01 2 3 / 1
Transcript of 01 2 3 / 1
![Page 1: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/1.jpg)
1
เอกสารในห้องเรียน
บทที� 3 Kinetics of Particles (จลนศาสตรข์องอนุภาค)
Section C: Impulse and Momentum
กล่าวนํา
วธิกีารการดล(อมิพลัส)์และโมเมนตมั (Impulse and Momentum) เป็นวธิกีารหนึ+งในสามวธิ ี(Force Mass and
Acceleration, Work and Energy, Impulse and momentum) ที+ใชว้เิคราะหร์ะบบการเคลื+อนที+แบบ Kinetics ที+ไดท้ํา
การอนิทเิกรตสมการการเคลื+อนที+เทยีบต่อเวลา ซึ+งจะไดส้มการการดล(อมิพลัส)์และโมเมตมั
เอกสารนีFเป็นเอกสารประกอบใชร้ะหว่างเรยีนในหอ้ง ที+สรุปเนืFอหา สมการวเิคราะห ์และโจทยป์ญัหาตวัอย่าง
ต่างๆ ในตําราอ้างองิ [1] (แบบปกปิดวธิกีารวเิคราะหบ์างส่วน) ทั FงนีFเพื+อใหน้ักศกึษามเีอกสารในระหว่างเรยีน และ
สามารถจดบนัทกึไปพรอ้มกบัการบรรยายในหอ้งเรยีนไดอ้ยา่งสะดวก
Section C: Impulse and Momentum (อิมพสัสแ์ละโมเมนตมั)
1. อิมพสัสเ์ชิงเส้นและโมเมนตมัเชิงเส้น (Linear Impulse and Linear Momentum)
พจิารณาการเคลื+อนที+ในรปูที+ 3.1 อนุภาคมวล m
ที+เคลื+อนที+ไปตามเส้นทาง (path) ภายใต้แรงลพัธ์
กระทาํ FΣv
อนุภาคมคีวามเรว็ v r=v v
& ในแนวสมัพสัส์
กบัเสน้ทางการเคลื+อนที+ และมคีวามเร่ง a v=v v& ในทศิ
เดียวกันกับแรงลัพธ์ FΣv
ดังนั Fนจะได้สมการการ
เคลื+อนที+เป็น
( )mvdt
dF ma mv
F G
Σ = = =
Σ =
vv v v&
vv &
(3.1)
โดยที+ G mv=v v จะเรียกโมเมนตัมเชิงเส้น (Linear
momentum)
สมการที+ (3.1) ตคีวามไดว้่า “แรงลพัธท์ี �กระทําต่อ
อนุภาค จะเท่ากบัอตัราการเปลี �ยนแปลงโมเมนตมัเชงิ
เสน้”
สาํหรบั สมการการเคลื+อนที+ในระบบพกิดัฉาก
x-y-z หากใชส้มการที+ (3.1) จะไดเ้ป็น
x x
y y
z z
F G
F G
F G
Σ =
Σ =
Σ =
vv &
vv &
vv &
(3.2)
รปูที� 3.1
หากพจิารณาการเคลื+อนที+ในช่วงระยะเวลา 1 2t t−
แรงลพัธ์ที+กระทํามต่ีอการเปลี+ยนแปลงโมเมนตัมเชิง
เส้น สามารถวเิคราะห์ได้การอนิทเิกรตสมการที+ (3.1)
จะไดเ้ป็น
2 12 2
1 1
2
1
G
G
t
t
t
t
dt
dt
F dG G G
F G
= −Σ =
Σ = ∆
∫ ∫
∫
v v vv
vv (3.3)
![Page 2: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/2.jpg)
2
พจน์ 2
1
t
tdtFΣ∫v
เรยีกว่า “อมิพสัสเ์ชงิเสน้ (linear
impulse)” สําหรบัการวเิคราะห์ปญัหาที+ประกอบด้วย
แรง ความเรว็ และเวลา จากสมการที+ (3.3) เขยีนใหม่
ไดเ้ป็น
1 22
1
2
11 2
t
t
t
t
dt
dt
G F G
mv F mv
+
+
Σ =
Σ =
∫
∫
v vv
vv v (3.3a)
สมการที+ (3.3 a) กล่าวไดว้่า “โมเมนตมัเชงิเส้น
ของอนุภาคที �ตําแหน่งเริ �มต้น ณ เวลา 1t บวกอมิพสัส์
ทั 5งหมดที �กระทําต่อนุภาคในระยะเวลา 1 2t t− เท่ากบั
โมเมนตมัเชงิเสน้ของอนุภาคที �ตําแหน่งสุดทา้ย ณ เวลา
2t ” ซึ+งความหมายเป็นดงัรปูที+ 3.2
รปูที� 3.2
สมการที+ (3.3a) แสดงความสมัพนัธใ์นรปูของ
vector ซึ+งความสมัพนัธนี์Fสามารถเขยีนในอยูใ่นรปูของ
ความสมัพนัธเ์ชงิสเกลาร ์สําหรบัแกนในระบบพกิดัฉาก
x-y-z ไดเ้ป็น
( ) ( )
( ) ( )
( ) ( )
2
1
2
1
2
1
1 2
1 2
1 2
tx x xt
ty y yt
tz z zt
dt
dt
dt
mv F mv
mv F mv
mv F mv
+
+
+
Σ =
Σ =
Σ =
∫
∫
∫
(3.3b)
สําหรบัระบบอนุภาค 2 อนุภาค มวล am และ
bm เคลื+อนที+โดยอิสระด้วยความเร็ว avv และ bv
v ถ้า
อนุภาคทั Fงสองเคลื+อนที+มาชนกันโดยสัมผัสกันเป็น
ช่วงเวลา t ดงันั Fนจะมแีรงที+จุดสมัผสักนัคือ Fv และ
F−v เครื+องหมายลบหมายถึง แรงที+กระทําต่ออนุภาค
ทั Fงสองเป็นแรงปฏกิิรยิาที+มทีศิตรงขา้มกนั ที+แสดงดงั
รูปที+ 3.3 หากพิจารณาการชนที+เวลา t ดังกล่าวจะ
พบว่า
มวล am : 0
ta adtF m vΣ = ∆∫
v v
มวล bm : 0
t
b bdtF m v− Σ = ∆∫v v
รปูที� 3.3
ผลรวมของสมการทั Fงสอง
0 a a ab b bG Gm v m v ⇒ ∆ = −∆= ∆ + ∆v vv v
หรอื ( ) 0a bG G+∆ =v v
ดงันั Fน หากนิยามโมเมนตมัเชงิ
เสน้รวมของทั Fงระบบเป็น a bG G G= +v v v
ดงันั Fนจะไดว้่า
( ) ( ) ( ) ( )
1 2
1 21 2
0
a a a ab b b b
or
or
G G G
m v m v m v m v
=
=
∆ =
+ +
v v v
v v v v
(3.4)
สมการที+ (3.4) จะเรียกว่า “สมการอนุรักษ์
โมเมนตมัเชงิเส้น (the principle of conservation of
linear momentum)” ซึ+งมคีวามหมายคอื “โมเมนตมั
รวมระบบอนุภาคก่อนชน เท่ากบั โมเมนตัมรวม
ระบบอนุภาคหลงัชน”
การวิเคราะหปั์ญหา ด้วยวิธีการอิมพสัสแ์ละโมเมนตมั
1) กําหนดแกนอา้งองิ และเขยีน FBD
