เทศนาภาษาใจ 5

29
เทศนาภาษาใจ หลวงปูบุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข .บางระจัน .สิงหบุรี โพสทในลานธรรมเสวนาโดยคุณ : โต [ 19 .. 2545] กระทูที004107 ลําดับนีตั้งใจนอมนมัสการคุณพระรัตนตรัย ดวยกายพระนาม วจีพระนาม มโน พระนาม โดยสัจจะเคารพแลว นอมพระธรรมเทศนาคําสอน ของพระผูมีพระภาคเจามา แสดง เพิ่มพูนปญญาบารมีชาวพุทธทั้งหลาย ขออํานาจแหงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ จูงจิตใจของพี่นองชาว พุทธใหเขาสูธรรมวินัย ของพระผูมีพระภาคเจา สวัสดีปใหมใหเลิกเกิดเลิกตาย ถาไมพนเกิดพนตายก็เปนสัตวะ เวียนวายตายเกิด ทั้งในรูปพรหม อรูปพรหม ก็ไมพนเกิดพนตาย คือ เขานิโรธ สูพระนิพพาน ขอใหชาวพุทธทั้งหลาย พนจากเกิดแกเจ็บตาย พนจากการทุกขกายทุกขใจ ความ ทุกขกายทุกขใจ เปนทุกขอยางยิ่ง เพราะฉะนั้นอยาใหมีความทุกขกายทุกขใจเลย อยาง ทิ้งวิริยะบารมี จนกวาจะตรัสรูธรรมนะ ทํากอนขันธ นี้ใหเปนกอนธรรมลวน ตายที่ไหนเปนทุกขที่นั่น เมื่อไมเกิดที่ไหนก็ดับทุกขที่นั่น เมื่อไมตายที่ไหน ก็ดับ ทุกขที่นั่น ใหพนจากความเกิด ความตาย โดยเขาสูในธรรมะโลกุตตรธรรม ใหเขาสูพระ นิพพานสมบัติโดยสวัสดี นามรูปมันก็เกิด ดับเหมือนลมหายใจนี่แหละ หายใจเขาก็เกิดดับ หายใจออกก็เกิด ดับ ถาไปนับอยูลมสั้น ลมยาว ลมหยาบ ลมละเอียด นั่นแหละถูกปรุงแลว ฟุงไปหมดนั่น แหละ ผูใดเจริญไดทั้งวันทั้งคืน ทุกลมหายใจเขาออกแลว จะพนจากความเกิดตายดวย สวัสดี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใหมีแตธรรมะของพระผูมีพระภาคเจา ใหรูอริยมรรค อริ ยผล โดยฉับพลัน ขออยาไดมีความเวียนวายตายเกิด ใหเสวยแตโลกุตตรธรรมโดยไม เกิดไมตาย เมื่อไมมีเกิดก็ไมมีทุกขนั่นเอง ขอใหสวัสดีในธรรมะพระผูมีพระภาคเจาโดย สวัสดี

description

http://www.openbase.in.th/files/6_11.pdf

Transcript of เทศนาภาษาใจ 5

เทศนาภาษาใจ ๕

หลวงปูบุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงหบุร ี

โพสทในลานธรรมเสวนาโดยคุณ : โต [ 19 ม.ค. 2545] กระทูที่ 004107

ลําดับนี้ ตั้งใจนอมนมัสการคุณพระรัตนตรัย ดวยกายพระนาม วจีพระนาม มโนพระนาม โดยสัจจะเคารพแลว นอมพระธรรมเทศนาคําสอน ของพระผูมีพระภาคเจามาแสดง เพิ่มพูนปญญาบารมีชาวพุทธทั้งหลาย

ขออํานาจแหงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ จูงจิตใจของพี่นองชาวพุทธใหเขาสูธรรมวินัย ของพระผูมีพระภาคเจา

สวัสดีปใหมใหเลิกเกิดเลิกตาย ถาไมพนเกิดพนตายก็เปนสัตวะ เวียนวายตายเกิดทั้งในรูปพรหม อรูปพรหม ก็ไมพนเกิดพนตาย คือ เขานิโรธ สูพระนิพพาน

ขอใหชาวพุทธทั้งหลาย พนจากเกิดแกเจ็บตาย พนจากการทุกขกายทุกขใจ ความทุกขกายทุกขใจ เปนทุกขอยางยิ่ง เพราะฉะนั้นอยาใหมีความทุกขกายทุกขใจเลย อยางทิ้งวิริยะบารมี จนกวาจะตรัสรูธรรมนะ ทํากอนขันธ ๕ นี้ใหเปนกอนธรรมลวน

ตายที่ไหนเปนทุกขที่นั่น เมื่อไมเกิดที่ไหนก็ดับทุกขที่นั่น เมื่อไมตายที่ไหน ก็ดับทุกขที่นั่น ใหพนจากความเกิด ความตาย โดยเขาสูในธรรมะโลกุตตรธรรม ใหเขาสูพระนิพพานสมบัติโดยสวัสดี

นามรูปมันก็เกิด ดับเหมือนลมหายใจนี่แหละ หายใจเขาก็เกิดดับ หายใจออกก็เกิดดับ ถาไปนับอยูลมสั้น ลมยาว ลมหยาบ ลมละเอียด นั่นแหละถูกปรุงแลว ฟุงไปหมดนั่นแหละ ผูใดเจริญไดทั้งวันทั้งคืน ทุกลมหายใจเขาออกแลว จะพนจากความเกิดตายดวยสวัสดี

ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ ใหมีแตธรรมะของพระผูมีพระภาคเจา ใหรูอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ โดยฉับพลัน ขออยาไดมีความเวียนวายตายเกิด ใหเสวยแตโลกุตตรธรรมโดยไมเกิดไมตาย เมื่อไมมีเกิดก็ไมมีทุกขนั่นเอง ขอใหสวัสดีในธรรมะพระผูมีพระภาคเจาโดยสวัสดี

เออ สัตวมันตายได แตธรรมะมันไมตาย นิโรธไมมีตาย นิพพานไมมีตาย ไมมีเกิด อยาไดเกิด อยาไดตายกัน ใหพนจากธรรมเกิดตายเสีย ใหพนจากธรรมกรรมดํากรรมดขาวเสีย กรรมไมดําไมขาวนี้ เปนกรรมไมเกิดกรรมไมตาย ขอใหเจริญในโลกุตตรกรรมของพระผูมีพระภาคเจาโดยสวัสดี

จูงจิตใจใหเขาสูมรรค ผล นิพพาน ใหเขาสูในความไมเกิดไมตาย อยาไดมาเวียนเกิดในกามภพ รูปภพ อรปูภพ เกิดที่ไหนเปนทุกขที่นั้น

นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ที่พ่ึงอยางอื่นของขาพเจาไมมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆเปนที่พ่ึงของขาพเจา แนหรือยัง อยาโกหกตัวเองวาถึงแลว คนในโลกนะ มนัไมแนไมนอน เอาพระพุทธเจาเปนที่พ่ึง พระธรรมเปนที่พ่ึง พระสงฆเปนที่พ่ึง สะระณัง คัจฉามิ ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ได ๓ วาระ แลวไปไหวตนไม ไหวภูเขา ไหวผีสางไปถูกอะไรละ.....

เอาพระพุทธเปนที่พ่ึง พระธรรมเปนที่พ่ึง พระสงฆเปนที่พ่ึงนะ

ขอถวายชีวิตแกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ผูสั่งสอนเรา เราเปนภาชนะของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ถวายเรื่อยไป ถวายแลวไมเอาคืนหรอก ใหพระพุทธ พระธรรม พระสงฆไปเลย

อยาใหมีความหลงความลืม ใหมีความกําหนดดีๆ ในระหวางเราเกิดมายุคนี้

เราพบคําสอนของพระผูมีพระภาคเจา จูงจิตใจเราใหเขาสูพระนิพพานไดทุกเมื่อทุกเวลา

เวนไวแตเราหลงไปลืมไปเทานั้นเอง ที่หลงไปแลวลืมไปแลวเอาคืนไมได เราตองทําตัวตน ยังไมตายยังมีอยู มีอยูในตา ในหู ในจมูก ในลิ้น ในกาย ในใจนั้นเอง

ชีวิตอยูไดเพราะ สันติสืบเนื่องดิน น้ํา ลม ไฟพอดี ทาน ศีล ภาวนา ตัวตรัสรู

ใหเห็นความเกิดและความเปนโทษ ใหเห็นความไมเกิดไมตายเปนคุณธรรมทั้งหลาย ใหเห็นวาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้เปนเครื่องอาศัย ขอใหศีลรักษาจิตไวอยาใหหลงอยาใหลืม

ความเกิด แก เจ็บ ตายของสัตวโลกมีจริง ความไมเกิด ไมตายของพุทธศาสนามีจริง อริยมรรคมีจริง อริยผลมีจริง นิโรธธรรมมีจรงิ นิพพานมีจริง

เกิด แก เจ็บ ตาย เปนเรื่องของโลกเขาไมใชเรื่องของเรา

จะเอากิเลสที่นอนเนื่องมานานไปฆาเสีย ยอมเปนทุกขลําบากมาก การปฏิบัตธิรรมจึงเปนการยากลําบาก เพราะไมมีการตามใจกิเลส จึงลําบากในขณะปฏิบัติ

กิเลสมันมาเปนเจาของอวิชชา ตัณหา อุปทาน มันนึกวาหนังของมัน เนื้อของมัน ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจของมันที่ไหน มันมาอาศัยเขาเกิดยังวาของมันอีก

อยูกับขี้กับเยี่ยวกับสิ่งปฏิกูลทั้งนั้น มีแตเปยกแฉะทั้งนั้นยังจะอยูอักหรือ แยกกายกับใจซิแบบสัตวเดรัจฉาน ไมมีตัวใดที่จะชอบสภาพที่ตัวมันเปน

คนเรายึดถือแมกระทั้งของเสียที่ถายออกมาแลว วาเปนของตัว นั่นแหละความหลง

เกิด แก เจ็บ ตายเปนเรื่องของกายไมใชเรื่องของจิต จิตไมไดขี้ไมไดเยี่ยวไมไดกินไมไดเงินไมไดตาย เจ็บปวด สุข ทุกขเปนเรื่องของกาย จิตไมไดเจ็บ ไมไดทุกขดวย

ยุงกัดไมมีผูรับรอง กัดก็กดัไปซิ กัดแผนดิน กัดดิน น้ํา ลม ไฟ กดัไปซิ กัดมหาภูตรูป ๔ อุปาทานรูป ๒๔ กเิลสหมดแลวมันไมมีเจาของ เจาของตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจก็ไมมี เจาของผม ขน เล็บ ฟน หนังก็ไมมี......... ผีหลอกไมเปนหร็อก มีแตกิเลสมันหลอกเราอวิชชามันหลอก

อยาเสียดายอวิชชาเลย มันเปนตนเหตุแหงทุกข อยาไปถือวาเปนตัวเปนตน เปนสัตวมันทุกข

อวิชชาดับแลวไมมี ญาณวิชชามีแลวไมหาย

หมดอวิชชาก็หมดโทษ มีแตธรรมะนําไป สัตวที่เกิด ตาย ก็เพราะหาบทุกขสมุทัยไปดวย

ถาดับทุกขที่ใจเปนกันก็ไมตองมีโสกะ ปริเทวะ อุปายะ พิรี้พิไรรําพันทางใจ ไมอัดอ้ันตันใจ

