It’s not just blood pressure…it’s poor impulse control! dP/dt – Change in pressure per Unit of time.
อวลีพรรณ กัื...
Transcript of อวลีพรรณ กัื...
Physics 1Physics 1
Faculty of Engineering
South-East Asia University
2006
อ.วลีพรรณ กันเนื่อง
ดาวนโหลดเอกสารคําสอนhttp://mechatronics.sau.ac.th/download.html
อ.วลีพรรณ กันเนื่อง
ดาวนโหลดเอกสารคําสอนhttp://mechatronics.sau.ac.th/download.html
บทที่ 2พลศาสตรของวัตถุ
บทที่ 2พลศาสตรของวัตถุ
แรงดึงสปริง=98.1 N
แรงดึงสปริง=10x9.81=98.1 N
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
รอกอิสระ
รอกอิสระ
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
กฎขอ 1 วัตถุจะคงสภาพการหยุดนิ่งหรือสภาพการเคลื่อนที่ในแนวเสนตรงดวยความเร็วสม่ําเสมอตอไป ถาไมมีแรงภายนอกมากระทํา
กฏการเคลื่อนที่ของนิวตันกฏการเคลื่อนที่ของนิวตัน
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
กฎขอ 2 ความเรงของวัตถุเปนปฏิภาคตรงกับแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุ และมีทิศทางเดียวกันกับแรงลัพธนั้น
กฎขอ 3 เมื่อมีแรงกระทําตอวัตถุ จะมีแรงปฏิกิริยาขนาดเทากัน แตมีทิศทางตรงกันขามในแนวเสนตรงเดียวกัน กระทําตอบจากวัสดุเสมอ
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
ตัวอยางตัวอยางตัวอยาง 2.2 วัตถุรูปเหลี่ยมมวล 4 kg วางอยูบนพืน้ราบลื่นซึ่งไมมีแรงเสียดทานใดๆ ถามแีรงกระทาํตอวัตถุในแนวระดับ แรงนี้เพิม่ขึน้แบบเชิงเสนในชวง 5 วนิาทแีรก จากนัน้ลดลงเปนศูนย(แรงหยุดกระทํา) ถามวาวตัถุจะเคลื่อนทีไ่ปไดไกลเทาใดใน 10 วนิาที
1
2
1 2 3 4 5 6t(s)
F(N)
ตัวอยางตัวอยางตัวอยาง 2.3 มวล 10 kg เคลื่อนที่บนพื้นราบ ตําแหนงของวัตถทุี่เวลาตางๆ เขียนไดเปนดังนี้
โดย มีหนวยเปนเมตร จงหาแรงลัพธที่กระทําตอวัตถุที่เวลาตาง ๆ
( ) ( ) jttittr ˆ3ˆ2)( 22 −+=v
)(trv
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
ตัวอยางตัวอยางตัวอยาง ออกแรง 100 N ผลักมวล 20 kg ซึ่งผลักมวล 5 kg ตอไปอีกดังรูป จนกระทั่งมวลทั้งสองเคลื่อนทีไ่ปดวยกนั จงหาแรงทีม่วล 20 kg กระทาํตอมวล 5 kg โดยสมมติใหพืน้ไมมีความฝด
F=100NM1=20 kg
m2=5 kg
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
โมเมนตัมเชิงเสนโมเมนตัมเชิงเสน
maF =dtdvm=
( )dtmvdF =
dtdP
=
mvP =
เรียก P วาโมเมนตัม
ดังนั้น แรง คืออัตราการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมMechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering
South-East Asia University
การดลการดล
FdtdP
=
การดล คือปริมาณโมเมนตมัทีเ่ปลี่ยนไปทั้งหมดในชวงเวลา t
∫=∫2
1
2
1
t
t
p
pFdt
dtdP
∫=−2
112
t
tFdtPP
t(s)
F(N)
dt
พื้นที่สีมวงคือ ∫2
1
t
tFdt
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
กฎการอนุรักษโมเมนตัมเชิงเสนกฎการอนุรักษโมเมนตัมเชิงเสน
FdtdP
=