2) กําหนดทศิของความเรว็ตน้และความเรว็สุดทา้ย
3) วเิคราะหด์ว้ยความสมัพนัธอ์มิพสัและโมเมนตมั
3.1) ระบบ 1 อนุภาค สมการวเิคราะห:์ 2
11 2
t
tdtmv F mv+ Σ =∫vv v
3.2) ระบบ 2 อนุภาค เขา้ชนกนั สมการวเิคราะห:์
![Page 3: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/3.jpg)
3
( ) ( ) ( ) ( )1 2
1 21 2a a a ab b b b
G G
m v m v m v m v
=
=+ +
v v
v v v v
ข้อควรระวงั: วธิกีาร Impulse and Momentum เป็น
วธิกีารเคราะหเ์ชงิ vector (จะตอ้งจดัการแบบเวกเตอร)์
2. อิมพสัสเ์ชิงมมุและโมเมนตมัเชิงมมุ (Angular Impulse and Angular Momentum)
พจิารณาการเคลื+อนที+ในรปูที+ 3.4 อนุภาค P มวล
m ที+เคลื+อนที+ไปตามเสน้ทาง (path) โคง้ อนุภาคมี
เวกเตอรร์ะบุตําแหน่ง r x i y j z k= + +vv vv เทยีบ
กบัจุดกําเนิด O ของระบบสงัเกตอยู่กบัที+พกิดัฉาก
x-y-z
รปูที� 3.4
อนุภาคมโีมเมนตมัเชงิเสน้ mvv ซึ+งจะมโีมเมนตมั
เชงิมุม (Angular momentum: oHv
) เท่ากบัค่าโมเมนต์
ที+เกดิจากโมเมนตมัเชงิเสน้รอบจดุ O นั Fนคอื
o
o
x y z
H r mv
i j kH m x y z
v v v
= ×
=
v v v
vv v
v (3.5)
ซึ+ง จะไดโ้มเมนตมัเชงิมุมประกอบแกน เป็น
( )( )
( )
x z y
y x z
z y x
v y v z
v z v x
v x v y
H m
H m
H m
−
−
−
=
=
=
โมเมนตมัเชงิมมุมหีน่วยตามระบบ SI เป็น N-m-s
หากพจิารณาโมเมนตมัของแรงลพัธ ์ FΣv
รอบจุด
O จะได ้
oM r F r mvΣ = ×Σ = ×v vv v v&
เมื+อหาอนุพนัธเ์ทยีบต่อเวลาของสมการ (3.5) จะได ้
oH r mv r mv v mv r mv= × + × = × + ×v v v v v v v v v& & & &
ซึ+งพจน์ 0v mv× =v v ดงันั Fนจะได ้
oH r mv= ×v v v& & ซึ+งเท่ากันกับ โมเมนตัมของแรง
ลพัธ ์ FΣv
รอบจดุ O
ดงันั Fน
o oM HΣ =v v
& (3.6)
สมการที+ (3.6) ตคีวามไดว้่า “โมเมนต์รวมของแรง
ลพัธท์ี �กระทําต่ออนุภาค m รอบจุด O จะเท่ากบัอตัรา
การเปลี �ยนแปลงโมเมนตมัเชงิมมุรอบจดุ O”
สาํหรบั แต่ละแกนในระบบพกิดัฉาก x-y-z หากใช้
สมการที+ (3.6) จะไดเ้ป็น
ox ox
oy oy
oz oz
M H
M H
M H
Σ =
Σ =
Σ =
v v&
v v&
v v&
(3.6a)
หากพจิารณาการเคลื+อนที+ในช่วงระยะเวลา 1 2t t−
โมเมนต์รวมที+กระทํามต่ีอการเปลี+ยนแปลงโมเมนตัม
เชิงมุม สามารถวิเคราะห์ได้การอินทิเกรตสมการที+
(3.6) จะไดเ้ป็น 2 2
1 1
2
1
1 2
H
H
to o o ot
to ot
dt
dt
M dH H H
M H
= −Σ =
Σ =∆
∫ ∫
∫
v v v v
v v (3.7)
ซึ+ง 11oH r mv= ×v v v และ 22oH r mv= ×
v v v
พจน์ 2
1
tot
dtMΣ∫v
เ รียกว่ า “อิมพัสส์ เ ชิง มุม
(angular impulse)” ความหมายคอื “อมิพสัสเ์ชงิมุมรวม
รอบจุด O ที �กระทําต่อมวล m จะเท่ากับการ
เปลี �ยนแปลงโมเมนตมัเชงิมมุรอบจดุ O ของมวล m”
![Page 4: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/4.jpg)
สมการที+ (3.7) เขยีนใหมจ่ะไดเ้ป็น 2
11 2
too ot
dtH M H+ Σ =∫v v v
สมการที+ (3.7a) กล่าวไดว้่า “โมเมนตมัเชงิุมมของ
อนุภาคที �ตําแหน่งเริ �มต้น ณ เวลา 1t
เชิงมุมทั 5งหมดที �กระทําต่อนุภาคในช่วง
เท่ากบัโมเมนตมัเชงิมุมของอนุภาคที �ตําแหน่งสุดท้าย
ณ เวลา 2t ”
ส่วนที� 1.1 ตวัอย่าง Section C: Linear Impulse and Linear Momentum
วิธีทาํ
1) เขยีน FBD ของแรงที+กระทําต่อมวล
2) หา Rx และ Ry จากสมการ อมิพสัสแ์ละโมเมนตมัเชงิเสน้
( ) (2 2
1 11 2:
t tx x x xt t
dt dtmv F mv mv R mv+→ ⇒ − ++ Σ = =∫ ∫
( ) (2 2 2
1 1 11 2: (0)
t t ty y y yt t t
dt mg dt dtmv F mv m R mv+ ↑ ⇒ − − ++ Σ = =∫ ∫ ∫
เขยีนใหมจ่ะไดเ้ป็น
(3.7a)
โมเมนตมัเชงิุมมของ
t บวกอิมพสัส์
ช่วงเวลา 1 2t t−
โมเมนตมัเชงิมุมของอนุภาคที �ตําแหน่งสุดท้าย
ถ้าไม่มีการอิมพัสส์เชิงมุม
กระทําต่ออนุภาคในช่วงเวลา
กลายเป็น
1 2o oH H=v v
สมการที+ (3.8)
โมเมนตมัเชงิมุม (the principle of conservation of
angular momentum)
Linear Impulse and Linear Momentum
ของแรงที+กระทําต่อมวล 60 g
อมิพสัสแ์ละโมเมนตมัเชงิเสน้
)2 2
1 11 21 2 cos15
t t ox x x xt t
dt dtmv F mv mv R mv+→ ⇒ − +Σ = =∫ ∫
1 2 cos15oxmv R t mv⇒ − + ∆ =
( ) ( ) (15 0.020.06 0.060 21cos15
105.9 #x
x
R
R
N
⇒ − +
⇒
=
=
) ( )2 2 2
1 1 11 2: (0)
t t ty y y yt t t
dt mg dt dtmv F mv m R mv+ ↑ ⇒ − − +Σ = =∫ ∫ ∫
4
ถ้าไม่มีการอิมพัสส์เชิงมุม 2
10
tot
dtM =Σ∫v
มา
กระทําต่ออนุภาคในช่วงเวลา 1 2t t− สมการที+ 3.7a จะ
(3.8)