นิพพานสมบัติมีอะไรละ ไมมีนามรูป มันจะไปโกรธกันไดยังไง กิเลสไมมีอวิชชาไมรู อุปาทานไมมี มันขามไปหมดแลว นิพพานสมบัติมันไมมีวิบัติ

พระนิพพานไมมีความเกิดความดับ จะวานิพพานไมมีอยางไร ขอใหเจริญดวยอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ตลอดถึงสิ้นไปแหงความเกิดตาย

เมื่อมีศีลก็มีอธิจิต อธิจิตเปนผูเวนจากอกุศลแลว มั่นคงไมมีบาป ไมมีอกุศล มีแตบุญกุศลอยางเดียว

ใหมีแตบุญกุศลรักษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เขาสูในแดนโลกุตตรธรรม ใหเจริญในมรรค ๔ โดยสมบูรณ อยาไดมีความเกิดความตายติดตามไป เพราะวาอเนกชาติเราก็ไดผานมาแลว

ปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิเวธธรรม มีอยูที่ปจจุบันธรรม อยาเอาอดีต อนาคตคานตัวเองใหยุงเลย เอาแคปจจุบัน

อดีตผานมาแลวเราไมได เพราะไมมีวิชชาไปรูไปเห็น

รูอยูตรงไมติดนั่นแหละ ไมมีไฟราคะ โทสะ โมหะ จะมาเผาแลว เขาติดไมไดแลว

ตองพูดอยางธรรม พูดอยางคนจะขัดคอคนนะซิ ขัดคอเราไมเปนไร อยาไปขัดคอเขาก็แลวกัน

มีคอไปใหเขาขัด เขาก็ขัดคอไดนะซิ ปูไมมีหัว ปูมันปวดหัวหรือเปลาละ งูไมมีขา งูมันปวดขาหรือเปลาละ

ไมมีใครเกิด ไมมีใครแก ไมมีใครเจ็บ ไมมีใครตายนั่นแหละเปนแกนศาสนา

ศาสนาเกิดอยูที่จิตนั่นเอง จิตหลงเมื่อไรมันก็เปนอบายมุขบางอบายภูมิบาง

พนเกิดแกเจ็บตาย พนในปจจุบันนี้แหละ ใหพนเกิดพนตาย จะไดทํางานในพระศาสนา

เออ อายพวกนี้ มันมาติดเปลือก ติดหนามทุเรียนอยูอยางนี้ แลวเมื่อไรมันจะไดกินเนื้อสักที่เลา

ทําไมคนจึงเกิด ที่เกิดก็เพราะยังโงอยู ก็เพราะยังโงนะซิ ถึงตองเกิด

เกิดที่ไรเปนชายทุกที เกดิที่ไรมาเกิดกับผูหญิงทุกที เราจึงไดรูวามนุษยเปนอยางนี้

เราเกิดทีไร เกิดกับผูหญิงทุกที เราจะไมประมาทพวกผูหญิง ผูหญิงมาเกะกะเราก็ไมเอา เพราะแทเราก็เปนผูหญิง ไอพวกผูชายมาชวนใหเปนพวกปลนสดมภ เราก็ไมเอาเพราะพอเราเปนผูชาย

เกิดมา ๙๐ ปแลว ไมเห็นมีนางงามมีแตนางขี้ พระเอกนางเอกไมมีหรอก มีแตพระเอกขี้ นางเอกขี้ ขี้เต็มตัว เต็มหู เต็มตา จะไปเอานางเอกที่ไหน เลือกเอาแตธรรมะซิ

ธรรมของพระพุทธเจา ไมใชธรรมะของเรา ธรรมะของเราจะมีอะไร

ธรรมะเปนอยางไร ธรรมก็หนังแผนเดียวนะซิ จิตก็จิตเดียวนะซิ นิพพานไมสูญ แตอาสวะสูญได

มีหนังแผนเดียว มีจิตดวงเดียวเทานั้น ก็หนังแผนเดียวมันหุมอยูทั้งหมดกับทะลุ ๙ ชอง

นะวะทะวารัง ทะลุทางตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ ปาก ทวารหนัก ทวารเบา

หนังแผนเดียวนี้ก็ไมมีเจาของ นามรูปไมมีเจาของใชไดแลว เขาทางแลว รูปฌานเปนเจาของไมได อรูปฌานก็เปนเจาจองไมได

จับก็จับไปซิ จับแตหนัง ไมไดจับตัว ตัวมีที่ไหนละ พออริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ทํางาน พอหมดแลวไมมีเจาของแลว...

หนังแผนเดียวมันรักษางาย อยูในทองก็มีเทานี้แหละ ออกจากทองมาแลวก็มีเทานี้แหละ หมดไป ๑๐๐ ชั่วโมง ๑๐๐ วัน ก็มีหนังแผนเดียวเทานี้แหละ ตื่นขึ้นมาก็มีหนังแผนเดียว จะดับไปก็หนังแผนเดียว... จะมาเกิดอีกก็มีแคหนังแผนเดียวเทานี้ ยังไมเชื่อกัน ไมเชื่อธรรมะก็ตามใจซิ

อยากดูหนังก็ใหดูหนังเรามีใหดูตลอดเวลา ดูตามนี้ธรรมะดีขึ้น หนังมันดีลง จะไปติดอะไรกับหนัง จะไปเสียดายอะไรกับหนัง แคกระดาษหอขนมปงเทานั้นเอง คนรูนะ เขาทิ้งกระดาษหอขนมปงทั้งนั้น พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ทานรูอยางนี้ ทานไมหลงไมลืม แลวเราจะอวดดีไปหลงไปลืมทําไม

คนมันชอบดูทุกอยาง อะไรๆ มันก็จะดู แตไมชอบดูตัวเอง ลุกไปก็ไมดูตูด ตูดนั่งทับหนังตัวเองก็ไมดู พอจะดูตัวเองตองสองกระจกดู

หนังไมมีเจาของ ตา หู จมูกวางเปลา ไมมีเชื้อกิเลสมาอาศัย นี่เกิดแลวตาย ตายแลวเกิด ไมรูจักเข็ด

ไปไหนก็ทับหนัง ยินอยูก็ทับหนัง เดินอยูก็ทับหนัง นั่งอยูก็ทับหนัง นอนอยูก็ทับหนัง แหม ทํางานมากจริง มันอุทธรณไมไหว ถาปากมันมี มันอุทธรณได

จะเดินไปที่ไหนก็เอาไปดวยหนังนี้ ยืนที่ไหนก็เอาหนังไปดวย นั่งที่ไหนทับหนัง นอนที่ไหนทับหนัง อาบน้ํา หมผา ดื่มน้ํา ถายมูตร ถานคูถ ไมพนหนังสักที เลิกนั่งกล็ืมหนังทุกที ไมพนหนังแตลืมหนัง ยังถามหาหนังอีกนะ เออ ยังไงนี่

วิญญาณหมดอาสวะแลว ก็เปนอันวากิเลสนิพพาน ขันธนิพพาน ธาตุบริสุทธิ์ไมมีอาสวะ ไมมีโลภมูล โทสมูล โมหมลูไปอาศัยได กิเลส ๑,๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘ เขาไปไมได

เลย

โกรธมันไมมี จะไปโกรธไดอยางไรละ มีเกลียดก็เกลียดไดซ ิมันไมมีเกลยีดไดอยางไร ของมีจึงจะโกรธไดเกลียดได ตองอาศัยกิเลส ๑,๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘ ยังมีก็ทําได

ตองมีเหตุมันจึงมีผล

หมดเกิดหมดตายก็เปนธาตุบริสุทธิ์เหมือนกัน เมื่อไรไดตรัสรูแลว ดับอวิชชาปจจัยการดับอวิชชาโอฆะ ดับอวิชชาสวะ ดับอวิชชาสังโยชน ดับอวิชชานุสัย มแีตวิชชา

จิตวิญญาณไมมีวันสูญสิ้นเสื่อมสลาย ที่แปรเปลี่ยน คือ แตเฉพาะธาตุ ๔ แตจิตวิญญาณที่ธาตุรูไมมีวันตาย

ยกตัวอยางธาตุ ๔ มีอยูที่เรา ธาตุ ๔ ขนัธ ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไมไดสูญไปไหน ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรคมีอยูที่เรา ดินฟาอากาศภายในภายนอก ก็มีอยูตามเดิมตามสัตวตามบุคคลเสมอกัน รูแจงอยางนี้ เรียกวา วิปสสนาญาน

กายก็วาง จิตก็วาง ภายนอกภายในนี้มีจริง วัฏฏะทุกข อวิชชาตามไมทัน กิเลสหมด ขันธ ๕ ก็วาง

เราจะลืมไมได จะหลงไมได ถาเราลืมเมื่อไร หลวงเมื่อไร โลภะมูลก็เขามาปนกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร เขามาปน ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ ใหเรารอนดวยโลภมูล โทสมูล โมหมลู แลวมันก็จายไปทางกายกรรม วจีกรรม จายมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

อยาติดหนา หลัง ซาย ขวา เดนธรรมะตองสายกลาง เดินใหพอดี พอดีของกาย พอดีของจิต ตองเดินกลาง อยาใหตึง อยาใหหยอน ไมมีขางหนา ขางหลัง ตองมัชฌิมา

ของตัวกอน ตองสอบตัวเองกอน ไมมีชีวิตของสัตวทั้งหลาย มีแตชีวิตของธรรม มีแตธรรมเปนเองซิ บริกรรมไมมีแลว

อะไรมากระทบตา กิเลสไมเกิดก็ใชไดแลว เขาสายกลางแลว อะไรกระทบหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไมติดตอกัน สวนเปรี้ยว หวาน มัน เค็มก็ตามเดิมนั่นแหละ

ตามองไมเห็นนั่งเทศนตลอด ตาไมเห็น ก็ธรรมมนัเห็นซิ

ตาในมันเห็นจิตเห็นธรรมะ

การเอาจิตถึงจิตนั้น ดีกวาเอากายถึงกายมาก

พระพุทธเจาอยูที่ไหน พระพุทธเจาอยูที่ไมเกิด ไมตาย

เออ ไมใหอภัยก็ไมใชลกูพระพุทธเจาซิ พระพุทธเจาใหอภัยสัตวเกง ลูกพระพุทธเจาเกิดดวยศีล เกิดดวยสมาธิ เกิดดวยปญญา เกิดแลวไมแลวตองตายเปนทุกข ตายแลวก็ไมแลวตองเกิดเปนทุกข ขอทุกขอันนี้อยาไดมีติดตาม อยาไดตามมาใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขอใหพนไป

ใหอภัยไมกอเวรแกสัตวทั้งภายนอกและภายใน เทากับใหชีวิตเปนธรรมทาน

อภัยทานถึงนิพพานได จิตมีทาน ศีล ภาวนาไปไดเร็ว ทานภายใน อภัยทาน ธรรมทาน ทานภายในสูงสุดกวาทานภายนอก

