Investment GuideIssue 04 Jan 2021

1

ให้ ETFs เป็นหุ้นตัวแรกของ การลงทุนแบบ DCA

จัดพอร์ตลงทุน โดยมี ETFsเป็นส่วนประกอบ

ความเสี่ยงจาก ETFs

ETFs ทางเลือกเพ่ือการลงทุน

ETFs ทางเลือกเพื่อการลงทุน

2

เมื่อเอ่ยถึงสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่มีชื่อว่า กองทุนรวม ETFs (Exchange Traded Fund) อาจสงสัยว่าเป็นหุ้นหรือเป็นกองทุนรวม คาตอบคือ เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ถูกคิดค้นด้วยการรวมคุณสมบัติเด่นของหุ้นและกองทุนรวมเข้าไว้ด้วยกัน

ดังนั้น ETFs จะเหมือนหุ้นทั่วๆ ไปที่นักลงทุนสามารถซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ได้ตลอดวันเวลาทาการของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสามารถรู้ราคาซื้อขายได้ตลอดเวลา (Real Time) และไม่มีกาหนดอายุโครงการ ขณะเดียวกันก็มีคุณสมบัติคล้ายกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ที่มีนโยบายนาเงินไปลงทุนแบบเชิงรับ (Passive Income) ที่เน้นสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง (Benchmark) ที่ไปลงทุนตามนโยบายของแต่ละกองทุน เช่น ดัชนี SET50 Index, หุ้นกลุ่มธนาคาร, หุ้นกลุ่มพลังงาน, ดัชนีหุ้นต่างประเทศ หรือดัชนีราคาทองคา เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ ETFs จึงเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่รวมจุดเด่นของหุ้นและกองทุนรวมดัชนีเข้าไว้ด้วยกัน นั่นคือ เป็นกองทุนรวมที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาเหมือนหุ้น รู้ราคาซื้อขายได้ตลอดเวลา แต่กระจายความเสี่ยงการลงทุนเหมือนกองทุนรวมดัชนี และเสียค่าบริหารจัดการต่ากว่ากองทุนรวมทั่วไป

“ETFs เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) จึงมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลเงินลงทุนให้กับนักลงทุน ขณะเดียวกัน ETFs ก็เหมือนหุ้นตัวหนึ่งด้วย แปลว่า นักลงทุนสามารถซื้อขายบนกระดานได้เหมือนหุ้น จึงเห็นราคาขึ้นลงได้ ณ ขณะนั้น” ชนัต คงพัฒนสิริ ผู้จัดการกองทุน บลจ.กรุงไทย กล่าวเพิ่มเติม

3

ความเหมอืนและแตกตา่งของหุน้, ETFs และกองทนุรวมดชันี

คุณลักษณะ หุ้น ETFs กองทุนรวมดัชนี

จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย

กระจายการลงทุน

ช่องทางการซื้อขาย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บริษัทหลักทรัพย์ จัดการลงทุน (บลจ.)

ช่วงเวลาซื้อขาย เวลาทาการของตลาด หุ้นไทย

เวลาทาการของตลาด หุ้นไทย

ตามแต่ละบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน

(บลจ.) จะกาหนด

ราคาซื้อขาย ราคาตลาดขณะนั้น(Real Time)

ราคาตลาดขณะนั้น(Real Time) ราคา ณ สิ้นวันทาการ

ความเสี่ยง สูง ต่า – สูง* ต่า – สูง*

ผลตอบแทน - ส่วนต่างราคาซื้อขาย- เงินปันผล

- ส่วนต่างราคาซื้อขาย- เงินปันผล

- ส่วนต่างราคาซื้อขาย- เงินปันผล**

ค่าธรรมเนียมที่นักลงทุนต้องจ่าย

- ค่านายหน้า บล.- ค่าธรรมเนียมซื้อขาย

หลักทรัพย์

- ค่านายหน้า บล.- ค่าธรรมเนียมซื้อขาย

หลักทรัพย์

- ค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ

- ค่าธรรมเนียมตอนซื้อ- ค่าธรรมเนียมตอนขาย- ค่าธรรมเนียมซื้อขาย

หลักทรัพย์***- ค่าธรรมเนียมผู้ดูแล

ผลประโยชน์- ค่าธรรมเนียมนาย

ทะเบียน

หมายเหตุ * ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่กองทุนมีนโยบายลงทุน เช่น ลงทุนหุ้น มีความเสี่ยงสูง, ลงทุนตราสารหนี้ มีความเสี่ยงต่า** กองทุนรวมดัชนีบางกองทุนไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล*** ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละกองทุน บางกองทุนไม่มีค่าธรรมเนียมซื้อขาย หรืออาจ เรียกเก็บเวลาซื้อและขาย