(3.8) จะเรียกว่า “สมการอนุรักษ์
(the principle of conservation of
)0.06 0.060 21cos15o
2 sin15omv F mv m R mvΣ = =
![Page 5: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/5.jpg)
ดงันั Fนจะไดข้นาดและทศิทางของแรง
2 2 2 2
1 1
105.9 16.89
tan ta
x y
y
x
R RR R
RR
β β− −
⇒
⇒
= + = +
= =
v v
วิธีทาํ
1) หาขนาดของแรงกระทาํ Fv
จากสมการ
( )dt
dF G GΣ = =v vv &
( )2 3
2
3 2
2 33 4
3 2
dtF mg k j k
mg k
d t t
F t j t k
+ −− =
− +=
v vv v
vv vv
แทนค่า ที+ t = 2 sec จะได ้
( ) (
( )22
23(2) 2 2 0.2 9.81
6.04
6.04
6
8.51 .6
j k k
j k
F
F
F
= − +
= −
= + − =
v vv
vv
v
v
v
( )( )( )( ) ( )
2 sin15
0.06 9.81 0.02 0.02 0.06 21sin15
16.89 #
oy
y
y
mg t R t
R N
m v
R
⇒ − +
⇒ − +
⇒
∆ ∆
=
=
ดงันั Fนจะไดข้นาดและทศิทางของแรง Rv
เป็น
2 2 2 2
1 1 16.89105.9
107.2
9
105.9 16.89
tan ta .07n o
N Ans
nsA− −
= + = + =
= =
จากสมการ
( )2 33 2
2 33 4F mg k j kt t
+ −−v vv
)( )3(2) 2 2 0.2 9.81
8.51 .
j k k
sN An
= − +
=
v v
5
) ( )( )0.06 9.81 0.02 0.02 0.06 21sin15o=
![Page 6: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/6.jpg)
วิธีทาํ
1) เขยีน FBD ของแรงที+กระทําต่อมวล
2) หา 2 2, 2,x yi jv v v= +v vv จากสมการ อมิพสัสแ์ละโมเมนตมัเชงิเสน้
( ) (2
11 2:
txx xt
dt dtmv F mv mv F mv+→ ⇒ −+ Σ = =∫ ∫
( ) (2
11 2 2,: (0)
tyy yt
dt F dtmv F mv m mv+ ↑ ⇒ + ++ Σ = =∫ ∫
ดงันั Fนจะไดข้นาดและทศิทางของ
2 22 2 22, 2,
1 8tan6
x y
x x
v v v v
θ θ−
⇒
⇒
= + =
−==
v v
ของแรงที+กระทําต่อมวล 0.5 kg
จากสมการ อมิพสัสแ์ละโมเมนตมัเชงิเสน้
( ) 11, 2,
3
1 2 0x xx xdt dtmv F mv mv F mv+→ ⇒ −Σ = =∫ ∫
( ) ( ) ( )1 2 3 10.5 10 4 0.5⇒ − + − =
2, 6 / #xv m s= −⇒
( ) ( )2
3
1 2 2,0: (0) yy y
dt F dtmv F mv m mv+ ↑ ⇒ + +Σ = =∫ ∫
( ) ( )0 3 22
3 11 2 0.5
⇒ + + −
+ =
2, 8 / #yv m s=⇒
ดงันั Fนจะไดข้นาดและทศิทางของความเรว็ vv เป็น
( )22 2 26 8 10 /
126.9o
m s Ans
Ansθ θ
= + =
=
− + =
6
2,0.5 10 4 0.5 xv=
2,1 2 0.5 yv=
![Page 7: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/7.jpg)
วิธีทาํ
1) จากโจทย ์เขยีนกราฟ P-t diagram
2) เขยีน FBD ของแรงที+กระทาํต่อมวล
3) หาเวลา t′ เมื+อรถเปลี+ยนทศิการเคลื+อนที+
โดยใชส้มการความสมัพนัธ ์อมิพสัสแ์ละโมเมนตมัเชงิเสน้
( ) (2
11 2:
txx xt
x dt dt dtmv F mv mv P mg mv+ ⇒ − + −+ Σ = =∫ ∫ ∫
( ) (1150 4 2 4 600 2 600 150 9.81 sin30 42
− + − +
+ ∆ ∆ =
2.46 4t s t⇒∆ = ∴ = +∆′
4) หาเวลาความเรว็ xv ที+เวลา t =
( ) (2
11 2:
txx xt
x dt dt dtmv F mv mv P mg mv+ ⇒ − + −+ Σ = =∫ ∫ ∫
( ) (1150 4 2 4 600 2 600 8 4 150 9.81 sin30 4 8 4 1502
− + − +
+ − − =
2, 4.76 /x m nsv s A⇒ =
t diagram
ของแรงที+กระทาํต่อมวล 150 kg
เมื+อรถเปลี+ยนทศิการเคลื+อนที+: นั Fนคอื 2 0 /sv m=
โดยใชส้มการความสมัพนัธ ์อมิพสัสแ์ละโมเมนตมัเชงิเสน้
) ( ) ( 01, 2,1 2 0 0
2 sin30x xx x
t tx dt dt dtmv F mv mv P mg mv
′ ′+ ⇒ − + −Σ = =∫ ∫ ∫
) { } ( )150 4 2 4 600 2 600 150 9.81 sin30 4ot t − + − +
+ ∆ ∆ =
2.46 4 6.46t s t s Anst⇒∆ = ∴ = +∆ =′ 8 st = โดยใชส้มการความสมัพนัธอ์มิพสัสแ์ละโมเมนตมัเชงิเสน้
) ( ) (1, 2,1 2 0 0
8 82 sin30x xx x
x dt dt dtmv F mv mv P mg mv+ ⇒ − + −Σ = =∫ ∫ ∫
) ( ){ } ( )150 4 2 4 600 2 600 8 4 150 9.81 sin30 4 8 4 150o − + − + + − − =
4.76 /m nss A
7
)01, 2,2 sin30x xx dt dt dtmv F mv mv P mg mvΣ = =
( )2, 0150 xv =+ ∆ ∆ =
โดยใชส้มการความสมัพนัธอ์มิพสัสแ์ละโมเมนตมัเชงิเสน้
)01, 2,2 sin30x xx dt dt dtmv F mv mv P mg mvΣ = =
( ) ( )2,150 4 2 4 600 2 600 8 4 150 9.81 sin30 4 8 4 150 xv − + − + + − − =
![Page 8: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/8.jpg)
วิธีทาํ
1) ระบบอนุภาค 2 อนุภาค เคลื+อนที+ชนกนั จะใชส้มการอนุรกัโมเมนตมัเชงิเสน้ นั Fนคอื
โมเมนตมัของระบบก่อนชน =
( ) ( ) (1 21 2a a a a ab b b b bm v m v m v m v m m v= = ++ +v v v v v
( ){ } ({0.05 600 4 12 cos30 sin 30 0.05 4j i j+ + = +v v v
2 10.26 13.33 /i j m s Ansv = +v vv
ดงันั Fนจะไดข้นาดและทศิทางของความเรว็