คนมัวเมาแตภายนอก ไมคอยเอาใจใสธรรมทาน อภัยทาน ไมเห็นหนาตาของจิตลําบาก เลือกเอาซิ จะอยูมนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ หรือนิพพานสมบัติ

เวลานั้นไมมีภาษาอะไร ปริยัติไมเกี่ยวขางนอก ปฏิบัติไมเกี่ยวขางนอก ปฏเิวธก็ไมเกี่ยวขางนอก ไมไดเกี่ยวปฎกใด มันตองเกิดกับจิตเทานั้น ดับทั้งปริยัตินอก ปริยัติในดบัหมด

เมื่อนอมศีล สมาธิปญญาใสใจแลว ใจที่เกิด แก เจ็บ ตาย ก็ไมมีในที่นั้น

ความตายไมมี มีแต ดิน น้ํา ลม ไฟ เกิด ดับ ภายในมันเกิด ดับของมันเอง ไมมีกิเลส ไมมีทุกข ไมมีโศก มองเราก็ไมมี มองเขาก็ไมมี

ผูคานก็ไมผิด ผูแปลก็ไมผิด ผิดแตผูไมรู

ปฏิบัติก็ศีลซ ิศีล ๕ เปนอยางไรละ ยิ่งชีวิตซิ สมุทเฉทซิ ไมตองสมาทานซิ ศีล ๕ โลกุตตรแหละ เปนสมุทเฉททุกองค

เกิดไมใชเรา ตายไมใชเรา เราอยูกับศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ก็เปนอรหันตไปไดเทานั้น ศีลนี้แหละ มันพาใหรูอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ใหจิตไปอยูกับศีล อยูกับสมาธิ อยูกับปญญา อยูกบัธรรมะ มันก็ไมมีใครเกิด ไมมีใครตายนะซิ พนเกิด พนตาย

ศีล ๕ ก ็เขาโลกุตตรได ศลี ๘ ก็เขาโลกุตตรได ศีล ๑๐ เปนเณรอรหันตได มันถึงไดทั้งหมดแหละ โกนผมก็ได ไมโกนผมก็ได มันไมไดอยูที่ผมนั่นหรอก มนัอยูที่จิต.........

มสีุขก็เพราะศีล มีโภคสมบัติก็เพราะศีล ถึงนิพพานสมบัติก็เพราะศีล ไมเชือ่ศีลแลวไปเชื่อใครละ ไปเชือ่คนเกิดคนตายรึ ก็โงซิ ฉลาดก็เชื่อศีลซ ิ

ศีลบริสุทธิ์ทีจิ่ต สมาธิตั่งมั่นที่จิต ปญญาตรัสรูที่จิต

เมื่อผูปฏิบัติจะพนไดตองสํารวจตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของตน อยาใหยินดียินรายและมั่นคงในศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ เมื่อเจตนาละเวน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม บริสุทธิ์ทั้ง ๓ ไมทําบาปในที่ลับและที่แจง เจตนาทําบาปไมมีจึงพนจากอบายภูมิ

ผูปฏิบัติตองมีสติเพงบริกรรมอยูที่เราเสมอ เดิน ยนื นอน นั่งทุกลมหายใจเขา ออก ทําเหตุอยางนี้ติดตอมาถึง ๔ พรรษา ถึงไดรูแจงชัดในศีล สมาธิ ปญญาวา มีอยูที่เราทุกเมื่อ ผูปฏิบัติทําเหตุอยางนี้ใหติดตอแลว คงไดรับผลเหมือนกัน

พวกมีศีลธรรมปกครองงาย พวกไมมีศีลธรรมทะเลาะกันวันยังค่ํานั้นละ ไมวาประเทศไหน

ตายกับไมตายขณะเดียวกัน มิจฉาทิฐิ สัมมาทิฐิ ขณะจิตเดียวกัน ถูกกับผิดก็ขณะจิตเดียวนั่นแหละ จิตเปนแผนดินรองรับธรรมทั้งสอง

อิริยาบถของกาย ๒๔ ชั่วโมง ตองยืน เดิน นั่ง นอน ตองอาบน้ํา หอผา ดื่มอาหาร ถายมูตร ถายคูถ ถายออกมางามเมื่อไหรนะ ไมงามหรอก

สมาธิที่แทจริงตองอยูในทุกอิริยาบถ นั่งนอน ยืน เดิน กินอาหาร ถายมูตร ถายคูถ ทุกลมหายใจเขาออกและเปนอารมณในปจจุบัน

หลงไมรูจริงตามลักษณะของธาตุที่แข็งเปนดิน ที่เหลวเปนน้ําธาตุที่รอนอบอุนเปนธาตุไฟ ธาตุที่พัดไปมาทั่วสรรพางคกายลมหายใจเขา ออก เปนธาตุลมที่มีอยูในกายและภายนอกมีใหเห็นอยูเสมอ ไมเคยหลงไปตามที่ดีหรือชั่ว ควรใชปญญาพิจารณาเสมอ เห็นตามเปนจริงทั้งภายในและภายนอก เดิน ยืน นั่ง นอน พิจารณาทุกอิริยาบถทั้ง ๔ อยาใหขาด ตลอดถึงปจจัยทั้ง ๔ ทกุสิ่งทุกประการ ไมวาสัตวบุคคลลวนแตเปนธาตุ ผูปฏิบัติควรพิจารณาเนืองๆ

อาหารทุกอยาง เปนยาเลี้ยงเขาไป

ทายาเสียกอน ยากันตายนะ หายใจชวยนะ รักษาแตคนเปนนะ คนตายรักษาไมขึ้นหรอก

ตา เขาก็ไมไดวาเปนของเขา หู เขาก็ไมไดถือเปนเจาของ ลิ้น เขาไมไดยึดถือเปนลิ้นเขา เขาทําตามธรรมชาติไปอยางนั้นเอง ธรรมชาติเขาก็ทําหนาที่ธรรมชาติของเขา คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู ดับไปอยางนั้นเอง

บวชแลวสึกทําไม สึกไปก็ตาย บวชอยูก็ตาย ใหมันตายแตสังขารซิ จิตใจไมตาย ศีล สมาธิ ปญญาไมตาย ธรรมะไมแพ กิเลสแพ ใหมีแตธรรมพนเกิดตาย

บวชยังกลัวอยูก็กิเลสซิ มนับวชกับกิเลส ไมใชบวชกับธรรมะ

คนเรานี้บวชพระมานานไดฟงเทศนมานาน

ภาวนาก็ไดกระทํามานานแตทําไมจึงไมหายหลง ก็เพราะวาธรรมะไมแลนเขาไปถึงจิต มันไปติดปะทะอยูแคกายมันจึงเนิ่นชา

ฟงธรรมะไมใชฟงเทฟงทิ้ง ฟงแลวเอาไปทํา ฟงเทมันก็ไมรูเรื่องซิ ฟงธรรมะตองทําไปดวยซิ

มันไมมีศีลจึงมาวัดไมได หวงกิน หวงขี้ ราคะมันเผาจิตใจและเผามาทางตา หู

ตามีศีล หูมีศีล จมูกมีศีล

พวกโสดาโลกุตตรนี้ทํางานไดมากกวาใคร ทํางานเทาไรก็ไมเกอเขิน อนาคาโลกุตตรทํางานไดมาก เขาบานเขาวังได แตไมยอมมีคูไง กายโสด จิตโสด โสดจากสังโยชน ๕ นี่เองละ

กายฉันเปนธรรม จิตฉันก็เปนธรรม จะเปนธรรมไดขึ้นอริยมรรคขั้นที่ ๓ อริยผลขั้นที่ ๓ โลกตุตรธรรมทานสบายอยางนั้น พระโสดาทานทํางานเหน็ดเหนื่อยแคกาย

พระโสดานะพนโลกียไป สกิทาคาพนจากโลกีย อนาคาก็ยังสังโยชน ๕ เบือ้งบน สังโยชน ๕ เบื้องต่ําตัดไดหมด ใหรูอยางนั้น ถาไมรูอยางนั้นจะบวชทําไม บวชโงๆ ง่ังๆ บวรทําไมละ เกะกะบานเมืองเขา บวชแลวฉลาดซิ...

จะเขาโสดา สกิทาคา อนาคา มัวแตทําการงานอยูในเรื่องกิเลสนั่นแหละ อุปทานเขายังไมขาด เทศนไปก็ติดกิเลสไปติดสังโยชนไป

อาสวะดับหมดแลว เทศนอยู ๔๕ พรรษา ไมมีอวิชชาสวะ ไมมีอวิชชาสังโยชน ไมมีอวิชชานุสัย เปนกิริยาเทศนตางหากละ

อายุ ๓๒ ป อวิชชาหนีจากเลย อวิชชาสังโยชนก็ไมมาอยู อวิชชาอนุสยัก็ไมอยู มันกายเดียวจิตเดียวกัน ทุกเข ญาณัง วิญญาณเห็นทุกข อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ กิเลสมันเห็นสวางแลว มันเลยไปนิพพาน

อยูกับธรรมพูดธรรมะตางหากละ ไมใชพูดหลอกลวงใคร

อยูบานอยาติดบานนะ อยูวัดอยาติดวัดนะ อยูถ้ําอยาติดถ้ํานะ ติดที่ไหนเปนกิเลสที่นั้น

มาวัดดวยวิชชาก็ฉลาดสวางไสว กลับไปบานไปสรางอวิชชาขึ้น มันก็มืดไปอีกตลกคะนองไปอีก......... มาอยูวัด วัดไมใชของเรา ของเรามีเพียงหนังหอรางกายอยูเทานั้น นั่นแหละของเรา

คนเดินออมไมถึงจิต ดวยติดวัตถุเปนสําคัญ

ถาหลุดแลวไมมีกิเลสหรอก ใหหยุดซะอยาคิด ภายนอกก็ธุดงค ภายในก็ธุดงค อยูวัดก็ทําได อยูปาก็ทําได อยูในกายก็ทําได อยูนอกกายก็ทําได คนฉลาดตองทําอยางนี้ที่ใกลก็ได ที่ไกลก็ได

เขาปาก็ใหเขาปาไปเปนปญญา เขาปาไปโงๆ ก็ถูดงคไมใชธุดงค

เราเอาธรรมะอยางเดี่ยว ยึดธรรมะ อยูกับธรรมะ ใหธรรมรกัษา อยูคนเดียวนี้มันสบายดี ไมวุนวาย ถาธรรมะไมลงกันแลว ไปดวยกันไมถูกกันหร็อก ไปองคเดี่ยวถึงไมมี

ใครใสบาตร ก็ไมกลัวอด กลัวตาย กินแตผัสสาหาร คือความเปนทิพย ไมตองเคี้ยว ไมตองกลืนมันกลืนเอง ไมเด็ดยอดหญายอดไมกินเองเด็ดขาด...

