ว่าด้วยกาม ๒ อย่าง - WordPress.com...เส อมไป ส ตว...

393
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ ตอนที่ ๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น อัฏฐกวัคคิกะ กามสุตตนิทเทสที่ ๑ ว่าด้วยกาม ๒ อย่าง [] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เมื่อสัตว์ปรารถนากามอยู ่ ถ้ากามนั ้น ย่อมสําเร็จแก่ สัตว์นั ้นสัตว์นั ้นได กามตามปรารถนาแล้ว ย่อมเป็นผู้อิ่มใจแน่นอน. [] กามในคําว่า เมื่อปรารถนากามอยู ่ ได้แก่ กาม ๒ อย่าง โดยหัวข้อ คือ วัตถุ - *กาม ๑ กิเลสกาม ๑. วัตถุกามเป็นไฉน? รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นที่ชอบใจ เครื่องลาด เครื่องนุ่งห่ม ทาสี ทาส แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา นา ที่ดิน เงิน ทอง บ้าน นิคม ราชธานี แว่นแคว้น ชนบท กองพลรบ คลัง และวัตถุเป็นที่ตั ้งแห่งความกําหนัด อย่างใดอย่างหนึ ่ง ชื่อว่า วัตถุกาม. อีกอย่างหนึ ่ง กามที่เป็นอดีต กามที่เป็นอนาคต กามที่เป็น ปัจจุบัน ที่เป็นภายใน ที่เป็นภายนอก ที่เป็นทั ้งภายในและภายนอก ชนิดเลว ชนิดปานกลาง ชนิดประณีต เป็นของสัตว์ผู้เกิดในอบาย เป็นของมนุษย์ เป็นของทิพย์ ที่ปรากฏเฉพาะหน้า ที่นิรมิตเอง ที่ผู้อื่นนิรมิต ที่หวงแหน ที่ไม่ได้หวงแหน ที่ยึดถือว่าของเรา ที่ไม่ยึดถือว่าของเรา ธรรมที่เป็นกามาวจรแม้ทั ้งหมด ธรรมที่เป็นรูปาวจรแม้ทั ้งหมด ธรรมที่เป็นอรูปาวจรแม้ทั ้งหมด ธรรมเป็นที่ตั ้งแห่งตัณหา เป็นอารมณ์แห่งตัณหาชื่อว่ากาม เพราะอรรถว่า อันบุคคลพึงใคร่ เพราะอรรถว่า เป็นที่ตั ้งแห่งความกําหนัด เพราะอรรถว่า เป็นที่ตั ้งแห่งความมัวเมา กามเหล่านี เรียกว่า วัตถุกาม.

Transcript of ว่าด้วยกาม ๒ อย่าง - WordPress.com...เส อมไป ส ตว...

  • พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙

    ตอนที่ ๑

    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑

    ขุททกนิกาย มหานิทเทส

    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันต

    สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

    อัฏฐกวัคคิกะ

    กามสุตตนิทเทสที่ ๑

    ว่าด้วยกาม ๒ อย่าง [๑] พระผูมี้พระภาคตรัสวา่ เม่ือสัตวป์รารถนากามอยู ่ถา้กามนั้น ยอ่มสาํเร็จแก่ สัตวน์ั้นสัตวน์ั้นได ้ กามตามปรารถนาแลว้ ยอ่มเป็นผูอ่ิ้มใจแน่นอน. [๒] กามในคาํวา่ เม่ือปรารถนากามอยู ่ไดแ้ก่ กาม ๒ อยา่ง โดยหวัขอ้ คือ วตัถุ- *กาม ๑ กิเลสกาม ๑. วตัถุกามเป็นไฉน? รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐพัพะ อนัเป็นท่ีชอบใจ เคร่ืองลาด เคร่ืองนุ่งห่ม ทาสี ทาส แพะ แกะ ไก่ สุกร ชา้ง โค มา้ ลา นา ท่ีดิน เงิน ทอง บา้น นิคม ราชธานี แวน่แควน้ ชนบท กองพลรบ คลงั และวตัถุเป็นท่ีตั้งแห่งความกาํหนดั อยา่งใดอยา่งหน่ึง ช่ือวา่ วตัถุกาม. อีกอยา่งหน่ึง กามท่ีเป็นอดีต กามท่ีเป็นอนาคต กามท่ีเป็น ปัจจุบนั ท่ีเป็นภายใน ท่ีเป็นภายนอก ท่ีเป็นทั้งภายในและภายนอก ชนิดเลว ชนิดปานกลาง ชนิดประณีต เป็นของสัตวผ์ูเ้กิดในอบาย เป็นของมนุษย ์เป็นของทิพย ์ท่ีปรากฏเฉพาะหนา้ ท่ีนิรมิตเอง ท่ีผูอ่ื้นนิรมิต ท่ีหวงแหน ท่ีไม่ไดห้วงแหน ท่ียดึถือวา่ของเรา ท่ีไม่ยดึถือวา่ของเรา ธรรมท่ีเป็นกามาวจรแมท้ั้งหมด ธรรมท่ีเป็นรูปาวจรแมท้ั้งหมด ธรรมท่ีเป็นอรูปาวจรแมท้ั้งหมด ธรรมเป็นท่ีตั้งแห่งตณัหา เป็นอารมณ์แห่งตณัหาช่ือวา่กาม เพราะอรรถวา่ อนับุคคลพึงใคร่ เพราะอรรถวา่ เป็นท่ีตั้งแห่งความกาํหนดั เพราะอรรถวา่ เป็นท่ีตั้งแห่งความมวัเมา กามเหล่าน้ี เรียกวา่ วตัถุกาม.

  • กิเลสกามเป็นไฉน? ความพอใจ ความกาํหนดั ความพอใจและความกาํหนดั ความดาํริ ความกาํหนดัมาก ความดาํริและความกาํหนดั ความพอใจคือความใคร่ ความกาํหนดัคือความใคร่ ความเพลิดเพลินคือความใคร่ ในกามทั้งหลาย ความปรารถนาในกาม ความเสน่หาในกาม ความเร่าร้อนในกาม ความหลงในกาม ความติดใจในกาม หว้งคือกาม ความประกอบในกาม ความยดึถือในกาม เคร่ืองกั้นกางคือกามฉนัทะ ช่ือวา่ กาม. สมจริงดงัคาํวา่ ดูกรกาม เราเห็นรากฐานของท่านแลว้วา่ ท่านยอ่มเกิดเพราะความดาํริ เราจกัไม่ดาํริถึงท่าน ท่านจกัไม่มีอยา่งน้ี. กามเหล่าน้ีเรียกวา่ กิเลสกาม. คาํวา่ เม่ือปรารถนากามอยู ่มีความวา่ เม่ือใคร่ อยากได ้ ยนิดี ปรารถนา มุ่งหมาย ชอบใจกามอยู ่เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ เม่ือปรารถนากามอยู.่ [๓] คาํวา่ ถา้กามนั้น ยอ่มสาํเร็จแก่สัตวน์ั้น มีความวา่ คาํวา่ สัตวน์ั้น ไดแ้ก่ สัตว ์ ผูเ้ป็นกษตัริย ์พราหมณ์ แพศย ์ศทูร์ คฤหสัถ ์บรรพชิต เทวดาหรือมนุษย.์ คาํวา่ กามนั้น ไดแ้ก่ รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐพัพะท่ีชอบใจ ซ่ึงเรียกวา่ วตัถุกาม. คาํวา่ ยอ่มสาํเร็จ มีความวา่ ยอ่มสาํเร็จ สาํเร็จโดยชอบ ได ้ไดเ้ฉพาะ ประสบ พบ เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ ถา้กามนั้น ยอ่มสาํเร็จแก่สัตวน์ั้น. [๔] คาํวา่ ยอ่มเป็นผูอ่ิ้มใจแน่นอน มีความวา่ คาํวา่ แน่นอน เป็นคาํกล่าวโดย ส่วนเดียว เป็นคาํกล่าวโดยไม่มีความสงสัย เป็นคาํกล่าวโดยไม่มีความเคลือบแคลง เป็นคาํกล่าว ไม่เป็นสองส่วน เป็นคาํกล่าวไม่เป็นสองอยา่ง เป็นคาํกล่าวไม่รวมกนั เป็นคาํกล่าวไม่ผดิ คาํวา่ แน่นอนน้ี เป็นคาํกล่าวกาํหนดแน่. คาํวา่ อ่ิม คือ ความอ่ิม ความปราโมทย ์ความเบิกบาน ความบนัเทิง ความร่าเริง ความร่ืนเริง ความปล้ืมใจ ความยนิดี ความช่ืนใจ ความชอบใจ ความเตม็ใจ ท่ีประกอบพร้อมเฉพาะดว้ยกามคุณ ๕. คาํวา่ ใจ คือ จิต มนะ มานสั หทยั บณัฑระ มนะ มนายตนะ มนินทรีย ์วญิญาณ วญิญาณขนัธ์ มโนวญิญาณธาตุ ท่ีเกิดแต่ ผสัสะเป็นตน้นั้น น้ีเรียกวา่ ใจ. ใจน้ีสหรคต คือ เกิดร่วม เก่ียวขอ้ง ประกอบ เกิดพร้อมกนั ดบัพร้อมกนั มีวตัถุอยา่งเดียวกนั มีอารมณ์อนัเดียวกนั กบัดว้ยความอ่ิมน้ี. คาํวา่ ยอ่มเป็น ผูอ่ิ้มใจ คือเป็นผูมี้ใจยนิดี มีใจร่าเริง มีใจเบิกบาน มีใจดี มีใจสูง มีใจปลาบปล้ืม เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ ยอ่มเป็นผูอ่ิ้มใจแน่นอน. [๕] คาํวา่ สัตวน์ั้นไดก้ามตามปรารถนาแลว้ มีความวา่ คาํวา่ ได ้คือ ได ้ไดแ้ลว้ ไดเ้ฉพาะ ประสบ พบ. คาํวา่ สัตว ์คือ สัตว ์นระ มาณพ บุรุษ บุคคล ผูมี้ชีวติ ผูเ้กิด สัตวเ์กิด ผูมี้กรรม มนุษย.์ คาํวา่ ตามปรารถนา คือ รูป เสียง กล่ิน รส หรือโผฏฐพัพะ ตามปรารถนา ยนิดี ประสงค ์มุ่งหมาย ชอบใจ เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ สัตวน์ั้นไดก้ามตาม