2 22 2 2 22, 2,
1 13.33tan1 .0 26
x y
x x
v v v v
θ θ−
⇒
⇒
= + = +
=
v v
อนุภาค เคลื+อนที+ชนกนั จะใชส้มการอนุรกัโมเมนตมัเชงิเสน้ นั Fนคอื
= โมเมนตมัของระบบหลงัชน หรอื 1 2G G=v v
) ( ) ( ) 21 21 2a a a a ab b b b bm v m v m v m v m m v= = ++ +v v v v v
; หลงัชนเคลื+อนไปดว้ยกนั
) } ( )0 00.05 600 4 12 cos30 sin 30 0.05 4j i j + + = + v v v
10.26 13.33 /i j m s Ansv v
ดงันั Fนจะไดข้นาดและทศิทางของความเรว็ vv เป็น
2 22 2 2 2 16.83 /10.26 13.33
52.4x xo
m s A s
A s
v n
nθ θ
⇒
⇒
= + = + =
=
v v
8
อนุภาค เคลื+อนที+ชนกนั จะใชส้มการอนุรกัโมเมนตมัเชงิเสน้ นั Fนคอื
หลงัชนเคลื+อนไปดว้ยกนั
20.05 600 4 12 cos30 sin 30 0.05 4 v+ + = +v
![Page 9: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/9.jpg)
ส่วนที� 1.2 ตวัอย่าง Section C: Angular Impulse and Angular Momentum
วิธีทาํ
1) หาโมเมนตมัเชงิมมุรอบจดุ O
( ) ( )3 6 4 2 5
40 30o
o
o i j k j
i k N m s Ans
H r mv
H
H + + ×
⋅ ⋅= − +
= ×
=vv v v
vvv
v v v
v
2) หาอนุพนัธเ์ทยีบต่อเวลาของโมเมนตมัเชงิมุม
จาก o oM HΣ =v v
&
( )3 6 4
60 30
10
o o
i j k k
i j N m Ans
H M r F
− ⋅
=
+ + ×
=
Σ = ×
=v vv v
v v
v v vv&
วิธีทาํ
สมการอนุรกัษ์โมเมนตมัเชงิมมุรอบแกน
1 2o oH H=v v
( ) ( )
( ) ( )( )( )
, ,
6
6
6,000 10 7
59,200 /
40
75 10
o A o B
B BA A
A AB
B
B
r mv r mv
r mv r mv
r vv
v m s A s
r
n
=
× = ×
=
=
=
v v v v
Angular Impulse and Angular Momentum
i j k j
i k N m s Ans⋅ ⋅
v v v
หาอนุพนัธเ์ทยีบต่อเวลาของโมเมนตมัเชงิมุม oHv&
i j N m Ans
สมการอนุรกัษ์โมเมนตมัเชงิมมุรอบแกน O
6,000 10 740
9
Angular Impulse and Angular Momentum
![Page 10: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/10.jpg)
วิธีทาํ
สมการอนุรกัษ์โมเมนตมัเชงิมมุรอบแกน
โมเมนตมัของระบบก่อนชน = โมเมนตมัของระบบหลงัชน
1 2o oH H=v v
( ) ( )
( ) ({,1 ,2
1 2,1 2,2: 2 4
o o
l l l
r mv r mv
CW mv m m v mv
× = ×
+ = +
v v v v
แทนค่า ความเรว็เชงิเสน้ เปลี+ยนเป็นความเรว็เชงิมุม
( ) ({( ) ( ){( )
1
1
1
1
1
1
: 2 4
2 4
3
9
16
19
l l l
CW A
l l
l
l
CW mv m m m
mv m m m
mv m m
vv
θ θ
θ
θ
+
+ = +
= +
=
=
=&
& &
&
วิธีทาํ
หา θ จากสมการอนุรกัษ์โมเมนตมัเชงิมมุรอบแกน
1 2o oH H=v v
( ) ( )( ) ( ) (0 0
, ,
cos (1):o A o Br mv r mv
z r mv r m v
× = ×
+ − =
v v v v
จาก (1) มตีวัแปรไม่ทราบค่า 2 (ยกเวน้
ค่าที+ทราบ ซึ+งสามารถกระทําไดด้งันีF
สมการอนุรกัษ์โมเมนตมัเชงิมมุรอบแกน O
โมเมนตมัของระบบหลงัชน
) } { }1 2,1 2,22: 2 4l l lCW mv m m v mv++ = +
แทนค่า ความเรว็เชงิเสน้ เปลี+ยนเป็นความเรว็เชงิมุม v rθ= & ดงันั Fน จะไดเ้ป็น
)( )} ( ){ })( )} ( ){ }
2 2
2 2
: 2 4
2 4
16
l l l
CW A
l l
l l
l l
ns
CW mv m m m
mv m m m
mv m m
θ θ
θ θ
θ θ
+
+
+
+ = + & &
& &
& &
สมการอนุรกัษ์โมเมนตมัเชงิมมุรอบแกน O
)cos (1)θ →
ยกเวน้ θ ) ไดแ้ก่ ,v r ดงันั Fนจะตอ้งขจดัตวัแปรเหล่านีF โดยเขยีนเป็นฟงักช์นัของ
10
ดงันั Fนจะตอ้งขจดัตวัแปรเหล่านีF โดยเขยีนเป็นฟงักช์นัของ
![Page 11: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/11.jpg)
11
a) ขจดั v สมการอนุรกัษ์พลงังาน คอื
1 22 2 2 21 1 1 2 2 2
1 1 1 1 (2)2 2 2 2
mv mgh kx U mv mgh kx−+ + + = + + →′
พจิารณาสมการ (2) ตดัเทอมที+เป็นศูยน์
2 21 1 1
1 12 2
mv mgh kx+ + 1 2U −+ ′ 22 2
12
mv mgh= + 22
12
kx+
2
2 2
0
0
2 #
1 12 2
mv mgh m
v v g
v
h= +
+ =
b) ขจดั r สมการ: 2 2 20 hr r= +
220 #r r h= −
แทนค่าที+ทราบ 20 2v v gh= + และ 22
0r r h= − ลงใน (1) จะได ้
จาก (1) : ( ) ( )0 0 cosr mv r m v θ=
( )( )20 0
2 20 0 2 cosr v r h v gh θ− +=
1 10
22
0
2 20 0
2 20 0
1cos cos
22 1 1
Ansr v
h ghr h v ghr v
θ − −
= − + − +
=
![Page 12: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/12.jpg)
12
3. การกระทบ (Impact)
การกระทบ หมายถงึ การที+วตัถุ 2 วตัถุ เคลื+อนที+มาชนกนัหรอืปะทะกนั ซึ+งจะเกดิแรงอมิพสัสห์รอืแรงดลหรอื
แรงปฏิกิรยิาที+กระทําต่อกันที+สูงมากในช่วงเวลาสั Fนๆ และแรงนีFจะหายไปเมื+อวัตถุเริ+มเคลื+อนที+ออกจากกัน