อธิปญญาเปนผูตรัสรู ดวยวาศีลกับสมาธินี้ ยอมมีอยูดวยกันที่จิตเดี่ยว ดวยอํานาจกายนี้และจิตนี้ ใหทรงไวซึ่งศีล ซึ่งสมาธิ ซึ่งปญญาทั้งหลาย ศีล สมาธิ ปญญานี่แหละ จึงรักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของชาวพุทธ

ศีลบริสุทธิ์ทีจิ่ต สมาธิบริสุทธิ์ที่จิต ปญญาตรัสรูทีจิ่ต

เรามาวัดบอยๆ ก็สงบบอยๆ สงบกาย สงบจิต เรามาวัดเพื่อใหรูธรรม ไมเกิดไมตาย จิตไมเศราหมอง

จิตไมเศราหมอง เพราะเราไมเอาอกุศลมาใช

ไมมีเจตนาทําบาปเสียแลวจิตไมเศราหมองจึงปราศจากทุกข เจตนาละเวนทุกลมหายใจเขาออก ผูปฏิบัติจงนอมไปปฏิบัติในกาย วาจา ใจของตน ธรรมของจริงก็จะบังเกิดทุกเมื่อ เปนธรรมอันไมตาย ไมแปรผัน เกิด แก เจ็บ ตายไมมีในธรรม ดวยอํานาจคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ประดิษฐานอยูที่ใจ ศีล สมาธิ ปญญาก็มขีึ้นที่ใจทุกเมื่อ

เมื่อสติตั้งมั่นตื่นอยูไมเศราหมอง ก็ปราศจากทางดีทางชั่ว ผูปฏิบัติรูเทาอารมณดีชั่วเปนกลางทางภายในภายนอก ก็ไมหลงไมตามทางดีแลทางชั่ว ศีลของเราก็ดีเรียบรอย

มากับกุศล อยูกับกุศล ก็ไปกับกุศล เรยีกวาไปโลกยี พนทางกุศลกรรมและอกุศลกรรมไปโลกุตตร

มาวัดก็เปนโสดาเต็มวัดเต็มโบสถเต็มศาสนา พอออกจากวัดไปก็เปนบานกูของกูหมด เออ โสดาหายหมด ว่ิงมาวัดหมด โสดาเฉพาะมาอยูวัดคืนเดียววันเดียว กลับไปบานเปนคนหมด

เปนคนอยูตองมีงานไมรูจักจบ เปนธรรมแลวหมดไป กิเลสหมดไป หมดไปจากราคะ โทสะ โมหะ หมดไป อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ก็บริสุทธิ์ไป หมดสงสัย หมดเกิด หมดตาย ถายังเกิด ยังตาย ก็ยังวนเวียนอยูนั่นแหละ

ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ ไมทําบาปก็เปนบุญอยูแลว กาย วาจา ใจไมมีบาป ขอใหวางจากบาปจากอกุศลแลว จะไดขึ้นสูโดย มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม

โลกุตตรธรรม โดยเร็ว ใหถึงอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ โดยสมบรูณแลว ความเกิดยอมไมมีแกผูไปถึงแลว

ศาสนาธรรมคืออยูที่ตาธรรม หูธรรม จมูกธรรม ลิ้นธรรม วาจาธรรม ใจธรรม

ศาสนาอยูที่กายยาววาหนาคือกวางศอกนี้เอง เห็นเปนกลางทั่วไปทั้งภายในและภายนอก ผูปฏิบัติตองเห็นอยางนี้เรียกวาเห็นธรรม

คนมันเขียนทายรถยนตทําไดดีมีที่ไหน ทําชั่วไดดีมีถมไป ไอนั่นนะมันไมรูจักพระพุทธพระธรรมพระสงฆ มันเอาขอวัตรของมันมาเอากิเลสอวด โอโธ พระพทุธเจาไมไดพูดอยางนั้น ใหพนจากทุกขเกิดแกเจ็บตายนั่นแหละจึงไดเขาศาสนาถูก

ไมมีเชื้อมันจะเกิดไดอยางไร ขาวเปลือกมีอยูมันก็เกิดได ขาวสารมันเกิดไดไหม ก็ผุพังไปแลว กายสังขารก็หยุดงาน ตัวจิตสังขารก็หยุดหมด ดินน้ําลมไฟอากาศวิญญาณมันหยุดกันหมด ไมมีสัตวเกิด สัตวตาย ไมมีใครดีใครชั่ว

ธรรมที่พนทกุขยอมไมมีตาย ธรรมทีย่ังเวียนเกิดเวียนตาย ยังทําใหเกิดเปนทุกข ตายเปนทุกข นี่เปนทุกขอยูใน ๓ ภูม ิกามภูมิจิต รูปภูมิจิต อรูปภูมิจิตยังมีเกิดมีตายอยู

เราดับเหตุของสมุทัยไดแลว เหตุใหเกิดทุกขก็ไมมีทุกขดับแลว เหตุจะใหเกิดติดสุขทุกขหนึ่งก็ไมมี มีแตวาดับเหตุไดแลว ไดรับผลไมเกิดไมตายนั่นเอง

หลงไปเกิดวาเปนเรา เราไมไดเกิด ก็วาเราเกิด เราไมไดตาย ก็วาเราตาย ธรรมะไมตาย มันสัตวตาย สัตวเกิดตายตางหาก ธรรมะไมเกิด ไมตาย

ขันธพระธรรมนี้ไมใชสตัว ไมใชตน สัตวโลกทั้งหลายมีเกิดแลวตองตาย ตายแลวตองเกิด เกิดไมแลวสักที

อดีตของเราทุกคนนะ บางคนจะจําไดหรือไมก็ตามใจ

สัตวเปนโลกเกิดตาย เกิดตายเปนสัตวโลกไป อยูกับศีลกับธรรมแลวไมเกิดไมตาย

มีแต ดิน น้ํา ไฟ ลม อากาศธาตุ ทํางานกันเทานั้น มีสัตวทีคนที่ไหนเลา นิโรธมันไมมีสัตวมีคนนิ ไมใชชาติ ชรา พยาธิ มรณะอะไรนะ มันหมด

มันไมมีสัตวมีคนซิ ไมมีลําเอียงรักใครใคร มานะสังโยชนมันก็ไมมี อุทธัจจะนุสัย อวิชชานุสัยไมมี มันก็เขาเสนมัชฌิมาได ไมติดรูปฌาน อรูปฌาน ไมติดนามติดรูปแลว

เกิดมาทําไมใหตองวนเวียน หนีซิ หนีเกิดไมตองมาเกิด เกิดก็เปนทุกข แกก็เปนทุกข ตายก็เปนทุกข ใหเคารพศรัทธามั่นในโลกุตตรธรรม

ถาเลิกคะนองกาย วาจา ใจเสียแลว มันก็พนจากโลกีย โลกุตตรทานสงบนี่ กานสงบ วาจาสงบ ใจก็สงบ

แลวเขาใจโลกุตตรไดงาย

กายสงบ จิตก็สงบ มันตองอยูดวยกัน เหมือนเงากับรูปนี้มันไปดวยกัน เมื่อกายหยุด เงามันก็หยุดไหว เมื่อกายไหวไป เงาก็ไหวดวย ก็ดูที่กายกินขาว เงาก็ทําทากินขาวดวย มันมีขาวเมื่อไร นั่นแหละ ไอที่ดับกิเลสไดแลว

มันตองเปนอยางนั้น เหมือนเงากับรูป ไมไดเกี่ยวกัน

พอกายอาพาธ จิตไมอาพาธจริงๆ ไมหยุดเกิด มันหยุดตายไมไดหรอก หยุด ตองหยุดกันหมด ตั้งแตมนุษยโลก สวรรคโลก พรหมโลกนะ.........

อยาทิ้งศรัทธา สติ ปญญา ญาณวิชชา ขอใหรูธรรมเห็นธรรมในธรรมที่เกิดดบัก็มี ธรรมที่ไมเกดิไมดับก็มี ทั้งกรรมดํากรรมขาวก็มี กรรมไมดํากรรมไมขาวก็มี

อยาไดประมาทนิ่งนอนใจ อยาไดทิ้งเด็ดขาด อยามัวแบกทุกขอวิชชาอยูเลย

ตัดกิเลสไดตองอาศัยอริยสัจ และมีฌานเกิด ฌานจะเกิดตองเดินตามโพธิปกขิยธรรม ๓๗ ประการ อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ นิพพาน ๑ เกิดที่จิต นิโรธเกิดที่จิต

พระพุทธเจาสรางบารมีมา ๔ อสงไขยแสนกําไรมหากัปป แตเวลาตรัสรูใชเวลาวันเดียว......... ตวัอวิชชากิเลส อวิชชานี้แหละตัดออกเสีย ใหมีแตวิชชาอยางเดียว มันก็ทรงไดของมันเอง ผมขนเล็บฟนหนัง มันก็เปนพยานใหอยูแลว

เสริมสวยกายเทาไรก็ไมหาย มันชุมแฉะอยูกับฟนผมขนเล็บหนัง

มันไปแลวไมมาหรอก ฟนมันนิพพานหนีจากแลวไมมาแลว น้ํา ดิน ไฟ ลม อากาศเปนรูปใหญ ฟนก็อาศัยรูปใหญนี่แหละ แตมันไปกอนเสียแลว สวนเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตองอยูกับกายวิญญาณ จิตวิญญาณ มโนวิญญาณ ทํางานรวมกันอยู จิตนี่มันไมมีเนื้อมีหนังนี่มันนามธรรมลวน

ดิน น้ํา ลม ไฟ อากาศธาตุ เขาทํางานกันเองตางหากเลา มีแตดิน น้ํา ลม ไฟ อากาศธาตุ ทํางานกันเทานั้นแหละ มีสัตว มีคนที่ไหนเลา อวิชชานัน้มันไมเห็นตัวมันเอง

ความทุกขกายทุกขใจ เปนทุกขอยางยิ่ง เพราะฉะนั้นอยาใหมีความทุกข กายใจเลย

ทุกขเพราะเกิดดับมันมีอยูแลว เอาราคะ โลภะ โทสะ โมหะมาเพิ่มยิ่งทุกขใหญ

อยาใหใจหลงงมงายไปตามโมหะความไมรูจริง ทําสติใหมั่นสัมปชัญญะความรูตัว ความสามัคคีจึงตั้งมั่นถาวร

เราจะมาเกิดดับอยูทําไม มันไมเที่ยง เกิดก็ไมเที่ยง ตายก็ไมเที่ยง เราจะมาเกิด เราจะมาตายทําไม

ติดเกิดติดตายนั่นเอง นึกวาเกิดของเรา ตายของเรา เกิดของเรา ตายของเรา ก็ติดแตอยูนั้น เวลาเขาบรรพชา อุปชฌายก็บอกแลวนะ ชาตะ รูปะ ระชะตา ยินดีไมไดนะยินรายไมไดนะ โลกียเปนเจาของโลกีย ก็ติดอยูโลกีย

สัตวไมมี คนไมมี นิโรโธนิพานังราคะหมด อวิชชาดับ ก็หยุดงานหมดซิ ตัดตั้งแตกามาสวะ ภวาสวะ ทิฐาสวะ อวิชชาสวะ ดับใหเรียบหมด มนัดับ ดับไมเหลือ สังโยชนก็ไมเหลือ อนุสัยก็ไมเหลือตองดับใหหมด