(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปของกองทุนรวมนั้นๆ)

ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

4

ETFs เป็นเครื่องมือทางการเงินที่กาลังได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลก เพราะซื้อขายสะดวกและมีให้เลือกหลากหลายสินทรัพย์ โดยในปัจจุบันตลาดหุ้นไทย มี ETFs จดทะเบียนเพื่อซื้อขายจานวน 12 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 18,633.28 ล้านบาท และมูลค่าการซื้อขาย 68.65 ล้านบาทต่อวัน (ข้อมูล ณ วันที่ 4 มกราคม 2564)

เคยหรือไม่เวลาหุ้นขึ้นก็ไม่กล้าซื้อ หุ้นลงก็ไม่กล้าซื้อ แต่ก็อยากลงทุนระยะยาว พูดง่ายๆ ตลาดหุ้นมักสร้างความกล้าบวกความกลัวให้กับนักลงทุนอยู่เสมอ แค่คิดว่าอยากลงทุน ความรู้สึกเหล่านี้ก็จะถาโถมใส่จนไม่กล้าและล้มเลิกความตั้งใจอยากลงทุนไปเอง ผลที่ตามมา ก็คือ อาจทาให้พลาดโอกาสในการบรรลุเป้าหมายทางการเงินอย่างน่าเสียดาย

“แล้วจะทาอย่างไรให้กล้าที่จะเริ่มลงทุน” คาถามคาใจของนักลงทุน คาตอบคือ ตลาดหุ้นไทยเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถลงทุนในผลิตภัณฑ์ได้อย่างหลากหลาย ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและสไตล์การลงทุนของตนเอง ซื้อขายได้ตลอดเวลาทาการ พร้อมกับการดูแลสภาพคล่อง ซึ่งตราสารที่ได้รับความนิยมในการเก็บสะสมเพื่อลงทุนระยะยาวของนักลงทุนทั่วโลก คือ ETFs ที่สามารถกระจายความเสี่ยงได้ดี

“ETFs จะนาเงินไปลงทุนตามดัชนีอ้างอิง เช่น SET50 ดังนั้น ถ้าหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมีปัญหาก็อาจส่งผลกระทบกับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนไม่มาก สมมติว่านักลงทุนมีเงินเริ่มต้นลงทุนอยู่จานวนหนึ่ง ควรนาเงินมาพักใน ETFs ที่อ้างอิงดัชนี SET50 หรือ SET100 เมื่อมีความเชี่ยวชาญก็ขาย ETFs บางส่วนแล้วค่อยไปซื้อหุ้นรายตัว เป็นต้น” ดร.ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการ และ Chief Investment Officer บลจ.บางกอกแคปปิตอล กล่าว

ให้ ETFs เป็นหุ้นตัวแรกของการลงทุนแบบ DCA

5

ดร.ธนาวุฒิ มองว่า สาหรับการลงทุนระยะยาว ETFs จะเป็นประโยชน์ในเรื่องของต้นทุนที่ต่า เพราะไม่มีค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย (Front-end Fee) และเมื่อเป็นกองทุนรวมดัชนี ก็ทาให้การบริหารจัดการของ บลจ. ง่ายขึ้น ส่งผลให้ค่าบริหารกองทุนและค่าใช้จ่าย (Expense Ratio) อยู่ในระดับที่ต่า ซึ่งเป็นประโยชน์ในระยะยาวต่อการบริหารจัดการต้นทุน

“ที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นว่า สาหรับ ETFs แล้ว ต้นทุนที่ต่า มีความสาคัญกว่าความสามารถในการเลือกลงทุนของผู้จัดการกองทุน ซึ่งจะแตกต่างจากกองทุนประเภท Active Fund ที่มีผู้จัดการคอยเลือกหุ้นให้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีค่าธรรมเนียมสูง”