  • ปรารถนาแลว้. เพราะเหตุนั้น พระผูมี้พระภาคจึงตรัสวา่ เม่ือสัตวป์รารถนากามอยู ่ถา้กามนั้น ยอ่มสาํเร็จแก่สัตวน์ั้น สัตวน์ั้นได ้ กามตามปรารถนาแลว้ ยอ่มเป็นผูอ่ิ้มใจแน่นอน. [๖] พระผูมี้พระภาคตรัสวา่ เม่ือสัตวน์ั้นปรารถนากามอยู ่เม่ือสัตวมี์ฉนัทะเกิดแลว้ ถา้กามเหล่านั้น เส่ือมไป สัตวน์ั้น ยอ่มกระสับกระส่าย เหมือนสัตวท่ี์ถูกลูกศรแทง เขา้แลว้. [๗] คาํวา่ เม่ือสัตวน์ั้นปรารถนากามอยู ่มีความวา่ คาํวา่ เม่ือสัตวน์ั้น ไดแ้ก่ สัตว ์ ผูเ้ป็นกษตัริย ์พราหมณ์ แพศย ์ศทูร์ คฤหสัถ ์บรรพชิต เทวดา หรือมนุษย.์ คาํวา่ ปรารถนากามอยู ่คือ เม่ือใคร่ อยากได ้ยนิดี ปรารถนา มุ่งหมาย ชอบใจ. อีกอยา่งหน่ึง สัตวย์อ่มไป ออกไป ลอยไป แล่นไป เพราะกามตณัหา เปรียบเหมือนมนุษยย์อ่มไป ออกไป ลอยไป แล่นไปดว้ยยานชา้งบา้ง ยานมา้บา้ง ยานโคบา้ง ยานแพะบา้ง ยานแกะบา้ง ยานอูฐบา้ง ยานลาบา้ง ฉนัใด สัตวย์อ่มไป ออกไป ลอยไป แล่นไป เพราะกามตณัหา ฉนันั้น เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ เม่ือสัตวน์ั้นปรารถนากามอยู.่ [๘] คาํวา่ เม่ือสัตวมี์ฉนัทะเกิดแลว้ ความวา่ คาํวา่ ฉนัทะ ไดแ้ก่ ความพอใจในกาม ความกาํหนดัในกาม ความเพลินในกาม ความอยากในกาม ความเสน่หาในกาม ความเร่าร้อน ในกาม ความหลงในกาม ความติดใจในกาม หว้งคือกาม ความประกอบคือกาม ความยดึถือ ในกาม เคร่ืองกั้นกางคือกามฉนัทะ ความพอใจในกามนั้น เกิดแลว้ เกิดพร้อม เกิดข้ึน เกิดเฉพาะ ปรากฏแลว้แก่สัตวน์ั้น. คาํวา่ สัตว ์คือ สัตว ์นระ มาณพ บุรุษ บุคคล ผูมี้ชีวติ ผูเ้กิด สัตวเ์กิด ผูมี้กรรม มนุษย ์เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ เม่ือสัตวมี์ฉนัทะเกิดแลว้. [๙] คาํวา่ ถา้กามเหล่านั้นเส่ือมไป มีความวา่ กามเหล่านั้นเส่ือมไปบา้ง สัตวน์ั้น เส่ือมจากกามทั้งหลายบา้ง. กามเหล่านั้นเส่ือมไปอยา่งไร? เม่ือสัตวน์ั้น ดาํรงอยูน่ัน่แหละ โภคะเหล่านั้น ถูก พระราชาริบไปบา้ง ถูกโจรลกัไปบา้ง ถูกไฟไหมบ้า้ง ถูกนํ้าพดัไปบา้ง ถูกพวกญาติผูไ้ม่เป็นท่ี ชอบใจนาํไปบา้ง สัตวน์ั้นไม่พบโภคทรัพยท่ี์เกบ็ฝังไวบ้า้ง การงานท่ีประกอบไม่ดีเสียไปบา้ง คนผลาญสกลุ ผูแ้จกจ่ายกระจดักระจายทาํลายโภคะเหล่านั้นยอ่มเกิดในสกลุบา้ง ความเป็นของ ไม่เท่ียงแห่งโภคะเป็นท่ีแปด กามเหล่านั้นยอ่มเส่ือม เสียหาย กระจดักระจาย ร่ัวไหล อนัตรธาน สูญหายไปอยา่งน้ี. สัตวน์ั้นยอ่มเส่ือมจากกามทั้งหลายอยา่งไร? โภคะเหล่านั้น ยงัตั้งอยูน่ั้นแหละ สัตว ์ นั้นยอ่มเคล่ือน ตาย อนัตรธาน สูญหายไปจากโภคะเหล่านั้น สัตวน์ั้นยอ่มเส่ือม เสียหาย

  • กระจดักระจาย ร่ัวไหล อนัตรธาน สูญหายไปจากกามทั้งหลายอยา่งน้ี สมจริงดงัท่ีพระผูมี้พระภาคตรัสวา่ โภคทรัพยท์ั้งหลาย ถูกโจรลกัไป ถูกพระราชาริบไป ถูกไฟไหม ้เสียหาย อน่ึง บุคคลผูเ้ป็นเจา้ของยอ่มละท้ิงสรีรกาย กบัทั้งขา้วของ เพราะ ความตาย นกัปราชญท์ราบเหตุน้ีแลว้ พึงใชส้อยบา้ง พึงใหท้านบา้ง คร้ันใหท้าน และใชส้อยตามสมควรแลว้ เป็นผูไ้ม่ถูกติเตียน ยอ่มเขา้ ถึงสถาน คือ สวรรค.์ เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ กามเหล่านั้นยอ่มเส่ือมไป. [๑๐] คาํวา่ สัตวน์ั้นยอ่มกระสับกระส่าย เหมือนสัตวท่ี์ถูกลูกศรแทงเขา้แลว้ มี ความวา่ สัตวผ์ูถู้กลูกศรท่ีทาํดว้ยเหลก็แทงเขา้แลว้บา้ง ผูถู้กลูกศรท่ีทาํดว้ยกระดูกแทงเขา้แลว้บา้ง ผูถู้กลูกศรท่ีทาํดว้ยงาแทงเขา้แลว้บา้ง ผูถู้กลูกศรท่ีทาํดว้ยเขาแทงเขา้แลว้บา้ง ผูถู้กลูกศร ท่ีทาํดว้ยไมแ้ทงเขา้แลว้บา้ง ยอ่มกระสับกระส่าย หวัน่ไหว ด้ินรน จุกเสียด เจบ็ตวั เจบ็ใจ ฉนัใด ความโศกราํพนั เจบ็กาย เจบ็ใจ และคบัแคน้ใจ ยอ่มเกิดข้ึนเพราะวตัถุกามทั้งหลาย แปรปรวนเป็นอยา่งอ่ืนไป สัตวน์ั้นถูกลูกศรคือกามแทงเขา้แลว้ ยอ่มกระสับกระส่ายหวัน่ไหว ด้ินรน จุกเสียด เจบ็กาย เจบ็ใจ ฉนันั้นเหมือนกนั เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ สัตวน์ั้นยอ่ม กระสับกระส่าย เหมือนสัตวท่ี์ถูกลูกศรแทงเขา้แลว้. เพราะเหตุนั้น พระผูมี้พระภาคจึงตรัสวา่ เม่ือสัตวน์ั้นปรารถนากามอยู ่เม่ือสัตวมี์ฉนัทะเกิดข้ึน ถา้กามเหล่านั้น เส่ือมไป สัตวน์ั้นยอ่มกระสับกระส่าย เหมือนสัตวท่ี์ถูกลูกศรแทงเขา้แลว้. [๑๑] พระผูมี้พระภาคตรัสวา่ ผูใ้ด ยอ่มเวน้ขาดกามทั้งหลาย เหมือนบุคคลเวน้ขาดหวังูดว้ยเทา้ ผูน้ั้น เป็นผูมี้สติ ยอ่มล่วงพน้ตณัหาอนัช่ือวา่ วสิัตติกาน้ี ในโลกเสียได.้ วา่ดว้ยการเวน้ขาดกามดว้ยเหตุ ๒ ประการ [๑๒] คาํวา่ ผูใ้ด ยอ่มเวน้ขาดกามทั้งหลาย มีความวา่ คาํวา่ ผูใ้ด คือ ผูเ้ช่นใด ผู ้ ประกอบอยา่งใด ผูช้นิดอยา่งใด ผูมี้ประการอยา่งใด ผูถึ้งฐานะใด ผูป้ระกอบดว้ยธรรมใด เป็น กษตัริย ์เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย ์เป็นศทูร์ เป็นคฤหสัถ ์เป็นบรรพชิต เป็นเทวดา หรือเป็น มนุษย.์ กาม ในคาํวา่ ยอ่มเวน้ขาดกามทั้งหลาย ไดแ้ก่ กาม ๒ อยา่ง โดยหวัขอ้ คือ วตัถุกาม ๑ กิเลสกาม ๑ วตัถุกามเป็นไฉน? รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐพัพะ อนัเป็นท่ีชอบใจ ฯลฯ กามเหล่าน้ีเรียกวา่ วตัถุกาม ฯลฯ กามเหล่าน้ี เรียกวา่ กิเลสกาม. คาํวา่ ยอ่มเวน้ขาดกาม คือ ยอ่มเวน้ขาดกาม โดยเหตุ ๒ ประการ คือ โดยการข่มไวอ้ยา่ง ๑ โดยการตดัขาดอยา่ง ๑. ยอ่มเวน้ขาดกามโดยการข่มไวอ้ยา่งไร? บุคคลผูเ้ห็นอยูว่า่ กามทั้งหลายเปรียบดว้ยโครง