เกิดดับเปนหนาที่ ตาก็เกิดดับ หูก็เกิดดบั รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะก็เกิดดับ ลมหายใจก็เกิดดับ วิตกวิจารก็เกิดดับ ตวัเวทนา สัญญาก็เกิดดับ ไมเกิด ไมดับ คือ ทําพนจากกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร ที่มีอยู

จิตสังขารก็มาจากสัญญากับเวทนา เปนตัวเปนตนไมได เพราะมีเกิดดับอยูในตัวของกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารเอง ความเกิดดับมีอยูตามผม ขน เล็บ ฟน หนัง ตับ ไต ไส พุง

ไมใชนามขันธ คือตัวไมเกิดไมดับ ตัวเกิด ดับ จึงไมมีสัตว ไมมีคนเขาไปปน อวิชชาหมดแลวจากจิตจากกาย สมุทัยหมดจากกายหมดจากจิตดวย นิโรธก็มีที่กายที่จิตดวย สักกายนิโรธจิตนิโรธมีคูกัน

เชื่อกิเลสก็เปนทุกขนะซิ จิตของเราก็เปนทุกขซิ กายของเราก็เปนทุกขซิ กม็ันเปนทุกขจะไปเกิดมันทําไม ไปตายมันทําไม

กิเลสกรรมวบิากมันไมหมดหร็อก มัวเวียนเกิดเวียนตายอยูนั่นแหละ มันตองตัดอาสวะ ๔ อุปาทาน ๔ สังโยชน ๑๐ อนสุัย ๗ หมดแลว ไมมีที่เกิดที่ตายแลวหมด

เขาจะมีทุกขยังไงละ ทิ้งเหตุมันเสียแลวกัน ดับแตเหตุมันซิ

ไมมีใครชวยเรานะ ไมมีใครชวยใหเราพนเกิดพนตายไดนะ ถาไมพนเกิดพนตาย ก็ตองทุกขอยูอยางนี้แหละ กรรมวิบากวนเวียนอยูนี่แหละจะเอาหรือ

ดับหมดมันหยุดโรงงานหมด ไมมีใครปรุงแตงมันปกติหมด ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ มันปกติหมด คนละหนาที่กันหมดไมมีใครทําไขวเขวกัน

แกทางจิตแกได แกไมใหเกิด แก เจ็บ ตาย แกขางนอก แกไมไหวหร็อก

แกที่ตัวเราซิ คนอื่นก็ใหเขาแกของเขาเอง เมืองใครเมืองมัน บานใครใครอยู อูใครใครนอน ไมกาวกายกันหร็อก...

เราถูกคาดโทษไวแลว คือ โทษ แก เจ็บ ตาย จงรีบแกไขตัวเองเสียใหจงไดซิ

จะใหใครมาทําตัวอยางใหดูเลา ตัวเองก็ตองทําใหตัวเองดูซิ กายกรรม ๓ ทาํใหตัวเองดู วจีกรรม ๔ ก็ทําใหตัวเองดู มโนกรรม ๓ ก็ทําใหตัวเองดู สอนตัวเอาเองซิ

ทํากายวาจาใจอยางนี้ ไมตองไปถามคนอื่น บริสุทธิ์หรือไมบริสุทธิ์รูไดจําเพาะตน อานิสงสก็จะเกิดมีแกเราทุกเมื่อ พนจากทุกขทั้งปวง อานิสงสใหญไพศาลหาที่ประมาณ บ มิได อารมณเปนสุข ทุกข อุเบกขา ตองรูตนเอง ขอปฏิบัตินําใหถึงโลกุตตรธรรม ที่ไมแปรผันไปตามเหตุปจจัย

พนจากเครื่องเศราหมอง คือ กิเลสทั้งปวง สังฆะหมายความประพฤติตามคําสอนของพระพุทธเจา ละทุจริตทั้ง ๓ ตองทําใหไดเสียกอน ใหเปนแบบอยางของคนภายหลัง ไมวาทางโลกและทางธรรม เราตองทําเองใหมีใหเปนเสียกอน จึงสอนผูอ่ืนได

ความทุกขนั้นจะไมมีแกเรา เหมือนนายชางไฟฟารูจักเปดปดไฟ เปนประโยชนแกคนทั้งหลายไดรับแสงสวางฉันใด ผูที่ทําประโยชนตนไดแลว ทําประโยชนผูอ่ืนก็ฉันนั้น

มีตัวอยางพระสัมมาสัมพุทธเจาทําตัวของทานไดแลว

เพราะทานสงบตัวของทานพนจากทุกขเสียกอน จึงมีประโยชนโดยไมมีประมาณ แมสาวกทั้งหลายก็สงบตัวเสียกอนทั้งนั้น จึงแผศาสนาไดไพศาลมากกวาเม็ดดินเม็ดทรายในมหาสมุทร

ทับถมตนเองทางดีทางชั่ว ดีก็ชอบใจ ชั่วก็ไมชอบใจ เรียกวาแตกสามัคคี ศีลก็ตั้งไมได เพราะศีลขาดสมาธิ ความมั่นใจก็ไมมี ปญญาความรอบรูก็ไมมี จะหาความสุขมาจากไหน เราเปนโมหะไปทั้งหมด

ตนไดทํามาแลวสมถกรรมฐาน ภาวนาเปนประโยชนสวนตัว ผูที่เขาใจกําจัดกิเลสทั้ง ๖ ได ไมตองเลือกวาสูตรไหนบทไหน ทําใหจิตไมเศราหมองใชไดทั้งนั้น ไดกระทํามาอยางนี้ จึงไดเห็นวา คําสอนของพระพุทธเจานี่จริงๆ อยูทุกเมื่อที่ใจของเรา จึงมีสติมั่นคง ตั้งมั่นสัมปชัญญะความรูตัว นึกถึงกาย เวทนา จิต ธรรม มีอยูที่เรา ไมตองไปถามผูอ่ืน

สอนเขาไปแลว เขาไมเอา จะไปทําอยางไรได พระธรรมสอนไดเฉพาะผูที่เขาจะเอาตะหากเลา คนไมเอา สอนเขาไดหรือ

การปฏิบัติคนหาพระสัทธรรมนั้น ตองมีปญญาเสียกอน จึงจะรักษาศีลใหเกิดขึ้นได แลวจึงจะเกิดสมาธิตั้งขึ้น เขาถึงความสงบแหงใจ จะเกิดมีปญญา

ที่เกิดขึ้นเพราะสมาธิอบรมแรกๆ ก็ไมคอยชัดนักไมคอยแหลมคมนัก มักไมทันสังขารและผัสสะ จะคอยๆดีขึ้นคมขึ้น จนกระทั้งเปนปญญาที่รูทันผัสสะ และประหารกิเลสลงไดที่จิตนั้นเอง

คนพระไตรปฏกพนยาก จิตกับอวิชชา มันอยูดวยกัน คนที่ตัวนี้ดีกวา เห็นอวิชชาเห็นจิตแลวก็งาย

เราจะเรียนพระไตรปฎกกี่ชาติกี่ชาติก็ดี ตั้งแตปฐมสังคยนาจะเรียนถึง ๕,๐๐๐ ป ก็

ไมจบอยูนั่นเอง เพราะความเกิดความตายมันตาม อยู ทุกข มันมีอยูที่จิตที่ใจแลวจะพนความทุกขที่ไหนได เมื่อจิตมันเปนทุกข ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็พลอยทุกขไปดวย

ไมมีใครเปนเจาของวินัยปฎก สุตตันตปฎก อภิธรรมปฎก เขาไปยึดเขา มันก็เปนอุปทานขันธขึ้นมา

คนนอนหลับไมยึดถือ พอต่ืนขึ้นเทานั้นแหละ นั่นก็ของเรา นี่ก็ของเรา

ใครไปรองไหตามสังขารก็เปนคนโงตางหากเลา คนโงรองไห คนฉลาดไมรองไห อยากโงก็รองไหไปซิ อยากฉลาดก็หยุดรองไหเสียซิ

หนาเศราๆ เพราะมันไมอยูกับที่ ไมอยูกับหนัง กับจิต มันไปอยูกับอารมณ ประเดี๋ยวก็รองไห เดี๋ยวก็หัวเราะ มันแนนอนเมื่อไหรนะโลกนะ ชอบใจก็หัวเราะ ไมชอบใจก็รองไห อวิชชามันบัง ผม ขน เล็บ ฟน หนงัมันบังไวซะ...

อดีต จะไปรูมันทําไม อนาคตจะไปรูทําไม รูปจจุบันซิ จึงจะตัดกิเลสและหมดทุกขได

อดีตไมรู รูปจจุบันนี่ ธรรมะรูปจจุบันนี้ อดีตเราไมรูนี่ ปูกับยาพระพุทธเจาชื่ออะไร โอโห ใครจะไปจําได ผูถามจําเอาเองซิ ผูตอบจําไมไดหรอก.........

อยูกับปจจุบันก็ไมมีตัวตน มีแตธรรมะไมใชตัวกิเลส รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ ไมยินดียินรายรูเห็นเปนกลางอยูเสมอ อยูกับศีล สมาธิ ปญญาถึงเมื่อไรก็ไมตายเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นขออนุโมทนาดวยนะ

ธรรมะสวางแจงขึ้นมาเอง ไมมีตัวมีตน เห็นชัดวาทุกอยางรอบตัววาเปนปรมัตธรรม สิ่งสมมุติขึ้นมา ทุกอยางมันเปนธรรมหมด ไมใชของใคร พระพุทธเจาก็ไมไดถือเอาเปนเจาของ พระอรหันตก็ไมไดเปนเจาของ สัพพัญูพุทธะ ปจเจกพุทธะ สาวกพุทธะ มันไมมีตัวตนหรอก ธรรมตางหากที่ทรงไว คงอยูในจิตของตนเอง พูดกันแตเรื่องปริยัติ ปฏิบตัิ ไมมีใครชนะใครหรอก มันติดอยูในสมมุติบัญญัติตางหากละ

ทุกขเกิดกับจิตนั่นเอง สมุทัยเกิดกับจิตนั่นเอง นิโรธสัจเกิดกับจิตนั่นเอง นิพพานสมบัติเหนือนาม เหนือรูป

รางกายมันแก ธรรมะไมแก รางกายมันเหนื่อย ธรรมะไมเหนื่อย

รางกายเรานี้สักแตวาเทานั้น ธาตุ ๔ มันถูกยาเมา ยาเบื่อ มันก็แสดงอาการตางๆนานา สวนจิตใจมันไมไดถูกก็เลยไมเปนอะไร เหตุเพราะกายกับใจมันคนละเรื่อง รวมกันไมได

รางกายของหลวงปูทันก็เหมือนกัน ทําไมมันจะไมเจ็บ แตจิตใจตางหากที่ไมไดเจ็บปวยกับรางกายดวยเทานั้น

รางกายเขาหมดไป เพราะหมดอายุ มันหมดไปทุกๆ ขณะจิต เกิดเดี๋ยวนั้น จิตมันพนในปจจุบัน พนเกิด แก เจ็บ ตายดวย

ออ มันไปทางนี้เอง ไปทางกายนิโรธ จิตนิโรธ ไมตองเกี่ยวขางหนาขางหลัง ปจจุบันก็ไมเกี่ยว

ธรรมะยังอยูอยางเกา ธรรมะยังธรรมชาติอยู มันแกที่ไหน มันไมเกิดไมตาย มันจะแกไดอยางไร ธรรมะมันธรรมชาตินี ่

มันไมใชเนื้อหนัง ไมใชสตัวคน ไมใชตนไมภูเขา พนนามพนรูปไปแลว มนัเปนธรรมะได ธรรมะมาจากไหนก็มาจากธรรมะนะซิ มาจากมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม มาจากอริยมรรค ๔ อริยผล ๔...