ชนัต อธิบายเพิ่มเติมว่า ETFs เป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดี เช่น ซื้อ ETFsที่อ้างอิงดัชนี SET50 ก็เหมือนได้หุ้น 50 ตัว หรือ ETFs ที่อ้างอิงกลุ่มหุ้นพลังงาน ก็เหมือนได้ซื้อหุ้นทุกตัวในกลุ่มพลังงาน “สิ่งสาคัญของการลงทุน คือ การกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่ง ETFs ตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ดี และยิ่งมีการลงทุน ETFs ในประเทศอยู่แล้ว หากแบ่งเงินบางส่วนไปลงทุน ETFs ต่างประเทศ ก็ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดียิ่งขึ้น”

ความโดดเด่นของ ETFs สาหรับผู้ที่ยังไม่มีเงินก้อนเพียงพอที่จะนามาลงทุนได้ภายในครั้งเดียว แต่อยากหาโอกาสสร้างผลตอบแทน และไม่รู้ว่าจะเริ่มจากหุ้น กองทุนรวม หรือสินทรัพย์อะไร ก็คือ สามารถทยอยลงทุนอย่างสม่าเสมอ (Dollar Cost Average: DCA) ด้วยเงินก้อนเล็กๆ ได้ บวกกับความมีวินัยและให้เวลากับการลงทุน ที่นานพอสมควร และแม้ว่าการลงทุนแบบ DCA จะไม่ได้กาไรสูงสุด แต่ก็ไม่มีทางขาดทุนแบบกู่ไม่กลับ ที่สาคัญยังช่วยลดความเสี่ยงของการลงทุนได้เป็นอย่างดี

6

หากเริ่มต้นลงทุนในกองทุน ETFs ที่มีชื่อว่า TDEX (ThaiDex SET50 ETF) ณ สิ้นเดือนมกราคม ปี 2552 ด้วยจานวนเงิน 1,000 บาท จากนั้นทุกๆ สิ้นเดือนก็ซื้ออย่างต่อเนื่องด้วยจานวนเงินเท่ากันๆ โดยล่าสุด ซื้อจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ปี 2563 ปรากฏว่าได้จานวนหุ้นทั้งสิ้น 17,807 หุ้น มีต้นทุน 143,375.33 บาท ได้ราคาต้นทุนเฉลี่ย 8.05 บาทต่อหน่วย ขณะที่มูลค่าตลาดของกองทุน TDEX (ณ วันที่ 4 มกราคม ปี 2564) เท่ากับ 161,865.63 บาท ราคาปิดที่ 9.09 บาท ทาให้มีกาไร 18,490.30บาท อีกทั้งยังได้รับเงินปันผลอีก 31,167.38 บาท

ตัวอย่าง

ลงทุนกองทนุ TDEX ตั้งแตส่ิน้เดอืนมกราคม 2552 – สิ้นเดือนธันวาคม 2563

เงินลงทุน

ต่อเดือน (บาท)

มูลค่าต้นทุน (บาท)

จานวนหุ้นที่ได้(หุ้น)

ราคาต้นทุนเฉลี่ย

(บาทต่อหุ้น)

มูลค่าตลาดณ วันที่ 30 ธันวาคม 2563(บาท)

ราคาปิด ณ วันที่ 30ธันวาคม2563(บาท)

กาไร (บาท)

เงินปันผล (บาท)

ต้นทุน + กาไร + เงินปันผล

(บาท)

1,000 143,375.33 17,807 8.05 161,865.63 9.09 18,490.30 31,167.38 193,033.01

กองทุน TDEX จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นไทย ดังนั้น นักลงทุนสามารถซื้อขายผ่านโบรกเกอร์หรือผ่านออนไลน์ได้เหมือนหุ้นตัวอื่นๆ โดยกองทุน TDEX มีนโยบายการลงทุนในหุ้นทุกตัวที่อยู่ในดัชนี SET50 ตามสัดส่วนของหุ้นแต่ละตัวที่่ใช้คานวณในดัชนี SET50 นั่นหมายความว่า ความโดดเด่นของการลงทุนในกองทุน TDEX คือ มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี

หมายเหตุ : ตารางข้างต้นเป็นตัวอย่างเพื่อใช้สาหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นาการลงทุนแต่อย่างใดนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

ที่มา : SETSMART ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ดังนั้น กองทุน TDEX จึงเหมาะกับนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้น ยังไม่มีความชานาญในการคัดเลือกหุ้น สามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลาง ไม่ค่อยมีเวลาติดตามข้อมูลข่าวสาร และช่วยลดโอกาสในการเลือกหุ้นผิด เนื่องจากเป็นการลงทุนในหุ้น 50 ตัวแรกที่ผ่านการคัดเลือกจากขนาดและสภาพคล่องของแต่ละบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว

7

“ถ้าลงทุนหุ้นรายตัว ต้องมั่นใจว่าสามารถรับความผันผวนของหุ้นได้สูง ยิ่งซื้อหุ้นน้อยตัวความผันผวนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงสูงๆ เพียงแค่ซื้อ ETFs ที่ซื้อหุ้นหลายตัว ภาพรวมของพอร์ตลงทุนก็จะผันผวนน้อยลง เพราะมีการกระจายความเสี่ยงที่มากขึ้น” ตราวุทธิ์ เหลืองบริบูรณ์ ประธานบริหารและผู้ก่อตั้ง Jitta (www.jitta.com) กล่าว

อีกทั้งกองทุน TDEX เป็นการลงทุนที่มีการกระจายการลงทุนอย่างกว้างขวาง ทาให้มีความผันผวนของราคาต่า นักลงทุนจึงสามารถตัดสินใจลงทุนได้ง่ายและไม่ถูกสภาวะการลงทุนที่ผันผวนกระตุ้นและทาให้เกิดความตื่นตระหนกในการลงทุนจนเลือกเวลาลงทุนผิด ซึ่งถ้าเป็นนักลงทุนมือใหม่อาจมีความผิดพลาดในการจับจังหวะการเข้าซื้อหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตลาดผันผวน

ไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 บริษัท Berkshire Hathaway ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ย่องเข้าซื้อ ETFs 2 กอง ได้แก่ Vanguard S&P 500 ETF (VOO) เเละ SPDR S&P 500 ETF Trust (SPY) รวมมูลค่า 25 ล้านเหรียญสหรัฐ

บัฟเฟตต์ ให้เหตุผลว่า ETFs และกองทุนรวมดัชนี เป็นทางเลือกที่ดีสาหรับ นักลงทุนทั่วไปที่ต้องการเพิ่มพูนมูลค่าทรัพย์สินของตัวเองในระยะยาว เพราะกองทุนเหล่านี้ก็จะเติบโตตามดัชนีตลาดในระยะยาว จึงเป็นทางเลือกที่ลดโอกาสทาพลาดจนขาดทุนถาวร นอกจากนี้ยังกระจายความเสี่ยงให้เรียบร้อยและค่าธรรมเนียมต่า

“นักลงทุนไม่ต้องคิดอะไรเยอะก็ลงทุนได้แล้ว และวิธีการซื้อควรทยอยใส่เงินเข้าไปเรื่อยๆ หรือ DCA จะดีกว่า” บัฟเฟตต์ บอก

(อ้างอิงข้อมูลจาก www.jitta.com)

วอร์เรน ปัฟเฟตต์ ย่องเข้าซื้อ ETFs

8

จัดพอร์ตลงทุน โดยมี ETFs เป็นส่วนประกอบETFs เป็นกองทุนรวมดัชนีประเภทหนึ่งที่เน้นสร้างผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีที่

อ้างอิง เพียงแต่ ETFs สามารถซื้อขายผ่านตลาดหุ้นได้เหมือนหุ้นตัวหนึ่ง ทาให้มีสภาพคล่องสูง สับเปลี่ยนไปมาได้สะดวกสบายและค่าใช้จ่ายต่า ที่สาคัญมาพร้อมการกระจายความเสี่ยงแบบครอบคลุมในตัว เพราะดัชนีที่ใช้อ้างอิงประกอบไปด้วยหลักทรัพย์จานวนมาก เช่น ซื้อ ETF อ้างอิงดัชนี SET50 1 กอง ก็เหมือนได้เป็นเจ้าของหุ้น 50 ตัวแรกในดัชนี SET50 โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมากเหมือนลงทุนหุ้นรายตัว

ด้วยเหตุนี้เอง ETFs จึงเป็นทางเลือกให้นักลงทุนสามารถนาไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพให้พอร์ตลงทุนของตัวเอง ด้วยการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท โดยหากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ สินทรัพย์ประเภทหนึ่งปรับตัวลง แต่อีกประเภทปรับตัวขึ้น ก็จะช่วยประคองพอร์ตลงทุนให้ไม่ขาดทุนหนักๆ จึงลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนโดยรวมได้