การกระทบแบ่งเป็น 2 ลกัษณะ คอื การกระทบในแนวตรง (Direct Central Impact) และ การกระทบในแนวเฉียง
(Oblique Central Impact) ที+แสดงดงัรปูที+ 3.5
รปูที� 3.5
3.1 การกระทบในแนวตรง (Direct Central Impact)
พจิารณารปูที+ 3.6 (a) วตัถุกลมมวล m1 และ m2
เคลื+อนที+ดว้ยความเรว็ก่อนเขา้กระทบเป็น v1 และ v2
ตามลาํดบั โดยที+ v1 > v2 เมื+อเขา้กระทบกนัวตัถุทั Fงสอง
จะยุบตวัลงมากสุดและมคีวามเรว็เท่ากนัเป็น v0 ดงัที+
แสดงในรปูที+ 3.6 (b) ซึ+งจะเรยีกช่วงนีFว่า “ช่วงยุบตวั”
(deformation) หลงัจากนั Fนวตัถุทั Fงสองจะเริ+มคนืตวัจนมี
ขนาดเท่าเดมิและแยกออกจากกนั โดยมคีวามเรว็หลงั
กระทบเป็น v'1 และ v'2 ตามลําดบั ซึ+งความเรว็ v'2
จะต้องมากกว่า v'1 รูปที+ 3.6 (c) จะเรียกช่วงนีFว่า
“ช่วงคนืตวัหลงัชน” (After impact)
รปูที� 3.6
เนื+องจากการกระทบไม่มแีรงภายนอกมากระทํา ดงันั Fน
จะไดว้่า 0G∆ =v
1 1 2 2 1 1 2 2m v m v m v m v′ ′+ += (3.9)
รปูที+ 3.7 แสดงลกัษณะของแรงที+เกดิในช่วงการ
ยุบตวัและการคนืตวั dFv
และ rFv
คือแรงปฏิกิรยิาที+
ผวิสมัผสัในช่วงการยบุตวัและคนืตวั ตามลาํดบั
รปูที� 3.7
จากสมการความสัมพันธ์ของอิมพัสส์แล ะ
โมเมนตัมเชิงเส้น 2
11 2
t
tdtmv F mv+ Σ =∫vv v หาก
พจิารณามวล m1 ช่วงการยุบตวั ที+มคีวามเรว็เริ+มต้น
เป็น v1 และความสุดท้ายเป็น v0 โดยที+มแีรงภายนอก
กระทําคอื dF ดงันั Fนจะได้ความสมัพนัธ์ของอิมพสัส์
และโมเมนตมัเชงิเสน้ในช่วงนีF คอื
1 10 01 d
otdtm v F m v− =∫
![Page 13: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/13.jpg)
13
และเช่นเดยีวกนั ช่วงการคืนตวั มคีวามเรว็เริ+มต้นเป็น
v0 และความสุดท้ายเป็น v'1 โดยมแีรงภายนอกกระทํา
คือ rF ดังนั Fนจะได้ความสัมพันธ์ของอิมพัสส์และ
โมเมนตมัเชงิเสน้ในช่วงนีF คอื
1 10 1o
r
t
tdtm v F m v′− =∫
นิยาม สมัประสทิธิGการคนืสภาพ (Coefficient of
restitution: e) คอื “อตัราส่วนของอมิพสัสเ์ชงิเส้นช่วง
คนืตวัต่ออมิพสัสเ์ชงิเสน้ช่วงยบุตวั”
e=
1 1
1 10
0 1 0 1
0 01 1d
o
o
r
t
tt
dt
dt
F m v m v v ve
m v m v v vF
′ ′− −=
− −= =∫
∫
ซึ+ งหากวิเคราะห์ที+มวล m2 ก็สามารถกระทําได้
เช่นเดยีวกนั นั Fนคอื
2 0
0 2
v ve
v v
′ −
−=
หากขจดัค่า 0v ออกจากสมการทั Fงสอง จะได้สมการ
ความสมัพนัธเ์ป็น
2 1
1 2
v ve
v v
′ ′−
−= = (3.10)
เมื+อ
e = 1 เรยีกว่า การกระทบ/การชนแบบยืดหยุ่น
(Elastic Impact) ซึ+งเป็นการชนที+ไม่มกีารสูญเสยี
พลงังาน จะเป็นการชนในเชงิอุดคตทิี+ไม่เกดิขึFนจรงิ แต่
กก็ารชนของวสัดุบางชนิดที+การสูญพลงังานน้อย (ค่า e
เขา้ใกล ้1) เช่น การชนของวสัดุประเภทแกว้กบัแกว้
e = 0 เรยีกว่า การกระทบ/การชนแบบไม่
ยืดหยุ่น (Inelastic หรือ Plastic Impact) ซึ+งเป็นการ
ชนที+มกีารสูญเสยีพลงังานมากที+สุด และหลงัจากการ
ชนวตัถุทั Fงสองจะเคลื+อนที+ตดิกนัไป
โดยทั +วไปค่า e จะอยู่ระหว่าง 0 - 1 ขึFนอยู่กบั
คุณสมบตัทิางกายภาพของวตัถุทั Fงสอง รปูที+ 3.8 แสดง
ค่าสมัประสทิธิ xการคนืสภาพ e โดยประมาณของวสัดุ
ประเภทต่างๆ
รปูที� 3.7
การวิเคราะหปั์ญหาการกระทบในแนวตรง
หากเราทราบสภาวะเริ+มต้นก่อนการกระทบ
ได้แก่ 1 2 1 2m m v vและ ค่าสมัประสทิธิ xการคนืสภาพ
e หากต้องการทราบค่าที+สภาวะหลงักระทบ 2 ค่า
ได้แก่ 1 2v v′ ′ ดังนั Fนจะต้องจําลองสมการให้ได้ 2
สมการ ซึ+ง 2 สมการดงักล่าว คอื สมการที+ 3.9 และ
3.10 นั Fนคอื
(1) สมการอนุรกัษ์โมเมนตั 5มเชงิเสน้ทั 5งระบบ
1 1 2 2 1 1 2 2m v m v m v m v′ ′+ += (3.9)
(2) สมการความสมัพนัธส์มัประสทิธิGการคนืสภาพ e
2 1
1 2
v ve
v v
′ ′−
−= (3.10)
อมิพสัสเ์ชงิเสน้ช่วงการคนืตวั
อมิพสัสเ์ชงิเสน้ช่วงช่วงยบุตวั
|ความเรว็สมัพทัธก์ารแยกตวั|
|ความเรว็สมัพทัธก์ารยุบตวั|
![Page 14: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/14.jpg)
14
3.2 การกระทบในแนวเฉียง (Oblique Central Impact)
พจิารณารูปที+ 3.8 วตัถุกลมมวล m1 และ m2
เคลื+อนที+ดว้ยความเรว็ก่อนเขา้กระทบเป็น v1 และ v2
ตามลําดบั โดยมมีุมเขา้กระทบก่อนที+วดัจากแนวสมัผสั
(t) ของมวล m1 และ m2 เท่ากบั θ1 และ θ2 ตามลําดบั
ดงัรปู 3.8a ณ จุดกระทบจะมเีสน้แนวปะทะ (Line of
impact: n) ที+ตั Fงฉากกบัเสน้แนวสมัผสั t ดงัรปู 3.8b
หลงัจากกระทบวตัถุทั Fงสองจะแยกออกจากกันโดยมี
ความเรว็และมุมหลงักระทบ เป็น v'1 θ'1 และ v'2 θ'2