  • กระดูก เพราะอรรถวา่เป็นของมีความยนิดีนอ้ย ยอ่มเวน้ขาดกามโดยการข่มไว ้ผูเ้ห็นอยูว่า่ กามทั้งหลายเปรียบดว้ยช้ินเน้ือ เพราะอรรถวา่เป็นของสาธารณ์แก่ชนหมู่มาก ยอ่มเวน้ขาดกามโดย การข่มไว ้ผูเ้ห็นอยูว่า่ กามทั้งหลายเปรียบดว้ยคบเพลิง เพราะอรรถวา่เป็นของตามเผา ยอ่มเวน้ ขาดกามโดยการข่มไว ้ผูเ้ห็นอยูว่า่ กามทั้งหลายเปรียบดว้ยหลุมถ่านเพลิง เพราะอรรถวา่เป็น ของใหเ้ร่าร้อนมาก ยอ่มเวน้ขาดกามโดยการข่มไว ้ผูเ้ห็นอยูว่า่ กามทั้งหลายเปรียบดว้ยความฝัน เพราะอรรถวา่เป็นของปรากฏชัว่เวลานอ้ย ยอ่มเวน้ขาดกามโดยการข่มไว ้ผูเ้ห็นอยูว่า่กามทั้งหลาย เปรียบดว้ยของขอยมื เพราะอรรถวา่ เป็นของเป็นไปชัว่กาลท่ีกาํหนด ยอ่มเวน้ขาดกาม โดยการข่มไว ้ผูเ้ห็นอยูว่า่ กามทั้งหลายเปรียบดว้ยตน้ไมมี้ผลดก เพราะอรรถวา่เป็นของใหก่ิ้ง หกัและใหต้น้ลม้ ยอ่มเวน้ขาดกามโดยการข่มไว ้ผูเ้ห็นอยูว่า่ กามทั้งหลายเปรียบดว้ยดาบและ มีด เพราะอรรถวา่เป็นของฟัน ยอ่มเวน้ขาดกามโดยการข่มไว ้ผูเ้ห็นอยูว่า่ กามทั้งหลายเปรียบ ดว้ยหอกหลาว เพราะอรรถวา่เป็นของท่ิมแทง ยอ่มเวน้ขาดกามโดยการข่มไว ้ผูเ้ห็นอยูว่า่ กามทั้งหลายเปรียบดว้ยหวังู เพราะอรรถวา่เป็นของน่าสะพึงกลวั ยอ่มเวน้ขาดกามโดยการข่มไว ้ ผูเ้ห็นอยูว่า่ กามทั้งหลายเปรียบดว้ยกองไฟ เพราะอรรถวา่เป็นดงัไฟกองใหญ่ใหเ้ร่าร้อน ยอ่ม เวน้ขาดกามโดยการข่มไว ้แมผู้เ้จริญพุทธานุสสติ ยอ่มเวน้ขาดกามโดยการข่มไว ้แมผู้เ้จริญ ธมัมานุสสติ ยอ่มเวน้ขาดกามโดยการข่มไว ้แมผู้เ้จริญสังฆานุสสติ ... แมผู้เ้จริญสีลานุสสติ ... แมผู้เ้จริญจาคานุสสติ ... แมผู้เ้จริญเทวตานุสสติ ... แมผู้เ้จริญอานาปานสัสติ ... แมผู้เ้จริญ มรณานุสสติ ... แมผู้เ้จริญกายคตาสติ ... แมผู้เ้จริญอุปสมานุสสติ ... แมผู้เ้จริญปฐมฌาน ... แมผู้ ้ เจริญทุติยฌาน ... แมผู้เ้จริญตติยฌาน ... แมผู้เ้จริญจตุตถฌาน ... แมผู้เ้จริญอากาสานญัจายตน สมาบติั ... แมผู้เ้จริญวญิญาณญัจายตนสมาบติั ... แมผู้เ้จริญอากิญจญัญายตนสมาบติั ... แมผู้ ้ เจริญเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบติั ยอ่มเวน้ขาดกามโดยการข่มไว.้ ยอ่มเวน้ขาดกามโดย การข่มไวอ้ยา่งน้ี. ยอ่มเวน้ขาดกามโดยการตดัขาดอยา่งไร? แมบุ้คคลผูเ้จริญโสดาปัตติมรรค ยอ่มเวน้ ขาดกามอนัใหไ้ปสู่อบายโดยการตดัขาด แมบุ้คคลผูเ้จริญสกทาคามิมรรค ยอ่มเวน้ขาดกามส่วน หยาบโดยการตดัขาด แมบุ้คคลผูเ้จริญอนาคามิมรรค ยอ่มเวน้ขาดกามอนัเป็นส่วนละเอียดโดย การตดัขาด แมบุ้คคลผูเ้จริญอรหตัมรรค ยอ่มเวน้ขาดกามโดยอาการทั้งปวง โดยประการทั้งปวง หมดส้ิน มิไดมี้ส่วนเหลือ โดยการตดัขาด. ยอ่มเวน้ขาดกามโดยการตดัขาดอยา่งน้ี เพราะ ฉะนั้น จึงช่ือวา่ ผูใ้ดยอ่ม เวน้ขาดกามทั้งหลาย. [๑๓] คาํวา่ เหมือนบุคคลเวน้ขาดหวังูดว้ยเทา้ มีความวา่ งูเรียกวา่สัปปะ. เพราะ อรรถวา่อะไร งูจึงเรียกวา่สัปปะ. เพราะอรรถวา่เสือกไป งูจึงเรียกวา่สัปปะ. เพราะอรรถวา่ ขนดไป งูจึงเรียกวา่ภุชคะ. เพราะอรรถวา่ไปดว้ยอก งูจึงเรียกวา่อุรคะ. เพราะอรรถวา่มีหวัตก