โมเมนตมัของวตัถทุั้งหมดที่กาํลงัพิจารณาจะคงที่ ถาไมมแีรงลัพธใดๆจากภายนอกกระทําตอวตัถุ
∑ = 0F
2211 vmvm =
ถา จะได 0=dtdP
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
ตัวอยางตัวอยางตัวอยาง2.8 รถยนตหนัก 1500 kg วิ่งเปนเสนตรงดวยความเรว็ 60kg/hr ถาเบรกดวยแรงคงที่ใหรถหยุดไดในเวลา 1.2 นาที จงหาแรงที่ใหกบัรถ
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
ตัวอยางตัวอยางตัวอยาง2.9 ชายคนหนึ่งมมีวล 60 kg ยืนอยูบนปลายขางหนึง่ของแพซึ่งมมีวล 100 kg แพลอยอยูในน้าํนิง่ ถาชายคนนัน้วิ่งไปยังอีกปลายอีกขางหนึ่งของแพดวยความเรว็เทยีบกับฝงเปน 5 m/s และไมคิดแรงตานของน้าํ แพจะเคลื่อนที่ดวยความเรว็เทียบกับฝงเปนเทาไร
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
ตัวอยางตัวอยางตัวอยาง2.10 โมเลกุลหนึ่งของกาซวิ่งดวยอัตราเรว็ 300 m/s ชนกับอีกโมเลกุลหนึ่งซึ่งหยุดนิ่งและมมีวลเทากัย หลังจากชนกนัแลวโมเลกุลแรกวิ่งกระเด็นไปดวยอัตราเรว็ 260 m/s ในทิศทาํมมุ 30 องศากับแนวเดมิ จงหาอัตราเรว็และทศิของโมเลกุลทีส่อง
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
การบานการบานการบาน รถเกงของบริษทั ไดทาํการทดสอบโครงสรางของรถทีม่ีมวล 1800 kg วิ่งชนกาํแพงทดสอบดวยความเรว็ 120 km/hr ขณะชนรถสัมผัสอยูกับกําแพง 0.25 s แลวเคลื่อนที่กลับดวยความเรว็ 80 km/hr จงหาแรงทีท่าํใหเกิดความปลอดภัยจากโครงสรางรถ
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
ความเสียดทานในความเปนจริงผิวสัมผัสทั่วไปเปนผิวขรุขระ ความขรุขระอาจมีมากนอยตางกัน เพราะฉะนั้น แรงที่กระทําตอกันระหวางวัตถุ 2 กอนจะมีทั้งแรงในแนวตั้งฉาก (normal) และแรงในแนวเสนสัมผัส (tangential) สภาวะเชนนี้เรียกวา เกิดความเสยีดทาน (friction) ระหวางวัตถุทั้งสอง และแรงในแนวสัมผัสนี้ทําหนาที่ตานหรือลดการเคลือ่นที่ไปจากกันในแนวเสนสัมผสั เรียกวา แรงเสียดทาน (frictional force)
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
แรงเสียดทานแรงเสียดทานเปนแรงตานการเคลื่อนที่ของวัตถุ อยูในแนวระนาบของผิวทัง้สองซึ่งเสียดสีกัน
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
รูป แสดง แรงเสียดทานสถิตย (F)
Fm คือคาแรงเสียดทานสถิตสูงสุด
เรยีกสภาวะทีค่าแรงเสียดทานสูงสุดวา“ วัตถุเริ่มเคลื่อนทีพ่อดี ”
Fk คือคาแรงเสียดทานจลน
FAABB
WW
NNWW
NN
BBPP
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
FF
NF sm µ=
sµ คอื สัมประสทิธิ์ของความเสียดทานสถิต (coefficient of static friction)
kµ คอื สัมประสทิธิ์ของความเสียดทานจลน(coefficient of kinetic friction)
NF kk µ=
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
ตารางที ่8.1 คาประมาณของคาสัมประสิทธิ์ของความเสียดทานสถิตย
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
จากทฤษฎีของความเสียดทานแหง เราสามารถสรุปพฤติกรรมของวัตถแุข็งทีส่ัมผัสกับพืน้ราบ ดงันี้
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