ตามลาํดบั ดงัรปู 3.8c ซึ+งการวเิคราะหจ์ะกําหนดใหแ้รง
เสยีดทานในแนวสมัผสั t มคี่าน้อยมากเมื+อเทยีบกบัแรง
ในแนวกระทบ n ( )Fv ที+เป็นปฏกิริยิาของวตัถุทั Fงสอง
ในแนวกระทบ n โดยทิศทางและขนาดของแรงแนว
กระทบ เป็นดงัรปูที+ 3.8d และ 3.8e ตามลาํดบั
การวิเคราะหปั์ญหาการกระทบในแนวเฉียง
หากเราทราบสภาวะเริ+มต้นก่อนการกระทบ ไดแ้ก่
1 2 1 2 1 2m m v v θ θv v และหากต้องการทราบค่าที+สภาวะ
หลงักระทบ 4 ค่า ได้แก่ 1 2 1 2v v θ θ′ ′ ′ ′v v ดงันั Fนจะต้อง
จาํลองสมการใหไ้ด ้4 สมการ ซึ+งสามารถกระทาํไดด้งันีF
(1) สมการอนุรกัษ์โมเมนตั 5มเชงิเส้นในแนวกระทบ n
ทั 5งระบบ
( ) ( ) ( ) ( )1 1 2 2 1 1 2 2n n n nm v m v m v m v′ ′+ += (3.11)
(2) สมการอนุรกัษ์โมเมนตั 5มเชงิเสน้ในแนวสมัผสั t
เนื+องจากเราพจิารณาว่าแรงเสยีดทานในแนวสมัผสั
t ขณะกระทบมคี่าน้อยมากเท่าเทยีบกบัแรงในแนว
กระทบ n จงึพจิารณาใหเ้ป็นศูนยไ์ด ้ ดงันั Fน โมเมนตมั
เชงิเสน้ในแนวสมัผสั t ของแต่ละอนุภาคจะต้องอนุรกัษ์
นั Fนคอื
มวล m1: ( ) ( )1 1 1 1t tm v m v′= (3.12)
มวล m2: ( ) ( )2 2 2 2t tm v m v′= (3.13)
(3) สมการความสมัพนัธ์สมัประสทิธิGการคนืสภาพ e
ของการกระทบในแนว n
สมการความสมัพนัธ์สมัประสทิธิ xการคนืสภาพ e
ของการกระทบในแนว n สามารถประยุกต์ใช้ได้
เช่นเดยีวกนักบัการกระทบในแนวตรง ซึ+งจะไดเ้ป็น
( ) ( )( ) ( )
2 1
1 2
n n
n n
v ve
v v
′ ′−
−= (3.14)
หากทราบค่าสมัประสทิธิ xการคนืสภาพของกระทบ
e ดงันั Fนเราจะไดส้มการความสมัพนัธท์ี+เป็นอสิระต่อกนั
4 สมการ (สมการ 3.11, 3.12, 3.13 และ 3.14) เท่ากบั
จาํนวนตวัแปรที+ไม่ทราบค่า 4 ตวัแปร ( 1 2 1 2v v θ θ′ ′ ′ ′v v )
ซึ+งสามารถแกร้ะบบสมการและหาคาํตอบได ้
รปูที� 3.8
![Page 15: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/15.jpg)
วิธีทาํ
1) ตคีวามหมายโจทยด์ว้ยการวาดรปูแสดงลกัษณะทางกายภาพ
2) หาคาํตอบใหก้บัโจทย ์
(a) หาความเรว็ของเสาเขม็หลงัการกระทบ
จากสมการ Conservation of
r r p rp r pm v m v m v m+ +=
( )2400 2400( ) (1)800( ) 0 800( )rv v+ + →
ซึ+ง r rv v ′สามารถหาไดจ้ากสมการ 2 21 1 2 2
1 12 2mv mgh mv mgh+ = +
(ก) ขาปล่อย Ram ลง 2 m
2 (2) 6.26 / #r gv m s==
(ข) หลงักระทบ Ram กระดอนขึCน
2 (0.1) 1.401 / #r gv ′ = =
ดงันั Fน แทนค่า 6.26 /rv m s=
( )6.26 1.4012400 2400( )800( ) 0 800( )+ + ⇒=
ดว้ยการวาดรปูแสดงลกัษณะทางกายภาพ
หาความเรว็ของเสาเขม็หลงัการกระทบ: pv ′ โดยการเขยีนสมการที+มตีวัแปรที+ตอ้งการหา
Conservation of Linear Momentum of system: 1 2G G=v v
จะได้
r r p r pp r pm v m v m v mv′ ′+ += แทนค่า ที+ทราบจะได ้
2400 2400( ) (1)800( ) 0 800( )r pv v v ′′+ + →= แต่มตีวัแปร
สามารถหาไดจ้ากสมการ Conservation of Energy นั Fนคอื 2 21 1 2 2mv mgh mv mgh+ = + แยกพจิารณา ไดเ้ป็น
2 m: ( )210 02
2r r rm v m g+ = + − จะได ้
6.26 / #v m s
กระดอนขึCน 0.1 m: ( ) ( )21 0 0
20.1r rr gvm m+ = +′
1.401 / #m s
v m s และ 1.401 /r m sv ′ = ลงในสมการ (1) จะได ้
6.26 1.4012400 2400( )800( ) 0 800( ) 2.55 /p pv v m s Ans′ ′+ + ⇒ ==
15
โดยการเขยีนสมการที+มตีวัแปรที+ตอ้งการหา
จะได ้
ตวัแปรเพิ+มมาคอื r rv v ′
จะได ้
2.55 /v v m s Ans
![Page 16: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/16.jpg)
16
(b) ค่าสมัประสิทธิW การคืนสภาพ: e
( )2 1
1 2
2.55 1.0.6
4016.2
36 0
1v vv
e Ansv
−′ ′− −− −
===
(c) เปอรเ์ซน็ตก์ารสูญเสียพลงังานของการกระทบ: Percentage of energy lost
% impact before impact after impactimpact
before impact before impact
Energy EnergyEnergy lostEnergy lost
Energy Energy−
= =
( )( )
( ) ( )
( )( ) ( )( )
2
2 2
2
22
1 10 800 6.26 02 2
1 12 2
1 1800 1.401 2,400 2.552 2
15,700 #
8,620 #
before impact
after impact
r r
r r p p
Energy m v
Energ
J
v
J
y m v m
+ +
+
+
==
=
=
= ′ ′
=
15,700 8,620% 0.45115,700
45.1%impact AnEnergy lost s=−= =
![Page 17: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/17.jpg)
วิธีทาํ
โจทย์ถามหา ( ) ( )2 2
n tv v v′ ′ ′= + และ
ทั Fงหมด 2 สมการที+เป็นอสิระต่อกนั นั Fนคอื
� สมการสมัประสทิธิGการคนืสภาพ
( ) ( )2 1 1
1
1
2