  • ไป งูจึงเรียกปันนคะ เพราะอรรถวา่นอนดว้ยหวั งูจึงเรียกวา่สิริสปะ. เพราะอรรถวา่นอนในรู งูจึงเรียกวา่วลิาสยะ. เพราะอรรถวา่นอนในถํ้า งูจึงเรียกวา่คุหาสยะ. เพราะอรรถวา่มีเข้ียวเป็น อาวธุ งูจึงเรียกวา่ทาฒาวธุ. เพราะอรรถวา่มีพิษร้ายแรง งูจึงเรียกวา่โฆรวสิะ. เพราะอรรถวา่มี ล้ินสองแฉก งูจึงเรียกวา่ทุชิวหา. เพราะอรรถวา่ล้ิมรสดว้ยล้ินสองแฉก งูจึงเรียกวา่ทิรสัญญู. บุรุษผูใ้คร่ต่อชีวติ ไม่อยากตาย อยากไดสุ้ข เกลียดทุกข ์พึงเวน้ หลีก เล้ียว ออ้มหนี หวังูดว้ยเทา้ ฉนัใด บุคคลผูรั้กสุข เกลียดทุกข ์พึงเวน้ หลีกเล่ียง ออ้มหนีกามทั้งหลาย ฉนันั้น เหมือนกนั เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ เหมือนบุคคลเวน้ขาดหวังูดว้ยเทา้. [๑๔] คาํวา่ ผูน้ั้น เป็นผูมี้สติ ยอ่มล่วงพน้ตณัหาอนัช่ือวา่ วสิัตติกาน้ี ในโลกเสียได ้มี ความวา่ คาํวา่ ผูน้ั้น คือ ผูเ้วน้ขาดกามทั้งหลาย. ตณัหาเรียกวา่ วสิัตติกา ไดแ้ก่ ความกาํหนดั ความกาํหนดักลา้ ความพอใจ ความชอบใจ ความเพลิดเพลิน ความกาํหนดัดว้ยสามารถแห่ง ความเพลิดเพลิน ความกาํหนดักลา้แห่งจิต ความปรารถนา ความหลง ความติดใจ ความยนิดี ความยนิดีทัว่ไป ความขอ้ง ความติดพนั ความแสวงหา ความลวง ความใหส้ัตวเ์กิด ความ ใหส้ัตวเ์ก่ียวกบัทุกข ์ความเยบ็ไว ้ความเป็นดงัวา่ข่าย ความเป็นดงัวา่กระแสนํ้า ความซ่านไป ในอารมณ์ต่างๆ ความเป็นดงัวา่เส้นดา้ย ความกระจายไป ความใหอ้ายเุส่ือมไป ความเป็น เพื่อน ความตั้งมัน่ เคร่ืองนาํไปสู่ภพ ความติดอารมณ์ ความตั้งอยูใ่นอารมณ์ ความสนิท ความรัก ความเพ่งเลง็ ความผกูพนั ความหวงั ความจาํนง ความประสงค ์ความหวงัในรูป ความหวงัในเสียง ความหวงัในกล่ิน ความหวงัในรส ความหวงัในโผฏฐพัพะ ความหวงัใน ลาภ ความหวงัในทรัพย ์ความหวงัในบุตร ความหวงัในชีวติ ความปรารถนา ความใหส้ัตว ์ ปรารถนา ความท่ีจิตปรารถนา ความเหน่ียวร้ัง ความใหส้ัตวเ์หน่ียวร้ัง ความท่ีจิตเหน่ียวร้ัง ความหวัน่ไหว อาการแห่งความหวัน่ไหว ความพร่ังพร้อมดว้ยความหวัน่ไหว ความกาํเริบ ความใคร่ดี ความกาํหนดัในท่ีผดิธรรม ความโลภไม่เสมอ ความใคร่ อาการแห่งความใคร่ ความมุ่งหมาย ความปอง ความปรารถนาดี กามตณัหา ภวตณัหา วภิวตณัหา ตณัหาในรูปภพ ตณัหาในอรูปภพ ตณัหาในนิโรธ รูปตณัหา สัททตณัหา คนัธตณัหา รสตณัหา โผฏฐพัพ- *ตณัหา ธมัมตณัหา โอฆะ โยคะ คนัถะ อุปาทาน ความกั้น ความปิด ความบงั ความผกู ความเขา้ไปเศร้าหมอง ความนอนเน่ือง ความกลุม้รุมจิต ความเป็นดงัวา่เถาวลัย ์ความปรารถนา วตัถุต่างๆ รากเง่าแห่งทุกข ์เหตุแห่งทุกข ์แดนเกิดแห่งทุกข ์บ่วงมาร เบด็มาร วสิัยมาร แม่นํ้าตณัหา ข่ายตณัหา โซ่ตณัหา สมุทรตณัหา อภิชฌา โลภะ อกศุลมูล เรียกวา่ วสิัตติกา. คาํวา่ วสิัตติกา ความวา่ เพราะอรรถวา่อะไร ตณัหาจึงช่ือวา่ วสิัตติกา. [อนัซ่านไป ในอารมณ์ต่างๆ] เพราะอรรถวา่ ซ่านไป ตณัหาจึงช่ือวา่วสิัตติกา. เพราะอรรถวา่แผไ่ป ตณัหา จึงช่ือวา่สัตติกา. เพราะอรรถวา่แล่นไป ตณัหาจึงช่ือวา่วสิัตติกา. เพราะอรรถวา่ครอบงาํ ตณัหา

  • จึงช่ือวา่วสิัตติกา. เพราะอรรถวา่สะทอ้นไป ตณัหาจึงช่ือวา่วสิัตติกา. เพราะอรรถวา่เป็นเหตุให ้ พดูผดิ ตณัหาจึงช่ือวา่วสิัตติกา. เพราะอรรถวา่มีมูลรากเป็นพิษ ตณัหาจึงช่ือวา่วสิัตติกา. เพราะ อรรถวา่มีผลเป็นพิษ ตณัหาจึงช่ือวา่วสิัตติกา. เพราะอรรถวา่เปรียบดว้ยเคร่ืองบริโภคเป็นพิษ ตณัหาจึงช่ือวา่วสิัตติกา. อีกนยัหน่ึง ตณัหานั้นแผไ่ปในรูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐพัพะ สกลุ คณะ ท่ีอยู ่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจยัเภสัชบริขาร กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ กามภพ รูปภพ สัญญาภพ อสัญญาภพ เนวสัญญานาสัญญาภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ ปัญจโวการภพ ในอดีต ในอนาคต ในปัจจุบนั แล่นไป ซ่านไป ในรูปท่ีเห็นแลว้ เสียงท่ีไดย้นิแลว้ กล่ิน รส โผฏฐพัพะท่ีทราบแลว้ และในธรรมท่ีพึงรู้แจง้ ตณัหาจึงช่ือวา่ วสิัตติกา. คาํวา่ ในโลก คือ อบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขนัธโลก ธาตุโลก อายตนโลก. คาํวา่ เป็นผูมี้สติ ไดแ้ก่เป็นผูมี้สติโดยเหตุ ๔ อยา่ง คือ เม่ือเจริญกายานุปัสสนา สติปัฏฐานในกาย ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เม่ือเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานในเวทนาทั้งหลาย ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เม่ือเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานในจิต ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เม่ือเจริญ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานในธรรมทั้งหลาย ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ. เป็นผูมี้สติโดยเหตุ ๔ อยา่งแมอ่ื้นอีก คือ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะเวน้จากความเป็นผูไ้ม่มีสติ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะ เป็นผูก้ระทาํธรรมทั้งหลายท่ีควรทาํดว้ยสติ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะเป็นผูก้าํจดัธรรมทั้งหลายท่ีเป็น ขา้ศึกต่อสติ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะเป็นผูไ้ม่หลงลืมธรรมทั้งหลายท่ีเป็นนิมิตแห่งสติ. เป็น ผูมี้สติโดยเหตุ ๔ อยา่งแมอ่ื้นอีก คือ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะเป็นผูป้ระกอบดว้ยสติ ช่ือวา่ เป็นผูมี้สติ เพราะเป็นผูอ้ยูด่ว้ยสติ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะเป็นผูค้ล่องแคล่วดว้ยสติ ช่ือวา่ เป็นผูมี้สติ เพราะเป็นผูไ้ม่หวนกลบัจากสติ. เป็นผูมี้สติโดยเหตุ ๔ อยา่งแมอ่ื้นอีก คือ ช่ือวา่ เป็นผูมี้สติ เพราะเป็นผูร้ะลึกได ้ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะเป็นผูส้งบ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะเป็น ผูร้ะงบั ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะเป็นผูป้ระกอบดว้ยธรรมของสัตบุรุษ. ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะ พุทธานุสสติ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะธรรมานุสสติ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะสังฆานุสสติ ช่ือวา่ เป็นผูมี้สติ เพราะสีลานุสสติ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะจาคานุสสติ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะ เทวตานุสสติ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะอานาปานสัสติ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะมรณานุสสติ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะกายคตาสติ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะอุปสมานุสสติ. ความระลึก ความ ระลึกถึง ความระลึกเฉพาะ ความระลึก กิริยาท่ีระลึก ความทรงจาํ ความไม่เล่ือนลอย ความ ไม่หลงลืม สติ สตินทรีย ์สติพละ สัมมาสติ สติสัมโพชฌงค ์เอกายนมรรค ธรรมน้ี เรียก วา่ สติ. บุคคลเป็นผูเ้ขา้ใกล ้เขา้ชิด เขา้ถึง เขา้ถึงพร้อม เขา้ไปถึง เขา้ไปถึงพร้อม ประกอบ ดว้ยสติน้ี บุคคลนั้นเรียกวา่ มีสติ.