เราเกิดขึ้นมาก็คือ ดิน น้ํา ลม ไฟ อากาศ มาสบทบกันใหเปนอุปกรณของเรา ใหเปนมรรคเปนผลใหได ใหเปน มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม

โลกุตตรธรรมมันอยูจิตเดียว จิตนี่ละมันรับธรรมะ นอกจากกายกับจิตแลว จะไปรับที่ไหนละ

โลกุตตรธรรมนะตกคางกันตั้งแตปฐมสังคายนาแลว อยาตกคางไปอีกนะ ตกคางไปอีกเปนทุกขอีก เกิดอีกเปนทุกขอีกนะ

เราจะถอยหลังดูตัวของตัวเอง เราผานมาแลว ๕,๐๐๐ ป ไมรูจักจบ อะนากุลา จะ

กัมมันตา เกิดแลวไมแลว ตายแลวไมแลว

เปนยังงั้นแหละ ไมใชเปนมานอยนี่ ๕,๐๐๐ ป เขาเปนอยางงั้นแหละ เขาจะเอา

อยางงั้นอยางงี้ จะเอาทางกิเลสกาม วัตถุกาม ทางศาสนา กิเลสกามก็ใหละ วัตถุกามก็ใหละ ละแลวจึงจะเปนอริยมรรค ๔ อรยิผล ๔ ได ละไดก็ถึงนิโรธธรรม นิพพานธรรม นิพพานสมบัติ คนเกิด ก็ไมเอาไป คนตายก็ไมเอาไป กระดูกก็ไมเอาไป หนังก็ไมเอาไป คืนใหโลกหมด......... อรยิผล ๔ มีเจาของอยูมันไมไปหรอก ตองหมดเจาของ หมดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมดเจาของรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ

มันจะไปติด รูป เสียง กลิน่ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณยังไง ติดภายนอก ๖ ภายใน ๖ ไดยังไง ติดไมไดนะ...

เราเรียนมากอน อดีตนั่นนะ เราบวชมาตั้งแตวันแรกนั่นแน มันอยูแคมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม กรรมฐานก็เรียน วิปสสนาก็เรียน

เรียนมาแตอดีตชาติ รอยลาน พันลานชาติ ก็ไมพนอวิชชา ตรัสรูทันทีก็จะพนอวิชชา พนแลวก็งายยังไมพนก็ยาก...

เรียนแลวไมแลว หลงๆ ลืมๆ ถาหากมาปจจุบันนี่แหละไมหลง ธรรมะปจจุบัน พุทธศาสนามีจริง ธรรมศาสนามีจริง สังฆศาสนามีจริง

เรียนอะไรเรียนได เรียนวาง โลภมูล ๘ โมหมูล ๒ โทสมูล ๒ มันยาก

เราทุกวันนี้เรียนโลกุตตรธรรม ก็เพื่อบุญกุศลนีม้ารักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไมใหตกไปในบาปในอกุศล ใหเจรญิแตบุญอยางเดียว ความเกิดเปนทุกขก็หมดไปเอง จะวางจากกาย วาจา ใจไปเอง ทางกายเปนทกุขก็วางไปเอง

ก็เราเจริญมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม มาตั้งอเนกชาติแลว ทีนี้มันไมหลุดออกไปเสียนี่ คราวนี้จะเขาโลกุตตร มันก็วางเทกระจาดหมดเทานั้น

โลกุตตะธรรมมันอยูจิตเดียว จิตนี่ละมันรับธรรมะ นอกจากกายกับจิตแลว จะไปรับที่ไหนละ

กฎธรรมดาของธรรมะมีแตเกิด ดับ เรยีนเทาไรก็ลงที่กฎนี้แหละ

เรียนรูป รส กลิ่น เสียง เรยีนทุกวันก็ไมหายหลง มันเลยธรรมะไปหมด

เขาจะเรียนหาเงินหาทอง เขาไมเรียนหานิพพาน ผูบอกก็บอกไปนิพพาน ผูเรียนไปเรียนหาเงินหาทอง หายใจเขาเปนเงินเปนทอง หายใจออกเปนเงินเปนทอง

ตัวนั่นแหละตัวสําคัญ คือรูปเงินรูปทองนั่นแหละ

ถาติดรูปเงินรูปทองก็ติดรูปเรานามเรา ก็ติดรูปอื่น นามอื่นลามปามไปหมด ติดเสนหญาเสนเดียวก็ติดได ติดผมเสนเดียวก็ติดได ติดขนเสนเดียวก็ติดได

ศีลโลกีย สมาธิโลกียยังตัดไมได ปญญาโลกียยังไปไมรอด จะไปนิพพาน จะหายเอาเงินเอาทองไปดวยจะไดอยางไร สละหมดแลวจึงจะไปได

จิตมันรวมเปนสมาธิเองแบบอัตโนมัติ สงบเปนเอกัคตารมณ ถึงอัปปนาสมาธิเลย มาวันนี้ไดสัมผัสดวยตนเอง จึงหายสงสัยตั้งแตนั้นมาวา "คําวาสมาธิหัวตอคืออะไร มันมี

แตความสงบ แตปญญาที่ถานถอนละกิเลสมันไมมี"...

มโนกรรมมนัรับไดทั้งโลกียะธรรม โลกุตตรธรรม มันมีจิตใจวิญาณทํางานติดตอกัน เราจะเรียนก็เรียน เวลาลมหายใจกําลังทํางานพัฒนาชีวิตอยู เราจะปฏิบัติกเ็อาพรอมในชีวิตนี้ รูไมรูใหไดปฏิบัติ ปริยัติ เปนทุนไวกอนนะ ปฏิบัติธรรมมนัจํากัดมันเฉพาะตัว กิเลสดับเมื่อไร มันก็รูเมื่อนัน้ ดูจิตมันทํางาน

วันพระมีอยูในตัวของเราทุกวัน ตัวของเราอยูกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ อยาใหเลยไปจะดีแตก

ปฏิบัติอยูกับธรรมะ สวดมนตก็ธรรมะ ทําวัตรเชาก็ธรรมะ ทําวตัรเย็นก็ธรรมะ หายใจเขาเปนธรรมะ หายใจออกเปนธรรมะ

สวดมนต ถาไมรูแกนของ ทาน ศีล ภาวนา ก็ไมรูธรรม

ธรรมะนั้นไมมีเกิด ไมมีแก ไมมีตายอยูแลว เหนือนามเหนือรูปก็พนเกิดดับ

บุคคลทุกประเภทถาหันเขามาหาพุทธคุณภายใน ธรรมคุณภายใน สังฆคุณภายใน ถึงไมหมดไมสิ้นก็เบาบาง เพราะตัวจริงมันแสดงเลนกับมโน แลวมันก็ฉายออกมาทางตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ

จิต ที่ยังไปโนนมานี่ ที่จริงมันไมไดไปหรอก มันอัดฟลมมาเทานั้น นึกภาพอะไรก็อัดมา คือ อัดไวกับธรรมรมณ...

ภายในมันดับหมด ดับหมดไมใหเหลือ ก็ตานี่มันสัมผัสกับรูป มันไมเหมือนเกาแลว มันหยุดกันภายนอก ๖ ภายใน ๖ มันไมรวมกัน จิตใจไมซึมกับความเย็นความรอนความหนาวของตับไตไสพุง

มันหยุดหมด ภายนอกก็หยุด ภายในก็หยุด ภายนอก ๖ ภายใน ๖ มันเงียบหมด เหลือแตซากเปลาๆ

ในนามในรูปนี่ โลกุตตรธรรมก็อยูในนี้ พระปจเจกพุทธก็อยูในนี้ สัพพัญูพุทธะก็อยูในนี้ สาวกพุทธก็อยูในนี้ ภิกษุ ภิกษุณีอยูนี่เอง ไปทําภายนอก ใครจะเปนละ

รางกายของเราเปนทุกข เพราะจิตเขาไปยึดมั่น

ยารักษาโรคทางตา ธรรมะรักษาโรคทางจิต พนเกิดพนตายได

ยาเรือไว ใชยาขาวเหนียวขาวเจายาไวกอน เรือมันรั่วก็ตองยาเอาไวใชกอน ใชเสร็จแลวทิ้งเลย

ขันธ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เปนทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เห็นเปนไตรลักษณ

ขันธ ๕ ของกิเลสมันเกิดเปนทุกข ตายเปนทุกขอยูแลว เปนตัวอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยูแลว

ทุกอยางมันรูมันเห็น แตมันไมยึดถือมั่น เพราะขันธ ๕ มันหมดแลว มันเหลือแตธาตุ ๔ เทานั้นเอง ขันธ ๕ มีอยู แตไมมีสัตวมีคนมาอาศัย ไมมีสมบัติบัญญัติเขาอาศัยได มีแตปฏิกิริยา เกิด ดับ

เราเปนคนงานของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ทํางานตามหนาที่

คนที่ทํางาน มันยึดงาน มันไมวางจากราคะ โทสะ โมหะ ชาวโลกมันไมรูเรือ่งหรอก ทําเพื่อจะเอาการเอางานเอากําไร คิดเอากําไรอยูนั่นแหละ

โรคกายนั้นมันรักษาไมหายหรอก โรคจิตรักษาหายได หมดอาสวะก็หมดโรค

เราจะมัวเพิกเฉยอยูๆไมได จึงไมเพลิน อยูตามอารมณทาง ๖ นํามาซึ่งจิตเศราหมอง ไมลุมลวงละชั่ว ทําดีใหพนจากอารมณที่ ๖ ทําใหมีศรัทธาอยูเสมอ เชื่อกรรม เชื่อผล ผูปฏิบัติรูเทาอารมณ จึงไดศรัทธาวิริยะ

นิโรธมีอยูทกุวัน ภายใน ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันไมมีไปเกิดแลว ภายนอก ๖ รูป เสียง กลิน่ รส สัมผัส ก็ไมมาเกิดแลว มันเปนนิโรธทั้งนั้นแหละ

รักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใหหมดทุกข ทั้งอดีต ปจจุบัน และอนาคต ก็จะไดธรรมะโลกุตตรพนจากธรรมะโลกีย... ทางโลกุตตรเสียสละหมด รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส กามารมณเสียสละหมดไปได ตองเสียสละอายตนะ

อายตนะภายนอกกับภายในมันรวมกนัได มันมี จิต เจตสิก รูป นิพพาน เทานั้นเอง เปนเพยีงสมมุติบัญญัติเทานั้นเอง ไมมีเจาของ ผม ขน เล็บ ฟน หนัง ก็เปนสมมุติบัญญตัิ

ขึ้นมา พูดกันไมรูเรื่อง แตพิจารณาดูได อานได เขาใจได จนรูความเปนจริง ความเปนไปของสังขาร รูความเปนจริงของโลก กห็มดกัน ไมมีปจจัยอะไรสงใหสัตวตองมาเกิดอีก

ราคะเผาจิต โมหะเผาจิต โทสะเผาจิต วิปสสนาเผากิเลสหมดไป

กรรมฐานทั้งหลายกําจัดกิเลสไดทุกประเภท กําจัด ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต วิตกจริต ศรัทธาจริต พุทธจริต ของตนไดทั้ง ๖ จริต ผูปฏิบัติตองเห็นอยางนี้

พระกรรมฐานอยาเลือก จะกินแลว กินแหง กินหวาน กินคาวมันเปนอาหารทั้งนั้น ขาวเจาจะไปเลือกทําไม ขาวเหนียวจะไปเลือกทําไม กินขาวสุกตางหาก อยากินขาวดิบ เดี๋ยวกินเจ เดี๋ยวกินเนื้อ เดี๋ยวกินอยางโนน กินอยางนี้ นั้นกินตามภาษาสมมุติ กินอาหารตามมตีามได ไมใชกินผัก กินเนื้อ กินอาหาร.........