พอร์ตลงทุนในอุดมคติของนักลงทุน จะเป็นพอร์ตที่ขยายผลกาไรได้มากที่สุด ในความเสี่ยงที่น้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม การจับทิศทางตลาดให้ถูกต้องหรือเลือกสินทรัพย์ให้ถูกตัว อาจไม่ใช่กลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ดังกล่าวมากนัก เพราะน้อยคนในโลกนี้ที่จะจับจังหวะตลาดหรือเลือกสินทรัพย์ได้ถูกต้องแม่นยาสม่าเสมอ

“สิ่งสาคัญที่สุดสาหรับนักลงทุนที่ต้องการให้พอร์ตลง ทุนทางานได้เต็มประสิทธิภาพ ทาผลตอบแทนให้ได้มากที่สุด ในความเสี่ยงที่จากัด คือ การจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) และการกระจายความเสี่ยง (Diversification)” ตราวุทธิ์ เล่า

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ETFs จะช่วยให้ลงทุนได้แบบไม่ต้องกังวลหรือเครียดจนเกินไป ขณะเดียวกันสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจในระยะยาว “ในช่วงตลาดผันผวน ETFs จะมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะว่าหากเลือกลงทุนหุ้นรายตัว อาจมีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่ถ้าซื้อ ETFs ก็เปรียบเสมือนลงทุนหุ้นหลายตัว แปลว่า เป็นการกระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้น เพราะพอร์ตลงทุนที่ดี ไม่ใช่การถือสินทรัพย์เยอะๆ แต่อยู่ที่การกระจายความเสี่ยงที่ดี” ดร.ธนาวุฒิ ให้เหตุผล

9

ตัวอย่าง จัดพอร์ต ETFs ตามระดับความเสี่ยง

สาหรับการจัดพอร์ต ETFs นั้น ดร.ธนาวุฒิ แนะนาว่า ในเบื้องต้นต้องดูระดับความเสี่ยงที่ตนเองสามารถยอมรับได้ เพราะจะบอกได้ว่าควรมีสินทรัพย์ประเภทไหนและสัดส่วนเท่าไหร่อยู่ในพอร์ตลงทุน

สินทรัพย์สัดส่วนการลงทุน

พอร์ตเสี่ยงต่า พอร์ตเสี่ยงปานกลาง พอร์ตเสี่ยงสูง

ETFs หุ้นเช่น- ETFs หุ้นไทย- ETFs หุ้นสหรัฐอเมริกา- ETFs หุ้นยุโรป- ETFs หุ้นเอเชีย- ETFs หุ้นประเทศกาลังพัฒนา

25% 30% 70%

ETFs ตราสารหนี้เช่น- ETFs ตราสารหนี้ไทย- ETFs พันธบัตรรัฐบาล

สหรัฐอเมริกา- ETFs หุ้นกู้สหรัฐอเมริกา- ETFs ตราสารหนี้เอเชีย- ETFs หุ้นกู้ประเทศกาลังพัฒนา

70% 60% 20%

ETFs ทองคา 5% 10% 10%

เนื่องจาก ETFs ในไทยส่วนใหญ่จะมีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีหุ้นไทย อีกทั้ง ETFs ตราสารหนี้ในไทยก็ยังไม่หลากหลายเช่นเดียวกัน ดังนั้น นักลงทุนควรกระจายการลงทุนไปใน ETFs หุ้นต่างประเทศ และ ETFs ตราสารหนี้ต่างประเทศด้วยเช่นกัน

“ETFs เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ช่วยให้กระจายความเสี่ยงได้ง่าย ดังนั้น ยิ่งตลาดผันผวนมากเท่าไหร่ ก็ต้องกระจายความเสี่ยงมากเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น การกระจายความเสี่ยงถือเป็นการป้องกันที่ดี” ดร.ธนาวุฒิ กล่าว

10

ด้านตราวุทธิ์ แนะนานักลงทุนถึงขั้นตอนการลงทุน ETFs ดังนี้1. ประเมินระดับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้2. จัดสรรสินทรัพย์ในพอร์ตลงทุนให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ โดย

ประกอบไปด้วยหุ้น หุ้นกู้เกรดดีและพันธบัตรรัฐบาล ในสัดส่วนที่มีโอกาสจะสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด สาหรับระดับความเสี่ยงตามทฤษฎี Modern Portfolio Theory ที่เน้นกระจายความเสี่ยงในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก และทากาไรสูงสุด ในความเสี่ยงที่เหมาะสม