  • คาํวา่ ผูน้ั้นเป็นผูมี้สติ ยอ่มล่วงพน้ตณัหาอนัช่ือวา่ วสิัตติกาน้ี ในโลกเสียได ้มีความวา่ เป็นผูมี้สติ ยอ่มขา้ม ขา้มข้ึน ขา้มพน้ กา้วล่วง ล่วงเลย ตณัหาช่ือวา่ วสิัตติกาน้ี ในโลก เพราะ ฉะนั้น จึงช่ือวา่ ผูน้ั้นเป็นผูมี้สติ ยอ่มล่วงพน้ตณัหาอนัช่ือวา่ วสิัตติกาน้ี ในโลกเสียได ้เพราะ เหตุนั้น พระผูมี้พระภาคจึงตรัสวา่ ผูใ้ด ยอ่มเวน้ขาดกามทั้งหลาย เหมือนบุคคลเวน้ขาดหวังูดว้ยเทา้ ผูน้ั้น เป็นผูมี้สติ ยอ่มล่วงพน้ตณัหาอนัช่ือวา่ วสิัตติกาน้ี ในโลกเสียได.้ [๑๕] พระผูมี้พระภาคตรัสวา่ นรชนใด ยอ่มปรารถนาไร่นา ท่ีดิน เงิน โค มา้ ทาส คนภายใน สตรี พวกพอ้ง กามเป็นอนัมาก. [๑๖] คาํวา่ ไร่นา ท่ีดิน เงิน มีความวา่ ไร่นา คือ ไร่ขา้วสาลี ไร่ขา้วจา้ว ไร่ถัว่ เขียว ไร่ถัว่ราชมาส ไร่ขา้วเหนียว ไร่ขา้วละมาน ไร่งา. คาํวา่ ท่ีดิน คือ ท่ีเรือน ท่ีฉาง ท่ี หนา้เรือน ท่ีหลงัเรือน ท่ีสวน ท่ีอยู.่ คาํวา่ เงิน คือ กหาปณะ เรียกวา่ เงิน เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ ไร่นา ท่ีดิน เงิน. วา่ดว้ยทาส ๔ จาํพวก [๑๗] คาํวา่ โค มา้ ทาส คนภายใน มีความวา่ โคทั้งหลายเรียกวา่ โค. ปสุสัตว ์ เป็นตน้เรียกวา่ มา้. คาํวา่ ทาส ไดแ้ก่ ทาส ๔ จาํพวก คือ ทาสท่ีเกิดภายใน ๑ ทาสท่ีซ้ือ มาดว้ยทรัพย ์๑ ผูท่ี้สมคัรเขา้ถึงความเป็นทาสเอง ๑ เชลยผูท่ี้เขา้ถึงความเป็นทาส ๑. สมจริงดงัท่ีพระผูมี้พระภาคตรัสวา่ คนบางพวกเป็นทาสโดยกาํเนิดบา้ง คนบางพวกเป็นทาสท่ีเขาซ้ือมาดว้ย ทรัพยบ์า้ง คนบางพวกสมคัรเขา้เป็นทาสเองบา้ง คนบางพวกเป็นทาส เพราะตกเป็นเชลยบา้ง. คาํวา่ คนภายใน ไดแ้ก่ บุรุษ ๓ จาํพวก คือ คนรับจา้ง ๑ กรรมกร ๑ พวกอยูอ่าศยั ๑ เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ โค มา้ ทาส คนภายใน. [๑๘] คาํวา่ สตรี พวกพอ้ง กามเป็นอนัมาก มีความวา่ สตรีท่ีมีเจา้ของ เรียกวา่ สตรี. คาํวา่ พวกพอ้ง ไดแ้ก่ พวกพอ้ง ๔ จาํพวก คือ พวกพอ้งโดยเป็นญาติ ช่ือวา่พวกพอ้ง ๑ พวกพอ้งโดยโคตร ช่ือวา่พวกพอ้ง ๑ พวกพอ้งโดยการเรียนมนต ์ช่ือวา่พวกพอ้ง ๑ พวกพอ้ง โดยการเรียนศิลปะ ช่ือวา่พวกพอ้ง ๑. คาํวา่ กามเป็นอนัมาก คือ กามมาก. กามมากเหล่าน้ี ไดแ้ก่ รูปท่ีชอบใจ เสียงท่ีชอบใจ กล่ินท่ีชอบใจ รสท่ีชอบใจ โผฏฐพัพะท่ีชอบใจ เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ สตรี พวกพอ้ง กามเป็นอนัมาก. [๑๙] คาํวา่ นรชนใด ยอ่มปรารถนา มีความวา่ คาํวา่ ใด คือ เช่นใด ประกอบ

  • อยา่งใด จดัแจงอยา่งใด มีประการอยา่งใด ถึงฐานะอยา่งใด ประกอบดว้ยธรรมใด คือ เป็น กษตัริย ์พราหมณ์ แพศย ์ศทูร์ คฤหสัถ ์บรรพชิต เทวดา หรือเป็นมนุษย ์คาํวา่ นรชน คือ สัตว ์นระ มาณพ บุรุษ บุคคล ผูมี้ชีวติ ผูเ้กิด สัตวเ์กิด ผูมี้กรรม มนุษย.์ คาํวา่ ยอ่ม ปรารถนา คือ ยอ่มปรารถนา ยอ่มตามปรารถนา ยอ่มปรารถนาทัว่ไป ยอ่มติดพนั ในวตัถุกาม ทั้งหลาย ดว้ยกิเลสกาม เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ นรชนใด ยอ่มปรารถนา เพราะเหตุนั้น พระผูมี้พระภาคจึงตรัสวา่ นรชนใด ยอ่มปรารถนา ไร่นา ท่ีดิน เงิน โค มา้ ทาส คนภายใน สตรี พวกพอ้ง กามเป็นอนัมาก. [๒๐] พระผูมี้พระภาคตรัสวา่ เหล่ากิเลสอนัไม่มีกาํลงั ยอ่มครอบงาํนรชนนั้น เหล่าอนัตราย ยอ่มย ํา่ย ี นรชนนั้น เพราะอนัตรายนั้น ทุกขย์อ่มติดตามนรชนนั้นไป เหมือน นํ้าไหลเขา้สู่เรือท่ีแตกแลว้ ฉะนั้น. [๒๑] คาํวา่ เหล่ากิเลสอนัไม่มีกาํลงั ยอ่มครอบงาํนรชนนั้น มีความวา่ คาํวา่ ไม่ มีกาํลงั คือ กิเลสอนัไม่มีกาํลงั คือ ทุรพล มีกาํลงันอ้ย มีเร่ียวแรงนอ้ย เลว ทราม เส่ือม ตกตํ่า ลามก มีอธัยาศยัเลว เลก็นอ้ย กิเลสเหล่านั้น ยอ่มครอบงาํ ปราบปราม กดข่ี ท่วมทบั กาํจดั ย ํา่ยบุีคคลนั้น เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ เหล่ากิเลสอนัไม่มีกาํลงั ยอ่มครอบงาํ นรชนนั้น แมด้ว้ยประการอยา่งน้ี. อีกนยัหน่ึง สัทธาพละ วริิยพละ สติพละ สมาธิพละ ปัญญาพละ หิริพละ โอตตปัปพละ ไม่มีแก่บุคคลใด กิเลสเหล่านั้น ยอ่มครอบงาํ ปราบปราม กดข่ี ท่วมทบั กาํจดั ย ํา่ยบุีคคลนั้น ผูไ้ม่มีกาํลงั มีกาํลงัทราม มีกาํลงันอ้ย มีเร่ียวแรงนอ้ย เลว ทราม เส่ือม ตกตํ่า ลามก มีอธัยาศยัเลว เลก็นอ้ย เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ เหล่ากิเลสอนั ไม่มีกาํลงัยอ่มครอบงาํนรชนนั้น แมด้ว้ยประการอยา่งน้ี. วา่ดว้ยอนัตราย ๒ อยา่ง [๒๒] คาํวา่ เหล่าอนัตรายยอ่มย ํา่ยนีรชนนั้น มีความวา่ อนัตราย ไดแ้ก่ อนัตราย ๒ อยา่ง คือ อนัตรายท่ีปรากฏ ๑ อนัตรายท่ีปกปิด ๑. อนัตรายท่ีปรากฏเป็นไฉน? คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี เสือดาว หมาป่า โค กระบือ ชา้ง งู แมลงป่อง ตะขาบ โจร คนท่ีทาํกรรมชัว่ คนท่ีเตรียมจะทาํ กรรมชัว่ และโรคทางจกัษุ โรคทางโสต โรคทางฆานะ โรคทางชิวหา โรคทางกาย โรคทาง ศีรษะ โรคทางหู โรคทางปาก โรคทางฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไขห้วดั โรคไขพ้ิษ โรคไข ้ เซ่ือมซึม โรคในทอ้ง โรคลมสลบ โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเร้ือน โรคฝี โรค- *ข้ีกลาก โรคมองคร่อ โรคลมบา้หมู โรคหิดเป่ือย โรคหิดดา้น โรคคุดทะราดหูด โรคละลอก