คนดีตองหนีบาซิ บากับบาก็ไปตอยกันซิ สนามมวยตอยกันไมรูจักเจ็บจักตาย สนามมาก็เหมือนกัน สรางเสร็จหมดเงินตั้งแสนตั้งลาน มีทุนเทาไรไปทุมเทในสนามมาหมด เราบอกมันตรงๆ ไมเชื่อหร็อก ไปสนามบอยๆ ระวังมาเตะนะ ถุงขาดนะ กระเปาขาดนะ เงินหมดเลยเหลือแตรางกาย

ระวังคนดีแตก เพราะกิเลสความหลง หลงจนลืมดี

กายเดียวจิตเดียว เอโกธัมโมไปไหนก็มีแตธรรมะ หายใจออกก็มีแตธรรมะ หายใจเขาก็มีแตธรรมะจนเขาถึงธรรมะ

กายเดียวจิตเดียวนี้ ไปหาที่อ่ืนไมเห็นหรอก นิพพานอยูตรงไมเกิดไมตายนั้นแหละ

หนานิพพานเปนอยางไร หนาไมมีอวิชชา อวิชชาไมมี เปนหนานฤพาน หู นั่นแหละไมมีอวิชชา ตาไมมีอวิชชา จมูก ไมมีอวิชชา ปากไมมีอวิชชา ลิ้นไมมีอวิชชา มีแตวิชชานั่นแหละ

หนาเหมือนหนาวิชชา ตาเหมือนตาวิชชา จมูก ห ูเปนวิชชาทั้งหมด นั้นแหละนิพพานเปนอยางนั้น เหมือนของคนผูถามนั่นแหละ เหมือนของคนผูฟงนั่นแหละ เหมือนของคนผูตอบนั่นแหละ

นฤพานเปนอยางนั้น หนาตาเปนอยางนั้นนะ อวิชชามาอยูในตาหูเขาไมได

รูอยูแตมันรูไมตาย ไมตายก็ไมเกิดดวยนั้นแหละ ไอตายก็ตายเขาหมายอยางนั้นเองแหละ นิพพานหมายตายกอนตาย

รูอยูตรงไมติดนั่นแหละ ไมมีไฟราคะ โทสะ โมหะ จะมาเผาแลว เขาติดไมไดแลว

ติดตํารา ติดธุดงค ๑๓ ติดอานหนังสือ ใครพูดใครบอกอะไรก็ไมเชื่อ ถือลูกประคําหอยคอ ถือรูปนามอยู พอทานบรรลุธรรมก็เลิกหมดเลย ทานสละสิ่งตางๆที่มีอยูออกหมด ทานเสียสละภายในออกได ภายนอกทานก็เสียสละได

ใหตายอยางที่ผูที่เขารูเขาถึงซิ จะไดรูไดถึงกับเขาบาง

ก็กิเลสนิพพานแลวใครจะนิพพานละ ขันธของกิเลสก็นิพพานไปแลว ธาตุของกิเลสก็นิพพานไปแลว กิเลสก็ไมมีในตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ

มโนมกรรมมันละเอียดกวากายกรรม มโนกรรมมนัรับไดหมดทั้งโลกียและโลกุตตรธรรม

กายกรรมของทานเปนคุณธรรม วจีกรรมของทานก็เปนคุณธรรม มโนกรรมก็เปนคุณธรรม เมื่อทําไดแลวการเสื่อมไมมี

พระคุณของพระอรหันตไมมีประมาณ ผูปฏิบัติควรทํากาย วาจา ใจ ตามแบบอยางของพระอริยเจา อยาใหหยอนความเพียร ตั้งใจทําอยาใหทอถอยตอความเพียรจึงไดรับผล

ไมวาบรรพชิตคฤหัสถก็ตามอาจพนทุกขดวยกัน ตางกันแตจะชาหรือเร็ว

ทํางานโดยไมมีเจาของทํางานโดยเปนนิโรธธรรม นิพพานธรรม กิเลสมนัเหนื่อย ธรรมะไมเหนื่อยนะ

ถาเชื่อคําสอนของพระผูมีพระภาคเจาแลว เราเปนอุบาสก อุบาสิกา ก็เปนอยูในวงศของพระผูมีพระภาคเจา เปนภิกษุ สามเณร ก็อยูในวงศของพระผูมีพระภาคเจา พระพุทธเจามีพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณมาแจก

อุบาสก อุบาสิกาที่ดีเขาพนไปแลว ไมเกิด ไมแก ไมเจ็บ ไมตายแลว

ไมวาบรรพชิตคฤหัสถก็ตามอาจพนทุกขดวยกัน ตางกันก็แตจะชาหรือเร็ว

ธรรมะมันอยูที่เขาใจแจมแจง มันอยูที่เอาชนะกิเลสได รูถึงวิมุติลวงรูถึงอริยสัจ ๔ คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิโรธ นิพพาน ๑ โนน

สมาธินําความมั่นใจมาให ปญญานําความตรัสรูมาให

รูเทาความเปนจริง จึงไมเจือดวยทุกข ทุกขนั้นเกิดขึ้น ใหรูจักทุกข ยืนก็ตาย นั่งก็ตาย เดินก็ตาย นอนก็ตาย มันเหลือนอกรางกายนี้ กายในก็ลมหายใจ มันมีบุญมีบาปกับใครละ

ตองรูวาทุกขแตไมยึดถือ รูวาสุขแตไมยึดถือ

นี้ใหรูแจงเห็นจริง รูไวเห็นไว ใชวาใสบาแบกหามเมื่อไหร เราจะเชื่อหรือไมเชื่อใหรูใหเห็นเสียกอน เราอยาเพิ่งปฏิเสธทีเดียว

ยืนอยูก็ธรรมะ นั่งอยูก็ธรรมะ นอนอยูก็ธรรมะ ไปก็ธรรมะ มาก็ธรรมะ จะไปทุกขอะไรละ

บาปไมมี บุญไดมาก ทําบุญไมมีบาป มีแตบุยอยางเดียว

จิตใจเราไมมีธรรมะ ไมมมีนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม จิตใจก็รอนซิ รอนแลวก็แสดงฉายความรอนออกมาทางตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ.........

หากใจเรามีมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม อยาวาแตสัตวเลย แมแตเทวดาก็รูกันได ยิ่งหากมีโลกุตตรธรรมแลวรูหมด อดีต อนาคต มีอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ กําหนดจิตได

รูจักทุกขแลวปลอยทุกขซะ อยากพนทุกขก็อยูกับธรรมะ อยากเปนทุกขก็ไปอยูกับสัตวโลก......... สัตวโลกยงัของความเกิด ความแก ความเจ็บ ความตาย ก็เปนตัวตน ตายก็วาตัวตน อยางนั้นจึงไดเปนทุกข

แตกอนเราไมรูจักถือเอารูปมาเปนตน เอาตนไปเปนรูปวา เราดี เราชั่ว วาเราทําได วาเราเปนผูวิเศษ วาเราเปนผูพัน สักกายทิฏฐิก็ยังมีอยูนั่นเอง

ถาใจยังมีทุกขอยู ไมใชธรรมนะ ใจไมทุกข เปนธรรม ที่ไมแปรผัน

สังขารมันตายได ธรรมไมตาย ธรรมะของกลางนะ ไมใชของใคร

ตัวเรา คือ ธรรมะ เปนอมตะไมเคยตาย

ไวใจไมไดสังขารนะ มันเปลี่ยนแปลงนะ พระอรหันตไมประมาณอยูแลว

ไมมีกิเลสอยูแลว

สุขเพราะความสงัด สุขเพราะไมเบียดเบียน สุขเพราะปราศจากราคะกาวลวงขามกามเสียได สุขอยางยอด คือการนําความถือตนออกเสีย

เมากิเลสอยูทุกวันแลว ยงัไปเมาสุราอีก

อยูกับสัตวโลกมันก็เกิดตายซิ เกิด แก เจ็บ ตาย อยูกับสัตวโลก อยูกับธรรมะไมเกิด ไมตายเทานี้แหละ

สวนที่ตองเกิดอยู ก็เพราะจิตใจผูกพันกับสิ่งที่ตนเปนอยูหลงวาเปนจริงเปนของเรา

ไมเชื้อมันจะเกิดไดอยางไร ขาวเปลือกมีอยูมันก็เกิดได ขาวสารมันเกิดไดไหม ก็ผุพังไปแลว กายสังขารก็หยุดงานตัวจิตสังขารก็หยุดงาน ดิน น้ํา ลม ไฟ อากาศ วิญญาณมันหยุดกันหมด ไมมีสัตวเกิด สัตวตาย ไมมีใครดีใครชั่ว

เหมือนขาวเปลือกพอตกดินแลวก็งอก พอตกดินแลวงอก ขาวเกาหมดไป ขาวใหมเขามามันไมหมดสักที มนัก็วนอยูกับเกิดตายนั่นแหละ ทุกขมันก็อยูที่นี่แหละ

ยกตัวอยางอดีตที่เราเคยผานมาแลวที่เราถูกมา ที่เราจมอยูในครรภพระมารดา จมมูตรจมคูถอยูตั้ง ๑๐ เดือน ไมเห็นแสงพระอาทิตยพระจันทร ทนทุกขเวทนาอยางแสนสาหัสทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อมารดายืน เดิน นั่ง นอน เวลารับประทานอาหาร ถูกเผ็ด เค็ม รอน มีความเกิดดับอยูนับชาติไมถวน......... ผูหญิงนะมันมีคนหนึ่งเมื่อไร แมของเราทั้งโลก ยาก็เปนผูหญิง แมก็เปนผูหญิง เราไมมาเขาทองพวกนี้ ใครละจะมาเปนบุพพการีเรา

ธรรมไมมีแขง มีขา ไมมีขี้ ไมมีเยี่ยวนะ อันนี้รางกายตางหากละ กอนดินตางหากละ กอนน้ําตางหากละ ก็เปลี่ยนแปลงตามหนาที่มันซิ น้ําก็เกิดดับ ดินก็เกิดดับ