3. กระจายความเสี่ยงผ่าน ETFs ที่ซื้อขายในตลาดหุ้นในประเทศและต่างประเทศ เช่น ลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา โดยคัดเลือกกองทุน ETFs ที่มีความมั่นคงและสภาพคล่องสูง ความคลาดเคลื่อนจากดัชนีที่ใช้อ้างอิงต่า และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่า

4. จัดน้าหนักการลงทุนใน ETFs แต่ละกอง ตามแผนการลงทุน

สินทรัพย์เพื่อการลงทุนในโลกนี้มีหลายประเภท แต่ที่คุ้นหูและซื้อขายเปลี่ยนมือได้ง่ายที่สุด ได้แก่ หุ้น ตราสารหนี้ (พันธบัตร, หุ้นกู้) เงินสดหรือสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด และสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคา

สินทรัพย์แต่ละประเภทจะมีปฏิกิริยากับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจแตกต่างกันไป เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีหรือมีปัจจัยเชิงลบ เช่น โรคระบาดหรือสงครามการค้า สินทรัพย์ส่วนใหญ่จะมีมูลค่าลดลง แต่สินทรัพย์บางประเภทกลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้นสวนทางตลาดได้

โดยทฤษฎี Modern Portfolio Theory นาเสนอให้นักลงทุน ลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ค่อยสัมพันธ์กัน เพราะเมื่อสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลง สินทรัพย์บางอย่างในพอร์ตมูลค่าลดลง แต่สินทรัพย์อื่นๆ จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทาให้พอร์ตลงทุนโดยรวมไม่ผันผวนมากเหมือนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งเพียงอย่างเดียว

11

อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์แต่ละอย่างให้ผลตอบแทนไม่เท่ากัน หากเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนต่าเยอะ เกินไป พอร์ต ลงทุนจะมีความผันผวนต่า แต่ผลตอบแทนก็จะต่าตามไปด้วย ในทางกลับกัน หากลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงเยอะเกินไป อาจจะได้ผลตอบแทนดี แต่ระดับความผันผวนของพอร์ตลงทุนก็อาจสูงเกินกว่าที่รับได้ ดังนั้น การลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ค่อยสัมพันธ์กันในสัดส่วนที่เหมาะสม จะสามารถให้ผลลัพธ์การลงทุนที่เหมาะสมตามไปด้วย

สาหรับ วิธีการคัดกรอง ETFs ตราวุทธิ์ แนะนาในเบื้องต้น ดังนี้1. จัดอันดับ ETFs ของสินทรัพย์แต่ละประเภท โดยเรียงตามมูลค่าเงินลงทุน

ภายใต้การบริหารจัดการ (Assets Under Management: AUM) สูงที่สุด 5 อันดับ เพราะ AUM ที่สูงแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงและสภาพคล่องของกองทุน

2. พิจารณาค่าใช้จ่าย (Expense Ratio) ของ ETFs ที่คัดกรองมา และเลือก ETFs ที่ AUM สูงที่สุด และค่าใช้จ่ายต่าที่สุด

3. หากไม่มี ETFs ใดที่เข้าเกณฑ์ข้อ 2 จะพิจารณา ETFs ที่ AUM สูงที่สุดลาดับถัดมา ที่ค่าใช้จ่ายและ Tracking Error ต่า (ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีมาก) กว่าค่าเฉลี่ยของ ETFs 5 อันดับ ตามที่คัดกรองไว้ในข้อ 1

12

ความเสี่ยงจาก ETFsแม้ว่า ETFs จะมีความน่าสนใจ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเหมือนการลงทุนใน

หลักทรัพย์อื่นๆ

1. ความเสี่ยงด้านราคา หรือ ความเสี่ยงตลาด เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการปรับตัวขึ้นลงของราคา หรือผลตอบแทนของ

หลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีอ้างอิงที่กองทุนได้ลงทุนไป ซึ่งเกิดจากสภาวะเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงไป ถือเป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ตัวอย่างเช่น ถ้ามีข่าวสารเกี่ยวกับตัวเลขสาคัญทางเศรษฐกิจออกมาไม่ดีนัก ดัชนี SET50 อาจปรับตัวลดลง ส่งผลกระทบต่อราคา ETFs อ้างอิงดัชนี SET50 ที่อาจทาให้ราคาลดลงได้ ทาให้นักลงทุนขายได้ในราคาที่ต่ากว่าตอนที่ซื้อมาตอนแรก