  • โรคคุดทะราดบวม โรคอาเจียรโลหิต โรคดีเดือด โรคเบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง โรคริดสีดวง อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธสันนิบาต อาพาธเกิดแต่ฤดูแปรปรวน อาพาธเกิดแต่การบริหารไม่สมํ่าเสมอ อาพาธเกิดแต่ความเพียรเกิน กาํลงั อาพาธเกิดแต่วบิากของกรรม ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ความสัมผสัแห่งเหลือบ ยงุ ลม แดด และสัตวเ์สือกคลาน อนัตรายเหล่าน้ี เรียกวา่ อนัตรายท่ีปรากฏ. อนัตรายท่ีปกปิดเป็นไฉน? คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต กามฉนัทนิวรณ์ พยาบาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธจัจกกุกจุจนิวรณ์ วจิิกิจฉานิวรณ์ ราคะ โทสะ โมหะ ความ โกรธ ผกูโกรธไว ้ลบลู่คุณท่าน ตีเสมอ ริษยา ตระหน่ี มายา โออ้วด หวัด้ือ แข่งดี ถือตวั ดูหม่ินท่าน มวัเมา ประมาท กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความ เร่าร้อนทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง อภิสังขาร คือ อกศุลธรรมทั้งปวง อนัตรายเหล่าน้ี เรียกวา่ อนัตรายท่ีปกปิด. ท่ีช่ือวา่ อนัตราย เพราะอรรถวา่กระไร จึงช่ือวา่อนัตราย. เพราะอรรถวา่ครอบงาํ จึงช่ือวา่อนัตราย. เพราะอรรถวา่เป็นไปเพื่อความเส่ือม จึงช่ือวา่อนัตราย. เพราะวา่อรรถเป็น ท่ีอยูแ่ห่งอกศุลธรรมทั้งหลาย จึงช่ือวา่อนัตราย. เพราะอรรถวา่ ครอบงาํอยา่งไร? จึงช่ือวา่ อนัตราย อนัตรายเหล่านั้น ยอ่มครอบงาํ ปราบปราม กดข่ี ท่วมทบั กาํจดั ย ํา่ยบุีคคลนั้น เพราะ อรรถวา่ครอบงาํ จึงช่ือวา่อนัตราย อยา่งน้ี. เพราะอรรถวา่เป็นไปเพื่อความเส่ือมอยา่งไร? จึงช่ือวา่อนัตราย อนัตรายเหล่านั้น ยอ่ม เป็นไปเพื่อความเส่ือม เพื่ออนัตรธานไปแห่งกศุลธรรมทั้งหลาย. อนัตรายเหล่านั้น ยอ่มเป็น ไปเพื่อความเส่ือม เพื่ออนัตรธานไปแห่งกศุลธรรมเหล่าไหน? อนัตรายเหล่านั้น ยอ่มเป็นไป เพื่อความเส่ือม เพื่ออนัตรธานไปแห่งกศุลธรรมเหล่าน้ี คือ ความปฏิบติัชอบ ความปฏิบติัสมควร ความปฏิบติัไม่เป็นขา้ศึก ความปฏิบติัเป็นไปตามประโยชน ์ความปฏิบติัธรรมสมควรแก่ธรรม ความทาํใหบ้ริบูรณ์ในศีล ความเป็นผูมี้ทวารอนัคุม้ครองในอินทรีย ์ความเป็นผูรู้้จกัประมาณใน โภชนะ ความประกอบเนืองๆ ในความเป็นผูต่ื้น สติสัมปชญัญะ ความประกอบเนืองๆ ใน อนัเจริญสติปัฏฐาน ๔ ความประกอบเนืองๆ ในอนัเจริญสัมมปัปธาน ๔ ความประกอบเนืองๆ ในอนัเจริญอิทธิบาท ๔ ความประกอบเนืองๆ ในอนัเจริญอินทรีย ์๕ ความประกอบเนืองๆ ในอนัเจริญพละ ๕ ความประกอบเนืองๆ ในอนัเจริญโพชฌงค ์๗ ความประกอบเนืองๆ ในอนั เจริญอริยมรรคมีองค ์๘ อนัตรายเหล่านั้น ยอ่มเป็นไปเพื่อความเส่ือม เพื่ออนัตรธานไปแห่ง กศุลธรรมเหล่าน้ี. เพราะอรรถวา่ เป็นไปเพื่อความเส่ือมอยา่งน้ี จึงช่ือวา่ อนัตราย. เพราะอรรถวา่เป็นท่ีอยูแ่ห่งอกศุลธรรมทั้งหลาย อยา่งไร? จึงช่ือวา่อนัตราย อกศุล

  • ธรรมอนัลามกเหล่านั้น ยอ่มเกิดข้ึนในอตัภาพนั้น ยอ่มเป็นธรรมอยูอ่าศยัในอตัภาพ เปรียบ เหมือนเหล่าสัตวท่ี์อาศยัรู ยอ่มอยูใ่นรู ท่ีอาศยันํ้า ยอ่มอยูใ่นนํ้า ท่ีอาศยัป่า ยอ่มอยูใ่นป่า ท่ี อาศยัตน้ไม ้ยอ่มอยูท่ี่ตน้ไม ้ฉนัใด อกศุลธรรมอนัลามกเหล่านั้น ยอ่มเกิดข้ึนในอตัภาพนั้น ยอ่ม เป็นธรรมอยูอ่าศยัในอตัภาพ ฉนันั้น เพราะอรรถวา่ เป็นท่ีอยูแ่ห่งอกศุลธรรมทั้งหลายอยา่งน้ี จึง ช่ือวา่อนัตราย. สมจริงดงัท่ีพระผูมี้พระภาคตรัสไวว้า่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผูอ้ยูร่่วมกบักิเลสอนัอยูอ่าศยัในภายใน ผูอ้ยูร่่วมกบักิเลสท่ี ฟุ้งซ่าน ยอ่มอยูล่าํบาก ไม่ผาสุก ดูกรภิกษุทั้งหลาย กภิ็กษุผูอ้ยูร่่วมกบักิเลสอนัอยูอ่าศยัในภายใน ผูอ้ยูร่่วมกบักิเลสท่ีฟุ้งซ่าน ยอ่มอยูล่าํบาก ไม่ผาสุกอยา่งไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย อกศุลธรรมอนั ลามก มีความดาํริอนัซ่านไปในอารมณ์อนัเก้ือกลูแก่สัญโญชน ์ยอ่มเกิดข้ึนแก่ภิกษุในธรรมวนิยัน้ี เพราะเห็นรูปดว้ยจกัษุ อกศุลธรรมอนัลามกเหล่านั้น ยอ่มอยูซ่่านไปในภายในแห่งภิกษุนั้น เพราะเหตุดงัน้ีนั้น ภิกษุนั้นจึงเรียกวา่ ผูอ้ยูร่่วมกบักิเลสอนัอยูอ่าศยัในภายใน อกศุลธรรมอนั ลามกเหล่านั้นยอ่มกลุม้รุมภิกษุนั้น เพราะเหตุดงัน้ีนั้น ภิกษุนั้นจึงเรียกวา่ ผูอ้ยูร่่วมกบักิเลส ท่ีฟุ้งซ่าน อีกประการหน่ึง อกศุลธรรมอนัลามก มีความดาํริอนัซ่านไปในอารมณ์อนัเก้ือกลูแก่ สัญโญชน ์ยอ่มเกิดข้ึนแก่ภิกษุ เพราะไดย้นิเสียงดว้ยโสต ... เพราะสูดกล่ินดว้ยฆานะ ... เพราะ ล้ิมรสดว้ยชิวหา ... เพราะถูกตอ้งโผฏฐพัพพะดว้ยกาย ... เพราะรู้แจง้ธรรมารมณ์ดว้ยใจ อกศุล ธรรมอนัลามกเหล่านั้น ยอ่มอยูซ่่านไปในภายในแห่งภิกษุนั้น เพราะเหตุดงัน้ีนั้น ภิกษุนั้นจึง เรียกวา่ ผูอ้ยูร่่วมกบักิเลสอนัอยูอ่าศยัในภายใน อกศุลธรรมอนัลามกเหล่านั้น ยอ่มกลุม้รุม ภิกษุนั้น เพราะเหตุดงัน้ีนั้น ภิกษุนั้นจึงเรียกวา่ อยูร่่วมกบักิเลสท่ีฟุ้งซ่าน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผูอ้ยูร่่วมกบักิเลสอนัอยูอ่าศยัในภายใน ผูอ้ยูร่่วมกบักิเลสท่ีฟุ้งซ่าน ยอ่มอยูล่าํบาก ไม่ผาสุก อยา่งน้ีแล. เพราะฉะนั้น เพราะอรรถวา่เป็นท่ีอยูแ่ห่งกศุลธรรมทั้งหลายอยา่งน้ี จึงช่ือวา่ อนัตราย. สมจริงดงัท่ีพระผูมี้พระภาคตรัสไวว้า่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการเหล่าน้ี เป็น มลทินในภายใน เป็นอมิตรในภายใน เป็นขา้ศึกในภายใน เป็นเพชฌฌาตในภายใน เป็นศตัรู ในภายใน ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะ เป็นมลทินในภายใน เป็นอมิตรในภายใน เป็นขา้ศึกในภายใน เป็นเพชฌฆาตในภายใน เป็นศตัรูในภายใน โทสะ เป็นมลทินในภายใน เป็นอมิตรในภายใน เป็นขา้ศึกในภายใน เป็นเพชฌฆาตในภายใน เป็นศตัรูในภายในโมหะ เป็นมลทินในภายใน เป็นอมิตรในภายใน เป็นขา้ศึกในภายใน เป็นเพชฌฆาตในภายใน เป็นศตัรูในภายใน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการน้ีแล เป็นมลทินในภายใน เป็นอมิตร ในภายใน เป็นขา้ศึกในภายใน เป็นเพชฌฆาตในภายใน เป็นศตัรูในภายใน.