คนมีเวทนา ธรรมะมีเวทนาเมื่อไหรละ มีขี้ มีเยี่ยวเมื่อไหรละ ขี้มันก็อยูกับกายเนื้อนี่ตางหากละ กายธรรมไมมีขี้มีเยี่ยว จิตไมมีขี้มีเยี่ยว

เมื่อนอนอยูในครรภ เมื่อคลอดออกมาแลว เสวยวิบากอยูเนืองนิตย พรอมไปดวยราคะ โทสะ โมหะ เต็มไปดวยอกุศลทางกาย วาจา ใจทุจริต และจิตเศราหมองพรอมไปดวยอบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน

นี่เปนผลของทุกขกลาวแตเพียงเล็กนอย

มนุษยนี้อุมทอง ๑๐ เดือนคลอดแลวคลอดอีก ถายแลวถายอีกไมรูจักเจ็บรูจักจํา เจ็บแลวไมจํา

หนุมคนใดไมอยากมีลูกก็อยาไปแตงงาน สาวคนไหนไมอยากมีลูกไมอยากอุมทอง ๑๐ เดือนก็อยาไปแตงงานเขานะ แตงงานเขาไมไดนะ เมื่อไปกอเหตุ ผลมันก็ทองโต ๑๐ เดือนนะ นั่นแหละ ผลของการแตงงานละ อยาไปทําเหตุเขานะ

อริยมรรค ๓ อริยผล ๓ เขาไมแตงงานแลว เขาไมเกิดในทองสัตว สัตวมาเกิดกับเขาไมไดแลว

มีแตธาตุสี่ประชุมกันเปนรูปสมมุติวาหญิงชาย หลงไมรูจริง จึงแตกสามัคคีนํามาซึ่งความทุกข

คนไทยนี่อะไรๆ ไมเสียดายหรอก ในโลกนี้ใหหมดนะ อามิสนะ แตมีขอแมวา ผัวดิฉันนะ ใครแตะไมไดนะ เอาตายเชียวนะ จะไปนิพพานจะเอาผัวไปดวย ปดโธ เขาไปนิพพานเขาเอาผัวเอาเมียไปที่ไหนกัน เขาเอาธรรมะไปตางหากละ

อยาไปหลงวากายสังขาราเปนตัวเปนตน เปนธรรมะตางหาก วจีสังขารเปนตัวเปนตนไมได เปนธรรมะอยูประจําชีวิตนี่เอง ความไมเกิดไมตายก็มีอยูในธรรมะนั่นเอง

ผูใดขยัน ผูนั้นแหละเปนลูกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ผูใดขี้เกียจ ขี้คราน เปนลูกกิเลส

ขยันก็สิ้นอาสวะเร็วหนอย ขี้เกียจก็ถูกพญามารตามเลนงานเอา เขาตามมาหลายชาติแลว ไมสิ้นอาสวะเขาก็ไมเลิกตาม

ผูที่เขาไมรู ไมถึง ไปตามอยางเขาทําไมละ

ถายังไมตรัสรูเพียงใดจะทิ้งวิริยะบารมีไมไดนะ ขอเชิญชวนชาวพุทธทั้งหลายใหเจริญวิริยะใหมาก

เราพาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เขาสูบารมี ทศบารม ีทศอุปบารมี ทศปรมัตถบารมี ใหเต็มรอบเพียงใด เราก็จะไดพนภัยเกิดตายนั่นเอง การเกิดเปนทุกข เราอยาไดถึงที่เกิดเลย การตายเปนทุกข เราอยาไดถึงที่ตายเลย ขอใหถึงธรรมะของพระผูมีพระภาคเจา

ธรรมะจะเหนื่อยอยางไร ๓ วัน ๗ วันอยูในปาไมไดพูดกับใคร ไมไดหลับ ไมไดนอนก็ยังไมเหนื่อย ธรรมะไมมีเหนื่อย

เขาตีเรา ดีกวาเราไปตีเขา เขาวาเรา ดีกวาเราวาเขา เขาฆาเรา ดีกวาฆาตัวเองตายนะ

ความมั่นใจเปนสมาธิ ความรอบรูในกองสังขารเปนปญญา ตัดตัวหลงตัวเดียว ตัดไดทุกอยางหมดทุกข

กิเลส ๑,๕๐๐ตัณหา ๑๐๘ ถูกวิปสสนาเผาไปหมดเปนขี้เถาไปหมด

หมดตัณหาก็หมดอยากซิ หมดอยากก็หมดตัณหาซิ

รูปนามของเราเปนของสมมุติ เมื่อเห็นตามความเปนจริง รูปนามของเราเปนอยูอยางไร ก็เปนอยูอยางนั้นแหละ...

รูปนามเปนธรรมเกิดขึ้น ปรากฏแลวก็ดับลงเปนธรรม เกิดขึ้นเปนธรรม ดับลงเปนธรรม เปนธรรมะลวนๆ มีเกิดมีดับ

ขันธเปลา มันวางจากกิเลส มันหมดอนุสัย หมดสงัโยชน มันไมมีตัวไมมีตน สักกายทิฎฐิไมมี ตัวนิโรธมันเหนือรูปเหนือนาม เปนรูปเปนนามเมื่อไรเลา ถึงตรงนี้พรหมจรรยก็ไมมี

ใหเห็นโทษของกามราคะกําหนัด รูปภายในกําหนัด รูปภายนอกกําหนัด ดับราคะอนุสัย สังโยชนอนุสัยก็ดบัเอง... ในรปูของตัวก็ไมมี ราคะความกําหนัดก็ไมมี ผลของการกระทําเกิดขึ้นอยางนี้ จึงไดมั่นใจ ธรรมไมมกีาล ไมมีสมัย ไมใหคลายความเพียร

เกิดดับก็ไมมีความกําหนัด ไมเกิดไมดับก็ไมมีความกําหนัดนี่ จึงวาวิราคธรรม พอกายสังขารสงบแลว ฟาผาไมสะเทือนในระหวาง ๗ วัน ไมถึงขีด ๗ วัน ไมออกมารับผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ตัดหลงตัวเดียว ตัดไดทุกอยางก็หมดทุกขซิ

อยูกับธรรมะจะไปขี้ก็ไมลืมธรรมะ จะไปเยี่ยวก็ไมลืมธรรมะ ไปบิณฑบาตก็ไมลืมธรรมะ

อยูกับธรรมะซิไมมีทุกข ธรรมะไมมีสัตว ไมมีคน อยูกับคนก็ทุกขนะซิ อยูหลายคนก็ทะเลาะกัน อยูคนเดียวก็ทะเลาะกับตัวเอง ทะเลาะกับมิจฉาทิฐิ อยูกับธรรมะไมทะเลาะกับใคร

อยูกับธรรมะซิ จะไปอยูกับคนไดยังไงละ อยูกับคนมันก็เถียงกันนะซิ

ถาอยูกับคนก็ผีเขาผีออกไปเรื่อย จะขนยังไงไหวละ ก็ยังไมมาจะขนยังไง ขนไดแตคนมาตางหากละ

ไปทําเหตุใหคน ผลก็ออกมาเปนคนนั่นแหละ

นี่แหละธรรมสมบัติ มันเปนอยางนี้แหละ ทําเหตุใหเปนธรรม ผลก็เปนธรรม

ไลไปไลมาหมดอาสวะแลว กอนนี้กเ็ปนกอนธรรม

ภูเขามันจมน้ําอยู เมื่อน้ําแหงภูเขาก็ผุดขึ้น เวียนไปเวียนมาอยูอยางนั้นเอง

นอกจากไปพบพระพุทธเจา พระปจเจกพระพุทธเจา พระสาวก นั่นแหละจึงจะตรัสรู พนเกดิ พนตาย

ไมมีที่เกิด ที่แก ที่เจ็บ ที่ตาย พนจากเกิด แก เจ็บ ตายนั่นแหละ

เปนตัวพุทธศาสนา เปนตัวพุทธศาสนา ธรรมศาสนา สังฆศาสนาเปนอยางนี้ เปนความไมตาย เปนความไมเกิด

เลิกกรรมดําประพฤติกรรมขาว ปฏิบัติประพฤติสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะไปไดทุกวัน ใหเจริญใหมาก ทําใหไดทุกลมหายใจเขาออก

หายใจเขาเปนธรรมะ หายใจออกก็เปนธรรมะ

มนุษยโลกเขาเปนอยางนั้นแหละ เขาเปนธรรมดาของเขา ติเขาก็ไมได ชมเขาก็ไมได เราอยาไปตามเขาก็แลวกัน เขาจะเอาอยางนั้นนี่ จะเอาทางกิเลสกาม วัตถุกาม

ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ ไมทําบาป ก็เปนบุญอยูแลว

ถาทานไมมีธรรมะอยู ทานก็วุนวายซิ ถาไมมีธรรมะก็รอนใจซิ เดี๋ยวจิตอวิชชา ตัณหา อุปาทาน กิเลส กรรมวิบาก

สมบัติของพระผูมีพระภาคเจาเปนอริยมรรค ๔ อรยิผล ๔ เปนสมบัติ เมื่อเลย อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ เปนผูที่เหนือเกิดเหนือตาย ไมตองมาเปนทุกขเพราะเกิดเพราะตาย อยูกับจิต เจตสิก นิพพาน ในธรรมะของพระผูมีพระภาคเจาโดยมีสุขสวนเดียว

ขอใหมีความประเสริฐสุดอยูในความไมเกิดไมตาย ใหสวัสดีในธรรมของพระผูมีพระภาคเจาเทอญ

นี่แหละดวยอํานาจความปฏิบัติศลี สมาธิ ปญญา สํารวม ศีล สมาธิ ปญญา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ศีล สมาธิ ปญญา หมายความประพฤติกาย วาจา ใจ สุจริต ผูปฏิบัติพึงนอม กาย วาจา ใจ ไปตามคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจา ทั้งเพศ บรรพชิต และคฤหัสถใหพนจากทุกขภัยทั้งปวง ดวยอํานาจขอปฏิบัติผูถึงธรรมพนจากทุกขภัยทั้งปวง ขอใหสาธุชนทั้งปวงพนจากทุกขภัยแลเปนสุข สมกับปณิธานความปรารถนา ของตนๆ

ทุกเมื่อเหลาทั่วหนากัน มีความเกษมสันตปราศจากภัยอันตรายทั้งปวงเทอญ

ขอใหเจริญในมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลก ใหถึงในนิพพานสมบัติ

ขอฝากไวกับพี่นองชาวพุทธทั้งหลาย

ขอใหเจริญพุทธศาสนานี้เจริญงอกงามไปไมมีที่สิ้นสุด

*****************************

เอกสารอางอิง

- หนังสือศีลธรรม กลับมา ธรรมะออกจากใจ

(อภินันทนาการพรอมหนังสือพิมพ คูแขงธุรกิจ) ฉบับที่ ๑๘๐ วันที่ ๒๐-๒๖ มิ.ย.

๒๕๓๗

- หนังสือ กายเดียวจิตเดียว เทศนาภาษาใจ

เนื่องใน เจริญอายุครบ ๘ รอบ (๙๖ ป) ๕ ม.ค. ๒๕๓๒ วัดกลางชูศรีเจริญสุข

- หนังสือ ๑ ศตวรรษ หลวงปูบุดดาถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.

สิงหบุรี