2. ความเสี่ยงจากการดาเนินงานของบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์แต่ละตัวที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีอ้างอิง

ถือเป็นความเสี่ยงเฉพาะที่เกิดขึ้นกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาหลักทรัพย์ที่กองทุนได้เลือกลงทุนไว้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ETFs มีการกระจายการลงทุนเป็นอย่างดี และมีมืออาชีพคอยติดตามผลกระทบต่างๆ ที่มีต่อราคาหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่องสม่าเสมอ ความเสี่ยงประเภทนี้จึงค่อนข้างต่า

3. ความเสี่ยงจากการที่ ETFs ไม่สามารถเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิงได้อย่างสมบูรณ์

เนื่องจาก ETFs เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเลียนแบบหรือล้อกับดัชนีที่ถูกนามาใช้ในการอ้างอิง จึงมีความเป็นไปได้ว่าในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง อัตราผลตอบแทนของกองทุนจะเบี่ยงเบนไปจากอัตราผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิง กล่าวคือ อัตราผลตอบแทนของ ETFs อาจสูงหรือต่ากว่าอัตราผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิง ซึ่งเรียกความเสี่ยงประเภทนี้ว่า Tracking Error

ตัวอย่างเช่น อัตราผลตอบแทนของ ETFs ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีค่าเท่ากับ 10% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนของดัชนี SET50 ในช่วงเดียวกันเท่ากับ 9.85% ทาให้เกิด Tracking Error เท่ากับ +0.15%

13

อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการกองทุนมีหน้าที่บริหารกองทุนให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง เพื่อให้เกิด Tracking Error น้อยที่สุด ความเสี่ยงประเภทนี้จึงค่อนข้างต่า

4. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในการซื้อขายเป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการที่นักลงทุนไม่สามารถซื้อขาย ETFs ได้ภายใน

ระยะเวลาหรือราคาตามที่กาหนดไว้ อย่างไรก็ตาม ETFs จะจัดให้มีผู้ดูแลสภาพคล่อง คอยทาหน้าที่เป็นผู้เสนอซื้อเสนอขายหน่วยลงทุน ETFs ในตลาด จึงทาให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ตลอดเวลา ความเสี่ยงประเภทนี้จึงต่ามาก

นักลงทุนที่เคยลงทุนในกองทุนรวม จะคุ้นเคยกับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value: NAV) แต่ความต่างของกองทุนรวมกับ ETFs ทาให้รูปแบบการคิดคานวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ ETFs นั้น แตกต่างออกไป เพื่อความถูกต้องในการพิจารณามูลค่าสินทรัพย์สุทธิของ ETFs มาทาความเข้าใจ “iNAV” (Indicative NAV) กัน

NAV คือมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่กองทุนถือครองอยู่ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง เพื่อสะท้อนถึงมูลค่าที่เป็นจริงตามสภาวะตลาดที่ได้เปลี่ยนแปลงไป โดยในแต่ละวัน บลจ. ที่ทาหน้าที่บริหารจัดการกองทุนจะประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนไว้ตามราคาตลาด (Mark to Market) รวมกับผลประโยชน์ที่กองทุนได้รับ เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าธรรมเนียมต่างๆ นามาหักลบกับหนี้สินกองทุน เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ และค่าธรรมเนียมนายทะเบียน เป็นต้น โดยผู้ดูแลผลประโยชน์ (Trustee) จะเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้อง ก่อนเผยแพร่ต่อนักลงทุน

ท าความรูจ้ัก iNAV “กลไกการสรา้งดลุยภาพของราคา”

มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนต่อหน่วยลงทุน (NAV per Unit) หรือเรียกอีกอย่างว่า มูลค่าต่อหน่วย จึงเป็นตัวเลขที่ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถนาไปคานวณเพื่อหาว่าได้รับผลตอบแทนเท่าใดจากการลงทุนในกองทุนรวมนั้น

14

ถ้าในปัจจุบัน มูลค่าต่อหน่วยเพิ่มขึ้นจากวันที่ซื้อไว้ ก็แสดงว่ามีกาไร ในทางกลับกัน ถ้ามูลค่าต่อหน่วยลดลงจากวันที่ซื้อไว้ หมายถึงขาดทุน ซึ่งโดยปกติแล้วจะสามารถรับทราบมูลค่าต่อหน่วย ณ สิ้นวันล่าสุด ในเช้าวันทาการถัดไป เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนต่อไป