) ) 0 ( )
16sin 30 0
( ) 4 / #
( (n n n
n n
n m s
v v ve
v v
v
′ ′ ′− −= =
− − −
′∴ =
=
� สมการอนุรกัษ์โมเมนตั 5มเชงิเสน้ในแนว
( ) ( ) ( )1 1 1 1 1t t tm v m v v′ ′⇒=
( )1 13.86 / #t
m sv∴ ′ =
ดงันั Fนจะไดข้นาดและทศิทางของความเรว็
2 2 2 21 1
1
( ) ( ) 4 13.86
4tan13.86
n t
t t
v vv v
θ θ
′ ′
− ⇒
′ ′
⇒ +
=
= + =′ ′
และ 1
1
1 ( )
( )tan n
t
v
vθ
′
′
− ′=
ซึ+งเป็น 2 ตวัแปร ( n tv v′ ′
สมการที+เป็นอสิระต่อกนั นั Fนคอื
สมการสมัประสทิธิGการคนืสภาพ : e = 0.5
2 1 1) ) 0 ( )0.5
16sin 30 0o
n n nv v v′ ′ ′− −= =
− − −
สมการอนุรกัษ์โมเมนตั 5มเชงิเสน้ในแนวสมัผสั t ของมวล m1
( )1 16cos30o
t t tv′ ′ = =
ดงันั Fนจะไดข้นาดและทศิทางของความเรว็ v′ เป็น
2 2 2 2( ) ( ) 4 13.86 14.42 /
1 . 06 1 ot t
m s Ans
nsA
v v
θ θ′ ′
=
=
⇒ += + =′ ′
17
)n tv v′ ′ ดงันั Fนจะต้องสร้างสมการ
![Page 18: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/18.jpg)
18
วิธีทาํ
โจทยถ์ามหา a) ผลการเคลื+อนที+หลงัชน ไดแ้ก่ 1 2 1 2v v θ θ′ ′ ′ ′v v b) เปอรเ์ซน็การสญูเสยีเนื+องจากการชน
ข้อ a) หา 1 2 1 2v v θ θθ θθ θθ θ′ ′ ′ ′′ ′ ′ ′′ ′ ′ ′′ ′ ′ ′v vv vv vv v
Step 1: เขียน FBD แสดงสภาวะก่อนชน พร้อมแสดงแนวแกน n, t
2θ ′
1θ ′
Step 2: ตวัแปรไม่ทราบค่า 4 ตวัแปร ไดแ้ก่ ( ) ( ) ( ) ( )1 1 2 2n t n t
v v v v′ ′ ′ ′ เขียนสมการควบคุม 4 สมการ จะได ้
� สมการอนุรกัษ์โมเมนตั 5มเชงิเสน้ในแนวกระทบ n ทั 5งระบบ
( ) ( ) ( ) ( )1 1 2 2 1 1 2 2n n n nm v m v m v m v′ ′=+ +
( ) ( )1 26 cos 30 0 (1)o
n nv v′ ′+ = →+
� สมการอนุรกัษ์โมเมนตั 5มเชงิเสน้ในแนวสมัผสั t
( ) ( ) ( ) ( ) ( )1 1 1 1 1 1 160si1 #n 3: 3 /0o
tt t t tm m v m v v vass v m s′ ′= ⇒ = ′∴ ==
( ) ( ) ( ) ( ) ( )2 2 2 2 2 2 22 : 0 /0 #tt t t t
m v m v vmass v m sv ′∴ =′ ′= ⇒ = =
� สมการสมัประสทิธิGการคนืสภาพ: e = 0.6
( ) ( )( ) ( )
2 1
1 2
n n
n n
v ve
v v
′ ′−
−=
( ) ( ){ } ( ) ( ) { } ( ) ( )1 2 2 1 2 10.6 6 cos 30 0 (2)o
n n n n n ne v v v v v v′ ′ ′ ′= ⇒ = →− − − −
1
1
230
sin
o
r
r
θ
θ
=
=
![Page 19: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/19.jpg)
19
แกร้ะบบสมการ (1) และ (2) หาค่า ( ) ( )1 2n nv v′ ′ จะได ้
จาก (1) และ (2)
( ) ( )
{ } ( ) ( )1 2
2 1
6 cos 30 0 (1)
0.6 6 cos 30 0 (2)
o
o
n n
n n
v v
v v
′ ′+ = →
′ ′= →
+
− −
นาํ (1) + (2):
( ) ( ) ( )2 26 cos 30 1 0.6 4.157 / #2o
n nv v m s′ == ⇒ ′+
แทนค่า ( )2 4.16 /n
v m s′ = ใน (1) จะได ้
( ) ( )116 cos 30 0 4.1 1.039 /57 #o
nnvv m s′+ = ⇒ ′ =+
ดงันั Fนจะไดข้นาดและทศิทางของความเรว็ 1 2 1 2v v θ θ′ ′ ′ ′v v เป็น
( )( ) ( )
2 2
11
11
1
3 1.039 3.175 /
1.039tan 19.11
3
3 /
1.039 / o
t
n
v v m s Ans
t A
m s
v m ss nθ
′ = + =′ =
′ = = ∠
′ =
( )( ) ( )
2
2
2 22
12
0 4.157 4.157 /
0tan
0 /
4.157 / 904.157
o
t
n
v mv s Ans
t An
m
s
s
v m s θ
′ =
′ =
′ = + =
′ = = ∠
ข้อ b) หา เปอร์เซ็นการสูญเสียเนื�องจากการชน (((( ))))% impactEnergy loss
% impact before impact after impactimpact
before impact before impact
Energy EnergyEnergy lossEnergy loss
Energy Energy−
= =
{ }
2 2 21 1 2 2
2 2 2 21 1 2 2
1 1 16 0
2 2 2
1 1 13.175 4.157
2 2
18
24.0 %
#
2
% 100
13.681 #
18 13.681%
18
before impact
after impact
impact
m J
m
Energy m v m v m
Energy m v m v m
Energy lost
J
mAns
J m J
m J
= + = +
′ ′= + = +
=
=
=
=
−
![Page 20: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/20.jpg)
แบบฝึกหดัท้ายบท
รายวิชา
พลศาสตรวิ์ศวกรรม
[ENGINEERING DYNAMICS]
บทที' 3 Kinetic of Particles
Section C: Impulse and Momentum
โดย
วิทรูย ์ เหม็สวุรรณ
![Page 21: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/21.jpg)
ลําดับท่ี…../……..ท่ีน่ัง Zone:……………ชื่อ:………………………………………
แบบฝ�กหัดท�ายบท Section C: Impulse and Momentum
ส�วนท่ี 1 เรื่อง: Linear-Angular Impulse and Linear
ข�อท่ี 1 ([1] Problems 3/187)
425203/525203 พลศาสตร@วิศวกรรม
Ch3: Kinetics of Particles, Section C
……………………………………… รหัส:……………………….