  • พระผูมี้พระภาคผูสุ้คตศาสดา คร้ันตรัสไวยากรณภาษิตน้ีจบลงแลว้ จึงตรัสคาถา ประพนัธ์ต่อไปอีกวา่- โลภะ ยงัส่ิงท่ีไม่เป็นประโยชนใ์หเ้กิด โลภะ ยงัจิตใหใ้หก้าํเริบ โลภะ เป็นภยัเกิดข้ึนในภายใน พาลชน ยอ่มไม่รู้สึกภยันั้น คนผูโ้ลภแลว้ ยอ่มไม่รู้อรรถ คนผูโ้ลภแลว้ ยอ่มไม่เห็นธรรม เม่ือใด ความโลภ ครอบงาํนรชน เม่ือนั้น นรชนนั้น ยอ่มมีความมืดต้ือ โทสะ ยงัส่ิงท่ีไม่ เป็นประโยชนใ์หเ้กิด โทสะ ยงัจิตใหก้าํเริบ โทสะ เป็นภยัเกิดข้ึนใน ภายใน พาลชน ยอ่มไม่รู้สึกภยันั้น คนผูโ้กรธแลว้ยอ่มไม่รู้อรรถ คนผู ้ โกรธแลว้ ยอ่มไม่เห็นธรรม เม่ือใด ความโกรธครอบงาํนรชน เม่ือนั้น นรชนนั้น ยอ่มมีความมืดต้ือ โมหะ ยงัส่ิงท่ีไม่เป็นประโยชนใ์หเ้กิด โมหะยงัจิตใหก้าํเริบ โมหะ เป็นภยัเกิดข้ึนในภายใน พาลชน ยอ่มไม่ รู้สึกภยันั้น คนผูห้ลงแลว้ ยอ่มไม่รู้อรรถ คนผูห้ลงแลว้ ยอ่มไม่เห็นธรรม เม่ือใด ความหลงครอบงาํนรชน เม่ือนั้น นรชนนั้น ยอ่มมีความมืดต้ือ. เพราะอรรถวา่ เป็นท่ีอยูแ่ห่งอกศุลธรรมทั้งหลายอยา่งน้ี. จึงช่ือวา่ อนัตราย สมจริงดงัท่ีพระผูมี้พระภาคตรัสไวว้า่ ดูกรมหาบพิตร ธรรม ๓ ประการแล เม่ือเกิด ข้ึนในภายในแห่งบุรุษ ยอ่มเกิดข้ึนเพื่อมิใช่ประโยชนเ์ก้ือกลู เพื่อทุกข ์เพื่อความอยูไ่ม่ผาสุก ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน? คือ โลภะ เม่ือเกิดข้ึนในกายในแห่งบุรุษ ยอ่มเกิดข้ึนเพื่อมิใช่ ประโยชนเ์ก้ือกลู เพื่อทุกข ์เพื่อความอยูไ่ม่ผาสุก โทสะ เม่ือเกิดข้ึนในภายในแห่งบุรุษ ยอ่ม เกิดข้ึนเพื่อมิใช่ประโยชนเ์ก้ือกลู เพื่อทุกข ์เพื่อความอยูไ่ม่ผาสุก โมหะ เม่ือเกิดข้ึนในภายใน แห่งบุรุษ ยอ่มเกิดข้ึนเพื่อมิใช่ประโยชนเ์ก้ือกลู เพื่อทุกข ์เพื่อความอยูไ่ม่ผาสุก ดูกรมหาบพิตร ธรรม ๓ ประการน้ีแล เม่ือเกิดข้ึนในภายในแห่งบุรุษ ยอ่มเกิดข้ึนเพื่อมิใช่ประโยชนเ์ก้ือกลู เพื่อทุกข ์เพื่อความอยูไ่ม่ผาสุก. พระผูมี้พระภาคผูสุ้คตศาสดา คร้ันตรัสไวยากรณภาษิตน้ีจบลงแลว้ จึงตรัสคาถา ประพนัธ์ต่อไปอีกวา่ โลภะ โทสะ โมหะ เกิดข้ึนในตน ยอ่มกาํจดับุรุษผูมี้จิตลามก เหมือนขยุไผก่าํจดัไมไ้ผ ่ฉะนั้น. เพราะอรรถวา่ เป็นท่ีอยูแ่ห่งอกศุลธรรมทั้งหลายอยา่งน้ี. จึงช่ือวา่ อนัตราย สมจริงดงัท่ีพระผูมี้พระภาคตรัสไวว้า่ ราคะ และโทสะ มีอตัภาพน้ีเป็นเหตุ เกิดแต่อตัภาพน้ี ไม่ยนิดีกศุล ย ํา่ยนีรชนนั้น.

  • [๒๓] คาํวา่ เพราะอนัตรายนั้น ทุกขย์อ่มติดตามนรชนนั้นไป มีความวา่ เพราะ อนัตรายนั้นๆ ทุกขย์อ่มติดตาม ตามไป ไปตามบุคคลนั้น คือ ชาติทุกข ์ยอ่มติดตาม ตามไป ไปตาม ชราทุกข ์... พยาธิทุกข ์... มรณทุกข ์... ทุกข ์คือ ความโศก รํ่าไร ลาํบากกาย ทุกขใ์จ ความแคน้ใจ ... ทุกข ์คือ ความเกิดในนรก ... ทุกข ์คือ ความเกิดในกาํเนิดเดียรัจฉาน ... ทุกข ์คือ ความเกิดในวสิัยเปรต ... ทุกข ์คือ ความเกิดในมนุษย ์... ทุกขมี์ความเกิดในครรภเ์ป็นมูล ... ทุกข ์ มีความตั้งอยูใ่นครรภเ์ป็นมูล ... ทุกขมี์ความคลอดจากครรภเ์ป็นมูล ... ทุกขท่ี์ติดตามสัตวท่ี์เกิด แลว้ ... ทุกขอ์นัเน่ืองแต่ผูอ่ื้นแห่งสัตวท่ี์เกิดแลว้ ... ทุกขอ์นัเกิดแต่ความขวนขวายของตน ... ทุกขอ์นัเกิดแต่ความขวนขวายของผูอ่ื้น ... ทุกขเ์กิดแต่ทุกขเวทนา ... ทุกขเ์กิดแต่สังขาร ... ทุกขเ์กิดแต่ความแปรปรวน ... โรคทางจกัษุ โรคทางโสต โรคทางฆานะ โรคทางชิวหา โรคทาง กาย โรคทางศีรษะ โรคทางหู โรคทางปาก โรคทางฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไขห้วดั โรคไขพ้ิษ โรคไขเ้ซ่ือมซึม โรคในทอ้ง โรคลมสลบ โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเร้ือน โรคฝี โรคข้ีกลาก โรคมองคร่อ โรคลมบา้หมู โรคหิดเป่ือย โรคหิดดา้น โรคคุดทะราดหูด โรคละลอก โรคคุดทะราดบวม โรคอาเจียรโลหิต โรคดีเดือด โรคเบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง โรคริดสีดวง อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธสันนิบาต อาพาธเกิดแต่ฤดูแปรปรวน อาพาธเกิดแต่บริหารไม่สมํ่าเสมอ อาพาธอนัเกิดแต่ความเพียรเกิน กาํลงั อาพาธอนัเกิดแต่วบิากของกรรม ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ปวด อุจจาระ ปวดปัสสาวะ ทุกขเ์กิดแต่สัมผสัแห่งเหลือบ ยงุ ลม แดด และสัตวเ์สือกคลาน ทุกข ์ เพราะความตายแห่งมารดา ทุกขเ์พราะความตายแห่งบิดา ทุกขเ์พราะความตายแห่งพี่ชายและ นอ้งชายทุกขเ์พราะความตายแห่งพี่สาวและนอ้งสาว ทุกขเ์พราะความตายแห่งบุตร ทุกขเ์พราะ ความตายแห่งธิดา ทุกขเ์พราะความฉิบหายแห่งญาติ ทุกขเ์พราะความฉิบหายแห่งโภคทรัพย ์ทุกข ์ เพราะความฉิบหายอนัเกิดแต่โรค ทุกขเ์พราะความฉิบหายแห่งศีล ทุกขเ์พราะความฉิบหายแห่ง ทิฏฐิ ยอ่มติดตาม ตามไป ไปตามบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ เพราะอนัตรายนั้น ทุกข ์ ยอ่มติดตามนรชนนั้นไป. [๒๔] คาํวา่ เหมือนนํ้าไหลเขา้สู่เรือท่ีแตกแลว้ ฉะนั้น มีความวา่ นํ้าไหลซึมเขา้สู่เรือ ท่ีแตกแลว้ คือ นํ้ายอ่มซึมเขา้ไป ตามเขา้ไป ไหลเขา้ไปแต่ท่ีนั้นๆ คือ ยอ่มซึมเขา้ไป ตาม เขา้ไป ไหลเขา้ไป ขา้งหนา้บา้ง ขา้งหลงับา้ง ขา้งทอ้งบา้ง แต่ขา้งๆ บา้ง ฉนัใด เพราะอนัตราย นั้นๆ ทุกขย์อ่มติดตาม ตามไป ไปตามบุคคลนั้น คือ ชาติทุกข ์ยอ่มติดตาม ตามไป ไปตาม ฯลฯ ทุกขเ์พราะความฉิบหายแห่งทิฏฐิ ยอ่มติดตาม ตามไป ไปตามบุคคลนั้น ฉะนั้น เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ เหมือนนํ้าไหลเขา้สู่เรือท่ีแตกแลว้. เพราะเหตุนั้น พระผูมี้พระภาคจึงตรัสวา่ เหล่ากิเลสอนัไม่มีกาํลงั ยอ่มครอบงาํนรชนนั้น เหล่าอนัตราย ยอ่ม

