรถหรือพื้นถนน...ถ้ามี Ariabg ซึ่งในกรณีของ Clover Crossover ที่มีสายเชื่อมระบบถุงลมกับตัวรถ...เมื่อไหร่ที่ตัวผู้ขี่หลุดออกจากรถและสายเชื่อมต่อหลุด...ระบบถุงลมจะ “ระเบิด” ออกเพื่อเตรียมรองรับการกระแทกในทันที...

ความพิเศษของถุงลมจาก Clover อยู่ที่ขนาดและการการันตีจากการทดสอบมาตรฐาน CE และ EN 1621-4 เมื่อมันท�างาน...สายเคเบิ้ลที่เชื่อมต่อกับกับเซ็นเซอร์ถูกดึงให้แยกจากกัน...ระบบจะปลดปล่อยแก๊สที่บรรจุอยู่ในกระบอกโลหะออกมา จากนั้นถุงลมที่ถูกพับว่าอย่างดีจะกางออกโดนยืดระยะการป้องกันของร่างกายช่วงบนให้ถึงส่วนหัวของผู้ขับขี่ ส่วนด้านล่างก็จะมีถุงลมยืดออกมาป้องกันหลังช่วงล่างและกระดูกก้นกบ ขั้นตอนทั้งหมดนี้ใช้เวลาแค่ 0.8 วินาทีเท่านั้น!!...หลายคนอาจคิดว่าระบบ Airbag เป็นอะไรที่สิ้นเปลืองและแพงโดยใช่เหตุ....ก็จริงอยู่ครับเพราะค่าตัวเสื้อแจ็คเก็ตอยู่ที่ 454.40 ยูโร (17,480 บาท) และค่าตัวเจ้า Airbag อยู่ที่ 330.50 ยูโร (12,714 บาท) แต่เมื่อเทียบกับการป้องกันแล้วโอกาสการมีชีวิตรอดจากอุบัติเหตุก็นับว่าคุ้มค่าครับ...มีค�าถามว่า “แล้ว Airbag เติมแก๊สแพงมั้ย” ตอบได้ว่าไม่แพงครับ ค่ากระป๋องแก๊สส�าหรับเปลี่ยนอยู่ที่ 1,000 บาท (ราคาจาก Panda Rider Station)

•CrossOveryoufear!จงก้าวข้ามความกลัวของตัวคุณเอง

เป็นยังไงล่ะครับกับเสื้อแจ็คเก็ตทัวริ่งที่ธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา...เพราะมีระบบถุงลมนิรภัยรองรับ เรียกว่าเสื้อตัวเดียวขี่เที่ยวได้ทั่วเลยครับ เพราะการเดินทางแต่ละครั้งมักจะมีอุปสรรคเป็นลมฟ้าอากาศและสิ่งที่ไม่คาดคิดมาคอยกวนใจเวลาที่เราออกทริป...เพราะงั้น จะดีแค่ไหนถ้ามีเสื้อแจ็คเก็ตเจ๋งๆ ที่มีถุงลมในตัวซักตัวเอาไว้คอย “Watch your back” (ระวังหลัง) ให้คุณ ใครที่ก�าลังเตรียมออกเดินทางท่องเที่ยวชมความงามในหน้าฝน...Clover Cross-over เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของเสื้อทัวร์ริ่งที่น่าสนใจครับ

ปล. ระวังเพื่อนแอบดึงสายเล่นนะครับ ปล.2 ก่อนลงจากรถอย่าลืมปลดสายนิรภัยก่อนนะ

ครับ ไม่งั้นเพื่อนๆ อาจหัวเราะเอาได้

ขอบคุณร้าน Panda Rider Station ส�าหรับสินค้าตัวจริงเสียงจริงในการรีวิวครั้งนี้ครับสอบถามเพิ่มเติมติดต่อ 02-940-4477 / 08-7590-4244 หรือ www.pandarider.com

Gear Hunter

For Ride Magazine June 2013For Ride Magazine June 201350 51

Page 52: FRM issue 8 (June 2013)
Page 53: FRM issue 8 (June 2013)
Page 54: FRM issue 8 (June 2013)
Page 55: FRM issue 8 (June 2013)
Page 56: FRM issue 8 (June 2013)