Impulse and Momentum
Angular Impulse and Linear-Angular Momentum
พลศาสตร@วิศวกรรม (ENGINEERING DYNAMICS)
Section C: Impulse and Momentum
1
![Page 22: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/22.jpg)
425203/525203 พลศาสตร@วิศวกรรม (ENGINEERING DYNAMICS)
Ch3: Kinetics of Particles, Section C: Impulse and Momentum
ลําดับท่ี…../……..ท่ีน่ัง Zone:……………ชื่อ:……………………………………… รหัส:……………………….
2
ข�อท่ี 2 ([1] Problems 3/188)
![Page 23: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/23.jpg)
425203/525203 พลศาสตร@วิศวกรรม (ENGINEERING DYNAMICS)
Ch3: Kinetics of Particles, Section C: Impulse and Momentum
ลําดับท่ี…../……..ท่ีน่ัง Zone:……………ชื่อ:……………………………………… รหัส:……………………….
3
ข�อท่ี 3 ([1] Problems 3/218)
![Page 24: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/24.jpg)
425203/525203 พลศาสตร@วิศวกรรม (ENGINEERING DYNAMICS)
Ch3: Kinetics of Particles, Section C: Impulse and Momentum
ลําดับท่ี…../……..ท่ีน่ัง Zone:……………ชื่อ:……………………………………… รหัส:……………………….
4
ข�อท่ี 4 ([1] Problems 3/220)
![Page 25: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/25.jpg)
425203/525203 พลศาสตร@วิศวกรรม (ENGINEERING DYNAMICS)
Ch3: Kinetics of Particles, Section C: Impulse and Momentum
ลําดับท่ี…../……..ท่ีน่ัง Zone:……………ชื่อ:……………………………………… รหัส:……………………….
5
ข�อท่ี 5 ([1] Problems 3/233)
![Page 26: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/26.jpg)
แบบฝึกหดัท้ายบท
รายวิชา
พลศาสตรวิ์ศวกรรม
[ENGINEERING DYNAMICS]
บทที' 3 Kinetic of Particles
Section C: Impulse and Momentum
(Impact)
โดย
วิทรูย ์ เหม็สวุรรณ
![Page 27: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/27.jpg)
425203/525203 พลศาสตร วิศวกรรม (ENGINEERING DYNAMICS)
Ch3: Kinetics of Particles, Section C: Impulse and Momentum
ลําดับท่ี…../……..ท่ีน่ัง Zone:……………ชื่อ:……………………………………… รหัส:……………………….
6
แบบฝ?กหัดท@ายบท Section C: Impulse and Momentum
สBวนท่ี 1 เรื่อง: Impact
ข@อท่ี 1 ([1] Problems 3/251)
![Page 28: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/28.jpg)
425203/525203 พลศาสตร วิศวกรรม (ENGINEERING DYNAMICS)
Ch3: Kinetics of Particles, Section C: Impulse and Momentum
ลําดับท่ี…../……..ท่ีน่ัง Zone:……………ชื่อ:……………………………………… รหัส:……………………….
7
ข@อท่ี 2 ([1] Problems 3/257)
![Page 29: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/29.jpg)
425203/525203 พลศาสตร วิศวกรรม (ENGINEERING DYNAMICS)
Ch3: Kinetics of Particles, Section C: Impulse and Momentum
ลําดับท่ี…../……..ท่ีน่ัง Zone:……………ชื่อ:……………………………………… รหัส:……………………….
8
ข@อท่ี 3 ([1] Problems 3/262)
![Page 30: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/30.jpg)
425203/525203 พลศาสตร วิศวกรรม (ENGINEERING DYNAMICS)
Ch3: Kinetics of Particles, Section C: Impulse and Momentum
ลําดับท่ี…../……..ท่ีน่ัง Zone:……………ชื่อ:……………………………………… รหัส:……………………….
9
ข@อท่ี 4 ([1] Problems 3/263)
![Page 31: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/31.jpg)
425203/525203 พลศาสตร วิศวกรรม (ENGINEERING DYNAMICS)
Ch3: Kinetics of Particles, Section C: Impulse and Momentum
ลําดับท่ี…../……..ท่ีน่ัง Zone:……………ชื่อ:……………………………………… รหัส:……………………….
10
ข@อท่ี 5 ([1] Problems 3/275)
![Page 32: 01 2 3 / 1](https://reader034.fdocuments.net/reader034/viewer/2022042204/6258c0162ac5a6578673d8a9/html5/thumbnails/32.jpg)
425203/525203 พลศาสตร วิศวกรรม (ENGINEERING DYNAMICS)
Ch3: Kinetics of Particles, Section C: Impulse and Momentum
ลําดับท่ี…../……..ท่ีน่ัง Zone:……………ชื่อ:……………………………………… รหัส:……………………….
11
ข@อท่ี 6 ([1] Problems 3/276)
ตาํราอ้างอิง
[1] Meriam J. L., and Kraige L. G. “Engineering Mechanics: Dynamics,” 6th Ed., John Wiley and Sons, Inc, 2007.