Post on 12-Aug-2015
รายชือ่กลุม่ที่6
น.ส.ศิรินยา นสิยัตรง ม.3/4 เลขที่ 22
น.ส. เสาวนยี ์สมคัรผล ม.3/4 เลขที่ 23
ด.ญ. อมรรตัน ์เมอืงวงศ ์ม.3/4 เลขที่ 24
ด.ญ. จิตตา ซาคามาค ิม.3/4 เลขที่ 25
เครือ่งใชไ้ฟฟ้า
เครื่องใชไ้ฟฟ้า คือ อปุกรณท์ี่เปลี่ยนพลงังานไฟฟ้าเป็น
พลงังานรปูอ่ืน เพ่ือน าไปใชใ้นชวิีตประจ าวนั ไดแ้ก่
1. เคร่ืองใชไ้ฟฟ้าท่ีใหแ้สงสว่าง
2. เคร่ืองใชไ้ฟฟ้าท่ีใหค้วามรอ้น
3. เคร่ืองใชไ้ฟฟ้าท่ีใหพ้ลงังานกล
4. เคร่ืองใชไ้ฟฟ้าท่ีใหพ้ลงังานเสียง
นอกจากนีย้งัมีเคร่ืองใชไ้ฟฟ้าท่ีสามารถเปลี่ยนเป็นพลงังานรปูอ่ืนหลายรปู
ในเวลาเดียวกนั
เครือ่งใชไ้ฟฟ้าท่ีใหแ้สงสว่าง
หลอดไฟ เป็นอปุกรณท่ี์ใชเ้ปลี่ยนพลงังานไฟฟ้าเป็นแสงสว่างใหเ้ราสามารถ
มองเห็นสิ่งตา่งๆ ได ้ซ่ึง โธมสั เอดิสนั เป็นผูป้ระดิษฐห์ลอดไฟเป็นครัง้แรก
โดยใชค้ารบ์อนเสน้เล็กๆ เป็นไสห้ลอดและไดม้ีการพัฒนาเร่ือยมาเป็นล าดบั
รปู หลอดไฟของเอดสินั
ประเภทของหลอดไฟ
1. หลอดไฟฟ้าธรรมดา มีไสห้ลอดท่ีท าดว้ยลวดโลหะท่ีมีจดุหลอมเหลว
สงู เชน่ ทงัสเตนเสน้เล็กๆ ขดเอาไวเ้หมือนขดลวดสปริงภายในหลอดแกว้
สบูอากาศออกหมดแลว้บรรจกุา๊ซเฉ่ือย เชน่ อารก์อน (Ar) ไว ้กา๊ซนี้
ชว่ยป้องกนัไมใ่หห้ลอดไฟฟ้าด า ลกัษณะของหลอดไฟเป็นดงัรปู
รปู ส่วนประกอบของหลอดไฟฟ้าแบบเขีย้ว
หลกัการท างานของหลอดไฟฟ้าธรรมดา
1.กระแสไฟฟ้าไหลผา่นไสห้ลอดซ่ึงมีความตา้นทานสงู พลงังานไฟฟ้าจะ
เปลี่ยนเป็นพลงังานความรอ้น ท าใหไ้สห้ลอดรอ้นจดัจนเปลง่แสงออกมา
ได ้การเปลี่ยนพลงังานเป็นดงันี้
พลงังานไฟฟ้า >>>พลงังานความรอ้น >>>พลงังานแสง
2. หลอดเร่ืองแสง หรือ หลอดฟลอูอเรสเซนต ์(fluorescent) เป็น
อปุกรณท่ี์เปลี่ยนพลงังานไฟฟ้าเป็นพลงังานแสงสว่าง ซ่ึงมีการประดิษฐ์
ในปี ค.ศ. 1938 โดยมีรปูร่างหลายแบบ อาจท าเป็นหลอดตรง สัน้ ยาว
ขดเป็นวงกลมหรือคร่ึงวงกลม เป็นตน้
สว่นประกอบของหลอดเรอืงแสง
ตวัหลอดมีไสโ้ลหะทงัสเตนตดิอยู่ท่ีปลายทัง้ 2 ขา้ง ของหลอดแกว้ ซ่ึงผิว
ภายในของหลอดฉาบดว้ยสารเร่ืองแสง อากาศในหลอดแกว้ถกูสบูออกจน
หมดแลว้ใสไ่อปรอทไวเ้ล็กนอ้ย ดงัรปู
รปู หลอดเรืองแสง
อปุกรณท่ี์ใชเ้พ่ือใหห้ลอดเรอืงแสงท างาน
1. สตารต์เตอร ์(starter) ท าหนา้ท่ีเป็นสวิตซอ์ตัโนมตัใินขณะหลอด
เรืองแสง ยงัไมต่ดิและหยดุท างานเมื่อหลอดตดิแลว้
2. แบลลสัต ์(Ballast) ท าหนา้ท่ีเพิ่มความตา่งศักย ์เพื่อใหห้ลอดไฟ
เรืองแสงตดิในตอนแรกและท าหนา้ท่ี ควบคมุกระแสไฟฟ้าท่ีผา่นหลอด ให้
ลดลงเมื่อหลอดตดิแลว้
รปู สตารต์เตอรแ์ละแบลลสัต์
การใชห้ลอดเรืองแสงตอ้งตอ่วงจรเขา้กบัสตารต์เตอรแ์ละแบลลสัต ์แลว้
จึงตอ่เขา้กบัสายไฟฟ้าในบา้น
รปู ก. การตอ่วงจรไฟฟ้าของหลอดเรืองแสง
ข. แผนภาพวงจรไฟฟ้าของรปู ก.