  • ย ํา่ยนีรชนนั้น เพราะอนัตรายนั้น ทุกขย์อ่มติดตามนรชนนั้นไป เหมือน นํ้าไหลเขา้สู่เรือท่ีแตกแลว้ ฉะนั้น. วา่ดว้ยผูมี้สติทุกเม่ือ [๒๕] พระผูมี้พระภาคตรัสวา่ เพราะเหตุนั้น สัตวผ์ูเ้กิดมา พึงเป็นผูมี้สติทุกเม่ือ พึงเวน้ขาดกาม ทั้งหลาย คร้ันเวน้ขาดกามเหล่านั้นแลว้ พึงขา้มโอฆะได ้เหมือนบุคคล วดินํ้าในเรือแลว้ไปถึงฝ่ัง ฉะนั้น. [๒๖] คาํวา่ เพราะเหตุนั้น สัตวผ์ูเ้กิดมา พึงเป็นผูมี้สติทุกเม่ือ มีความวา่ คาํวา่ เพราะเหตุนั้น คือ เพราะฉะนั้น เพราะการณ์นั้น เพราะเหตุนั้น เพราะปัจจยันั้น เพราะนิทาน นั้น สัตวผ์ูเ้กิดมา เม่ือเห็นโทษนั้นในกามทั้งหลาย ฉะนั้น จึงช่ือวา่ เพราะเหตุนั้น. คาํวา่ สัตวผ์ูเ้กิดมา ไดแ้ก่ สัตว ์นรชน มาณพ บุรุษ บุคคล ผูมี้ชีวติ ผูเ้กิด สัตวเ์กิด ผูมี้กรรม มนุษย.์ คาํวา่ ในกาลทุกเม่ือ คือ ในกาลทุกเม่ือ ในกาลทั้งปวง ตลอดกาลทั้งปวง ตลอด กาลเป็นนิตย ์ตลอดกาลยัง่ยนื ตลอดกาลเป็นนิรันดร์ ตลอดกาลเป็นอนัเดียว ตลอดกาลติดต่อ ตลอดกาลเป็นลาํดบั ตลอดกาลไม่ขาดระยะ ตลอดกาลไม่มีระหวา่ง ตลอดกาลสืบเน่ือง ตลอด กาลไม่ขาดสาย ตลอดกาลกระชั้นชิด ในการก่อนภตั ในกาลหลงัภตั ในยามตน้ ในยามกลาง ในยามหลงั ในขา้งแรม ในขา้งข้ึน ในฤดูฝน ในฤดูหนาว ในฤดูร้อน ในตอนวยัตน้. ตอนวยักลาง ในตอนวยัหลงั. คาํวา่ มีสติ (๑)- ไดแ้ก่เป็นผูมี้สติโดยเหตุ ๔ อยา่ง คือ เม่ือ เจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานในกาย กช่ื็อวา่เป็นผูมี้สติ เม่ือเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในเวทนาทั้งหลาย กช่ื็อวา่เป็นผูมี้สติ เม่ือเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานในจิต กช่ื็อวา่เป็นผูมี้ สติ เม่ือเจริญธมัมานุปัสสนาสติปัฏฐานในธรรมทั้งหลาย กช่ื็อวา่เป็นผูมี้สติ เป็นผูมี้สติโดย เหตุ ๔ อยา่งแมอ่ื้นอีก คือ ช่ือวา่เป็นผูมี้สติ เพราะเวน้จากความเป็นผูไ้ม่มีสติ ฯลฯ บุคคลเป็น ผูเ้ขา้ใกล ้เขา้ชิด เขา้ถึง เขา้ถึงพร้อม เขา้ไปถึง เขา้ไปถึงพร้อม ประกอบดว้ยสติน้ี บุคคล นั้นเรียกวา่ มีสติ เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ สัตวผ์ูเ้กิดมาพึงเป็นผูมี้สติทุกเม่ือ. [๒๗] คาํวา่ พึงเวน้ขาดกามทั้งหลาย มีความวา่ กามทั้งหลาย ไดแ้ก่ กาม ๒ อยา่ง โดยหวัขอ้ คือ วตัถุกาม ๑ กิเลสกาม ๑. วตัถุกามเป็นไฉน? รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐพัพะ อนัเป็นท่ีชอบใจ ฯลฯ กามเหล่าน้ี เรียกวา่ วตัถุกาม ฯลฯ กามเหล่าน้ี เรียกวา่ กิเลสกาม. คาํวา่ พึงเวน้ขาดกามทั้งหลาย คือ พึงเวน้ขาดกามทั้งหลาย โดยเหตุ ๒ ประการ คือ โดยการ ข่มไวอ้ยา่ง ๑ โดยการตดัขาดอยา่ง ๑. พึงละเวน้ขาดกาม โดยการข่มไวอ้ยา่งไร? สัตวผ์ูเ้กิดมา เม่ือเห็นอยูว่า่ กามทั้งหลายเปรียบดว้ยโครงกระดูก เพราะอรรถวา่เป็นของมีความยนิดีนอ้ย พึง เวน้ขาดกามโดยการข่มไว ้เม่ือเห็นอยูว่า่ กามทั้งหลายเปรียบดว้ยช้ินเน้ือ เพราะอรรถวา่เป็นของ

  • สาธารณ์แก่ชนหมู่มาก พึงเวน้ขาดกามโดยการข่มไว ้เม่ือเห็นอยูว่า่ กามทั้งหลายเปรียบดว้ย คบเพลิง เพราะอรรถวา่เป็นของตามเผา พึงเวน้ขาดกามโดยการข่มไว ้ฯลฯ แมเ้จริญเนวสัญญานา- *สัญญายตนสมาบติั พึงเวน้ขาดกามโดยการข่มไว.้ พึงเวน้ขาดกามโดยการข่มไวอ้ยา่งน้ี ฯลฯ พึง เวน้ขาดกามโดยการตดัขาดอยา่งน้ี ๒- เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา่ พึงเวน้ขาดกามทั้งหลาย. [๒๘] คาํวา่ คร้ันเวน้ขาดกามเหล่านั้นแลว้ พึงขา้มโอฆะได ้มีความวา่ คาํวา่ เหล่า นั้น คือ สัตวผ์ูเ้กิดมา กาํหนดรู้วตัถุกามทั้งหลาย ละ ละทัว่ บรรเทา ทาํใหสู้ญส้ิน ใหถึ้ง ความไม่มีในภายหลงั ซ่ึงกิเลสกาม คือ ละ ละทัว่ บรรเทา ทาํใหสู้ญส้ิน ใหถึ้งความไม่มีใน ภายหลงั ซ่ึงกามฉนัทนิวรณ์ ... พยาบาทนิวรณ์ ... ถีนมิทธนิวรณ์ ... อุทธจัจกกุกจุจนิวรณ์ ละ @(๑) ต่อไปน้ีจงดูในขอ้ ๑๔. @๒. (ล) จงดูละเอียดในขอ้ ๑๒. ละทัว่ บรรเทา ทาํใหสู้ญส้ิน ใหถึ้งความไม่มีในภายหลงั ซ่ึงวจิิกิจฉานิวรณ์ พึงขา้ม ขา้มข้ึน ขา้มพน้ กา้วล่วง เป็นไปล่วง กามโอฆะ ภว