พิจารณาวตัถวุางอยูบนพื้นราบโดยไมมีแรงภายนอกมากระทํา
(ก) ไมมแีรงเสียดทาน
1. เมื่อพื้นอยูในแนวราบ แรงปฏิกิริยา R มคีาเทากับน้ําหนักของวตัถุ W ไมมีแรงเสียดทานเกิดขึ้น
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
2. เมื่อคอยๆ ยกพื้นใหเอียงทํามุม θ=φ กับแนวราบ แรงปฏิกิริยารวม R จะเทากบั W และอยูในแนวดิ่ง แรงปฏิกิริยาในแนวตั้งฉากกับพื้น N จะเทากบั W cos θ ขณะที่มุม φ ยังเล็กอยู วัตถุยังไมเคลื่อนที่เพราะมีแรงเสียดทาน F ในแนวระนาบเอียงเทากบั W sin θ กระทําตานการเคลื่อนที่ในทิศทางขึน้
(ข) ไมมีการเคลื่อนที่
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
3. ถายกพื้นใหเอียงทํามุม θ มากขึ้นจนถึงคาๆหนึ่ง คือ φs เมื่อวัตถุเริ่มเคลื่อนที่พอดีพอดี แรง N จะเทากับ W cos θ= W cos φ แรงเสียดทานที่ตานการเคลื่อนที่ลงของวัตถจุะมีขนาดสูงสุดคือ Fm= W sin θ= W sin φs และมีทิศทางขึ้น จะเห็นวามุม φs ก็คือ(ค) เริ่มเคลื่อนที่แลว
มุมของความเสียดทานสถิตของวัตถุของวัตถกุับพื้นเอียง(แรงระหวาง R และ N) นั่นเอง มุมที่พื้นเอียงทํากับแนวราบ คือ θ=φs นี้เรียกวา มุมของการเกาะยึด (angle of response) ดังรูป แรง R = W และอยูในแนวดิ่งMechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering
South-East Asia University
4. ถาเพิ่มมุม θ ใหมากกวา φs วัตถุจะเคลื่อนไถลลงตามพื้นเอียง แรง R จะลดลงและไมอยูในแนวดิ่งเนื่องจากแรงเสียดทานจะเปนแรงเสียดทานจลน Fk < W sin θ = sin φs และมุม φ จะมีคาเทากบั φk (มุมของความเสียดทานจลน) ดังรูป
(ง) เคลือ่นที่แลว
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
การบานการบานตัวอยาง2.11 รถบรรทุกมวล 1800 kg เคลื่อนที่ลงดวยความเรง10 m/s2 จงหาแรงขับของรถบรรทุกคนันี้8.0=kµ
o30
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
การบานการบานตัวอยาง2.11 รถเกงมวล 1200 kg จะตองใชแรงขับอยางนอยกีก่ิโลนวิตนั จึงเคลื่อนทีไ่ด และตองการใหเคลื่อนที่ขึน้ดวยความเรง 0.8m/s2 ตองใชแรงขับเทาใด ใหใช 6.0=sµ
o30
3.0=kµ
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
การบานการบานการบาน รถเกงของบริษทั ไดทาํการทดสอบโครงสรางของรถทีม่ีมวล 1800 kg วิ่งชนกาํแพงทดสอบดวยความเรว็ 120 km/hr ขณะชนรถสัมผัสอยูกับกําแพง 0.25 s แลวเคลื่อนที่กลับดวยความเรว็ 80 km/hr จงหาแรงทีท่าํใหเกิดความปลอดภัยจากโครงสรางรถ
Mechatronics & Robotics Engineering Faculty of Engineering South-East Asia University
หนังสือและเอกสารอางอิง1. หนังสือฟสิกส 1 ภาควิชาฟสิกส จุฬาลงกรณ
มหาวิทยาลัย2. ชีท อ.มงคล ซื้อไดที่รานเฟองฟา3. Physics for Scientists and Engineers 6E by
Serway and Jewett
หนังสือและเอกสารอางอิง1. หนังสือฟสิกส 1 ภาควิชาฟสิกส จุฬาลงกรณ
มหาวิทยาลัย2. ชีท อ.มงคล ซื้อไดที่รานเฟองฟา3. Physics for Scientists and Engineers 6E by
Serway and Jewett