หลกัการท างานของหลอดเรอืงแสง
เมื่อกระแสไฟฟ้าผา่นไสห้ลอดจะท าใหไ้สห้ลอดรอ้นขึน้
ความรอ้นที่เกิดท าใหป้รอทท่ีบรรจไุวใ้นหลอดกลายเป็นไอมากขึน้ เมื่อ
กระแสไฟฟ้าผา่นไอปรอทไดจ้ะคายพลงังานไฟฟ้าใหไ้อปรอท ท าใหอ้ะตอม
ของไอปรอทอยู่ในภาวะถกูกระต ุน้ และอะตอมปรอทจะคายพลงังาน
ออกมาเพ่ือลดระดบัพลงังานของตนในรปูของรงัสีอลัตราไวโอเลต เมื่อ
รงัสีดงักลา่วกระทบสารเรืองแสงท่ีฉาบไวท่ี้ผิวในของหลอดเรืองแสงนัน้
ก็จะเปลง่แสงได ้โดยใหแ้สงสีตา่งๆ ตามชนดิของสารเรืองแสงท่ีฉาบไว้
ภายในหลอดนัน้ เชน่ แคดเมียมบอเรทจะใหแ้สงสีชมพ ูซิงคซิ์ลิเคทใหแ้สง
สีเขยีว แมกนเีซียมทงัสเตนใหแ้สงสีขาวอมฟ้า และยงัอาจผสมสารเหลา่นี้
เพื่อใหไ้ดส้ีผสมท่ีแตกตา่งออกไปอีกดว้ย
ขอ้ดีของหลอดเรอืงแสง
1. มีประสิทธิภาพสงูกว่าหลอดไฟฟ้าธรรมดา เสียคา่ไฟฟ้าเทา่กนั แตไ่ดไ้ฟที่
สว่างกว่า
2. ใหแ้สงที่เย็นตา กระจายไปทัว่หลอด ไมร่วมเป็นจดุเหมือนหลอดไฟฟ้า
ธรรมดา
3. อาจจดัสีของแสงแปรเปลี่ยนได ้โดยการเปลี่ยนชนดิสารเรืองแสง
4. อณุหภมูิของหลอดเรืองแสงไมส่งูเท่ากบัหลอดไฟธรรมดาขณะท างาน
3. หลอดนอีอน หรือหลอดไฟโฆษณา เป็นอปุกรณไ์ฟฟ้าท่ีเปลี่ยนพลงังาน
ไฟฟ้าเป็นแสงสว่าง มีลกัษณะเป็นหลอดแกว้ที่ถกูลนไฟ ดดัเป็นรปูหรือ
อกัษรตา่งๆ สบูอากาศออกเป็นสญูญากาศ แลว้ใสก่า๊ซบางชนดิท่ีใหแ้สงสี
ตา่งๆ ออกมาได ้เมื่อมีกระแสไฟฟ้าผา่นหลอดชนดินีไ้มม่ีไสห้ลอดไฟ แตใ่ช ้
ขัว้ไฟฟ้าท าดว้ยโลหะตดิอยู่ท่ีปลายทัง้ 2 ขา้ง แลว้ตอ่กบัแหลง่ก าเนดิไฟฟ้าท่ี
มีความตา่งศักยส์งูประมาณ 10,000 โวลต ์ซ่ึงมีความตา่งศักยท่ี์สงูมาก จะ
ท าใหก้า๊ซท่ีบรรจไุวใ้นหลอดเกิดการแตกตวัเป็นนอีอนและน าไฟฟ้าได ้เมื่อ
กระแสไฟฟ้าผา่นกา๊ซเหลา่นีจ้ะท าใหก้า๊ซรอ้นตดิไฟใหแ้สงสีตา่งๆ ได้
ขอ้แนะน าการใชห้ลอดไฟอยา่งประหยดั
1. ใชห้ลอดเรืองแสงจะใหแ้สงสว่างมากกว่าหลอดธรรมดาประมาณ 4 เท่า
เมื่อใชพ้ลงังานไฟฟ้าเท่ากนั และอายกุารใชง้านจะทนกว่าประมาณ 8 เท่า
2. ใชแ้สงสว่างใหเ้หมาะกบัการใชง้าน ท่ีใดตอ้งการแสงสว่างไมม่ากนกัควร
ตดิไฟนอ้ยดวง
3. ท าความสะอาดโป๊ะไฟ จะใหแ้สงสว่างเต็มท่ี
4. ปิดไฟทกุครัง้ท่ีไมจ่ าเป็นตอ้งใช ้
จบการน าเสนอ