ส่วนกรณีของ ETFs จะมีความแตกต่างออกไป โดยนอกเหนือจากการมี NAV ณสิ้นวันแล้ว ก็ยังมีข้อมูลพิเศษเพิ่มเติมในระหว่างวัน เพื่อให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนได้ดีตลอดทั้งวันอีกด้วย ข้อมูลที่ว่าก็คือ iNAV หรือมูลค่าทรัพย์สินสุทธิโดยประมาณ ซึ่งเป็นการคานวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยให้อัพเดทอยู่เสมอ เนื่องจากสินทรัพย์ต่างๆ ที่ ETFs ถืออยู่นั้น มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ทาง บลจ. จึงทาการคานวณ iNAV ให้ใหม่ตามราคาของสินทรัพย์ที่เปลี่ยนไปนั้น ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากสาหรับนักลงทุน

โดยทั่วไปแล้วราคาซื้อขาย ETFs จะใกล้เคียงกับ iNAV แทบจะไม่แตกต่างกันมากอย่างมีนัยสาคัญ โดยมีกลไกพิเศษ นั่นคือ ราคาซื้อขาย (Trading Price) ของหน่วยลงทุน ETFs โดยจะถูกกาหนดโดยอุปสงค์และอุปทานที่มีอยู่ในตลาด เสมือนเป็นหุ้นตัวหนึ่ง โดยมีผู้ร่วมค้าหน่วยลงทุน (Participating Dealers หรือ PD) ซึ่งรวมถึงผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ที่ถูกแต่งตั้งโดย บลจ. เข้ามาดูแลการรักษาช่วงต่างราคา (Bid-offer spread) ซึ่งทาให้ราคาซื้อขายของหน่วยลงทุน ETFs ไม่แตกต่างไปจากมูลค่าโดยประมาณต่อหน่วยมากนัก วิธีการดังกล่าวนี้เรียกว่า กลไกการสร้างดุลยภาพของราคา

โดยกระบวนการสร้างดุลยภาพของราคา เริ่มขึ้นเมื่อ PD พบว่าราคาซื้อขาย ETFs แตกต่างจาก iNAV ต่อหน่วย เช่น ถ้าราคาซื้อขายหน่วยลงทุน ETFs ถูกกว่า iNAV ต่อหน่วย PD จะทาการซื้อหน่วยลงทุน ETFs เพื่อเป็นการเพิ่มอุปสงค์ แต่ถ้า ETFs มีราคาสูงกว่า iNAV ต่อหน่วย PD ก็จะขาย ETFs ออกมา เพื่อเพิ่มอุปทานให้กับตลาดรอง

15

วิธีการดังกล่าวจึงทาให้ราคา ETFs กลับเข้าสู่จุดดุลยภาพที่ต้องการ ซึ่งก็คือราคาซื้อขาย ETFs และเป็นเหตุผลที่อธิบายว่าเหตุใด iNAV ต่อหน่วย จึงใกล้เคียงกับราคาซื้อขาย ETFs และกลไกการสร้างดุลยภาพของราคานี้เอง ที่ทาให้นักลงทุนรายย่อยสามารถอุ่นใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะซื้อแพงหรือขายถูก เพราะเมื่อกลไกดังกล่าวทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระดับราคาก็จะใกล้เคียงกับมูลค่าของ ETFs ก่อให้เกิดความยุติธรรมต่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

สาหรับผู้ที่สนใจเริ่มต้นลงทุนใน ETFs สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับลักษณะพื้นฐาน ผลตอบแทน ความเสี่ยง ตลอดจนวิธีซื้อขายกองทุน ETFs พร้อมเทคนิคการลงทุนอย่างมืออาชีพ ผ่าน e-Learning หลักสูตร “รอบรู้ลงทุน ETF” ได้ฟรี!!! ท่ี https://elearning.set.or.th/SETGroup/courses/161/info

และหากสนใจเปิดบัญชี เพื่อลงมือซื้อขาย ETFs สามารถเปิดบัญชี “ซื้อขายหลักทรัพย์” กับบริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเมื่อเปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว จะสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท และ ETFs ได้ เปิดบัญชีคลิกที่ https://www.setinvestnow.com/th/open-account-stock-eopen

e-Learning หลักสูตร“รอบรู้ลงทุน ETF”

หรือสแกนผ่าน QR Code

เปิดบัญชี“ซื้อขายหลักทรัพย์”